dhamma- addict เสพย์ติดการทำความดี
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
3 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
เมื่อ ลุงบุญมีระลึก(ถึง) "ชาด" นี้ และ "ชาติ" หน้า (SPOIL) แน่นอน

สำหรับ หนังนอกกระแสเรื่อง “ลุงบุญมีระลึกชาติ” ที่เป็นหนังเรื่องยาว ร่วม 2 ชม. ซึ่ง จขบ. บอกตามตรงว่าไม่เคยมีโอกาสได้ดูผลงานของคุณเจ้ยเลยในเวลาที่ผ่านมา อาจจะเพราะ ส่วนมาก ถ้ามองในแง่หนังนอกกระแส จะถูกใจกับ ภาพยนตร์ แนวรุนแรงมากกว่าแนวเนิบนาบหย่อนยาน ซึงพบเห็นได้จากหนังของ เปนเอก บางเรื่องที่ให้ความรู้สึกเช่นนั้น

จนกระทั่งมาถึงเรื่องลุงบุญมี ซึ่ง จขบ. มีโอกาสได้ดูเรื่องนี้ หากจะบอกอย่างไม่ละอายใจว่าดู “ตามกระแส” ก็คงจะไม่ผิดไปจากความจริงเสียเท่าไหร่ เพราะ จขบ. ก็มีพฤติกรรม และ รสนิยม “ตามกระแส” อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

หนังเรื่องนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่ถูกวิจารณ์เพราะได้รับรางวัลการันตีจาก เทศกาลเมืองคานส์ ซึ่ง มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อยในวงการภาพยนตร์นอกกระแส ที่บางคนอาจจะจำต้องคิดถึงคำว่า “ไต่กระไดดู” ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเกี่ยวเนื่องกับ “การเมือง” ซึ่งยังคงร้อนระอุ อยู่ในช่วงวิกฤตการณ์ชุมนุมครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ ช่วงที่ผ่านมา จากการตามอ่านคำสัมภาษณ์ของคุณเจ้ยไม่ว่าจะสำนักพิมพ์ไทยหรือต่างประเทศนั้น ต่างได้บทสรุปรวมกัน ไม่แตกต่างคือ คุณเจ้ยมีความคิดเห็นทางการเมืองผิดแผกแตกต่างไปจากคนกรุงเทพฯโดยมาก โดยการวิพากษ์เชิงแอบแฝงไปด้วยถ้อยคำตำหนิในการทำงานของรัฐบาลในช่วงสลายการชุมนุม ดังนั้น ถึงแม้ว่าคุณเจ้ยจะมองว่า ผลงานเรื่อง ลุงบุญมีฯ ของตัวเองนั้น ตีแผ่แง่คิดและความเป็นจริงบางส่วนผ่านภาพในช่วง “ล่าคอมมิวนิสต์” ที่ เกิดขึ้น ที่ บ้านนาบัว จ.นครพนม ที่กลายเป็นฐานทัพให้กับกลุ่ม พคท.(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลในช่วงสมัย พลเอก ถนอม กิตติขจร ช่วง ปี พ .ศ. 2508 ซึ่งมีเหตุการณ์ที่สำคัญ เป็นที่จดจำสำหรับคนในหมู่บ้านนาบัวและผู้ที่มีจิตใจใฝ่คอมมิวนิสต์ คือ “เสียงวันปืนแตก” ในวันที่ 8 สิงหาคม 2508 แต่อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ว่า หนังเรื่องนี้จะมิเกี่ยวเนื่องกับ เหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดงต่อต้านรัฐบาล อภิสิทธิ์ ในช่วงเดือน เมษายน - พฤษภาคม ปี พ.ศ.2553 ที่ผ่านมา เหตุเพราะว่า “แดง” ที่ถูกเรียกใช้กับกลุ่ม เรียกร้องประชาธิปไตย ในปี 2553 นั้น มีบางส่วนที่เป็น “แดง”ที่ถูกเรียกใช้กับ กลุ่ม คอมมิวนิสต์ในสมัย 2508 ดังนั้น เหตุการณ์ในสมัยปี 2508 ที่รัฐบาลล่าคอมมิวนิสต์ จึงคลับคล้ายกับ เหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน ที่ รัฐบาลล่า “กลุ่มคนเสื้อแดง” ด้วยเหตุผลนี้ จขบ. จึงขออนุญาต อ้างอิงถึงเหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน บางส่วนในการตีความส่วนตัวกับภาพยนตร์นอกกระแสเรื่องนี้ ให้ท่านผู้อ่านสามารถเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้กับการเมืองไทยยุคสมัยนี้ที่ทุกคนได้ประสบพบเจอและจดจำได้อย่างเด่นชัด มากกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ที่ผ่านล่วงมา 50 กว่าปี (แต่ก็มีกล่าวถึงด้วย) ซึ่งประชาชนชาวไทยบางคนมิเคยได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย

เรื่อง “ลุงบุญมีระลึกชาติ” เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนแนวทางการดำเนินชีวิตตามวิถีคนชนบทอย่างชัดเจนที่เกิดขึ้นภายในความทรงจำของคนใน บ้านนาบัว จ. นครพนม ตลอดทั้งเรื่อง

หนังเปิดตัวด้วยฉาก ลุงบุญมี ป้าเจน และ โต้ง เดินทางจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดเลย เนื่องจากลุงบุญมีได้หยั่งรู้ว่าตนเองนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อีก เพียง 48 ชม. เท่านั้น เนื่องจากเป็นโรคไตวายขั้นร้ายแรง ลุงบุญมีจึงต้องการกลับมาตายที่บ้านเกิดของตนเอง และเมื่อคนทั้งสาม เดินทางมาถึงบ้านของลุงบุญมี เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

นักแสดงหลักที่ทำหน้าที่ดำเนินเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนี้มีเพียง
1.โต้ง ซึ่งเป็นนักแสดงประจำของ “เจ้ย” และ เป็นเพื่อนนักแสดงของป้าเจน ทำให้ได้ถูกชักชวนจากป้าเจนมาบ้านของลุงบุญมีในครั้งนี้ เป็นคนกรุงเทพฯ
2.ป้าเจน ญาติห่างๆของลุงบุญมี ซึ่งถูกเรียกตัวจากลุงบุญมีให้พากลับมายัง บ้านสวน ที่เป็นบ้านเกิดของลุงบุญมี
3. ลุงบุญมี เป็นคนอีสานโดยกำเนิด และ รู้วาระของตัวเอง จึงต้องการกลับมาใช้ช่วงชีวิตสุดท้าย ในบ้านเกิดของตัวเอง
4. จาย เป็นคนงานชาวลาว ที่มาช่วยดูแลลุงบุญมีในช่วงสุดท้ายของชีวิต

คนเรามักจะ คิดว่า สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ส่วนบางคนก็คิดว่า น่าหลงใหล เย้ายวน อยากสัมผัส เช่นเดียวกันกับ แขกผู้ที่ไม่ได้รับเชิญ 2 ท่าน คือ ลิงผี( บุญส่ง ซึ่งเป็นลูกของลุงบุญมี ที่หายสาบสูญไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ) และ ฮวย (ภรรยาของลุงบุญมี ที่เสียชีวิตไปเกือบ 20 ปี) ที่จู่ๆก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทั้งสามบนโต๊ะอาหาร ลุงบุญมี ป้าเจน และ โต้ง ต่างก็สงสัยว่าเหตุใด บุคคลที่เคยหายสาบสูญ และ เสียชีวิตไปแล้ว ถึงได้กลับมาในวันนี้ ถ้าจะอธิบาย ตาม “ความเชื่อ” ของคนไทย เมื่อถึงเวลาใกล้ตาย คนๆนั้น จะมองเห็นภาพในอดีตชาติของตัวเอง และ เหล่าภูตผีที่อยู่รายล้อมก็จะมาปรากฏกายให้เห็นและส่งให้คนๆนั้น ไปสู่ปรโลกอย่างสุขคติ ดังนั้น ทั้ง บุญส่งและฮวย จึงกลับมาเพราะมีวาระจิตรับรู้ว่า ลุงบุญมี เหลือเวลาบนโลกมนุษย์อีกไม่นานนัก จึงต้องการมาหาและเล่าสิ่งที่ตัวเองได้ประสบพบมาให้ลุงบุญมีได้รับรู้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต

บุญส่งได้เล่าถึงเหตุการณ์ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปจาก บ้าน หรือ ดินแดนของ มนุษย์ ว่า เขาได้ติดตามถ่ายรูป สิ่งแปลกประหลาดที่ เขามองเห็นผ่านกล้องพกของเขา โดยเขาได้ติดตามสิ่งที่ถูกชาวบ้านเรียกว่า “ลิงผี” ( ซึ่งเป็นเพียงเรื่องเล่าสมัยยังเด็ก) ในป่า เขาทั้งวิ่งทั้งเดินด้วยความทะยานอยากที่จะ “สัมผัส” กับ สิ่งประหลาดสิ่งนี้ เขาเดินตามลิงผีลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เขา หลงใหลกับความลี้ลับของ “ลิงผี” และ ได้มีสัมพันธ์รักกับ ลิงผีตัวเมียตัวหนึ่งในป่า หลังจากนั้น ขนของเขาก็ได้ยาวออกมาเรื่อยๆ จนเขาได้กลายเป็นลิงผี และ ไม่ออกมาจากป่าแห่งนี้อีกเลย

ความเชื่อของมนุษย์นั้น ได้แบ่ง ผี ออกจาก มนุษย์อย่างชัดเจน ด้วย “เขต” มนุษย์มีความเชื่อ โดยที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่า เมื่อมนุษย์ตายไปแล้ว ก็จะกลายเป็นผี และมีที่อยู่บนสวรรค์ หรือ นรก ซึ่ง จากคำพูดของฮวยที่ได้บอกกับลุงบุญมีในตอนหลังที่ว่า “สวรรค์อะไรไร้สาระ” ก็หมายความถึง การพูดถึงเรื่อง สวรรค์นั้น เป็นสิ่งที่ไร้สาระ แสดงให้เห็นถึงการกั้นเขต แยกระหว่าง ดินแดนของมนุษย์กับดินแดนของผีอย่างชัดเจน ว่า มนุษย์ต้องอยู่บนโลก ส่วนผีต้องอยู่บนสวรรค์เท่านั้น ทั้งๆที่ ทั้งหมด อาจจะเป็นการอุปโลกขึ้นของมนุษย์ เพื่อแบ่งแยกความเป็น กับ ความตาย ให้ชัดเจน เท่านั้นเอง ส่วนคำพูดที่กล่าวว่า “ ผียึดติดอยู่กับคนเท่านั้น” ในทรรศนะของเรา น่าจะหมายความถึงว่า มนุษย์มักมองว่า ผี กับ มนุษย์ แตกต่างกัน แต่จริงๆแล้ว ผี มนุษย์ หรือ แม้แต่ ลิงผีนั้น ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะ ทุกอย่าง ล้วนคือ ภาคหนึ่งของมนุษย์ อดีตเราทุกคนก็ต้องเป็น ผี ซึ่งก็คือ วิญญาณ วิญญาณนั้นก็อยู่ในร่าง กายเนื้อของเรานั่นเอง เมื่อเราตาย วิญญาณก็ออกจากร่างของเราไป และ ถูก มนุษย์ เรียกว่า “ผี” เรียกในสิ่งที่มองไม่เห็น และ พิสูจน์ไม่ได้ เช่นเดียวกับ ลิงผี ซึ่ง มนุษย์ไม่เคยได้สัมผัส หรือ ใกล้ชิดมาก่อน

อีกทั้ง “ลิงผี” ในเรื่องนี้ หมายความถึง ผีคอมมิวนิสต์ ในสมัยนานมาแล้ว ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นที่ บ้านนาบัว จ. นครพนม ที่ กลุ่มคอมมิวนิสต์ได้ตั้งรกรากขึ้นที่นี่เพื่อยืนหยัดต่อสู้กับรัฐบาล ทำให้ กลุ่มคอมมิวนิสต์ ที่มีแต่เดิมเพียงไม่กี่คน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นหลายร้อยคนเนื่องจาก ความคิดในการล่า คอมมิวนิสต์ อย่าง ดุเดือด และ ดุดัน ของทางการ ที่จะ “ฆ่า” บุคคลที่ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้ประชาชน ชาวบ้านบางส่วน เข้าร่วมกับ คอมมิวนิสต์ เพื่อหนทางแห่งความอยู่รอดของตนเอง ก็เช่นเดียวกับ บุญส่ง ซึ่งแต่เดิม ก็เป็นเพียงชาวบ้าน ธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งสนใจในสิ่งประหลาด จนเมื่อเข้าไปสัมผัส ปฏิสัมพันธ์ เข้าถึง และ เข้าใจกับมัน เขาก็ได้กลายเป็นลิงผี ตามความเชื่อของคนในหมู่บ้าน ทั้งๆที่เขาก็คือ บุญส่ง ลูกของลุงบุญมีตามเดิม เปรียบได้กับ ชาวบ้านที่เดินเข้าป่า เพื่อหนีทางการ และ กลายเป็นคอมมิวนิสต์ ตามความเชื่อของทางรัฐบาล ทั้งๆที่ ชาวบ้านเหล่านั้นก็เป็น มนุษย์ เหมือนเดิม แต่ ถูกเปลี่ยนสถานะตามแต่ “ความเชื่อ” ที่ มนุษย์เป็นผู้จัดวางให้

บุญส่ง ได้กล่าวถึงในบทพูดหนึ่งว่า เขาได้เดินตามอุดมการณ์ของ ลุงบุญมี ที่มักจะชอบถ่ายรูปในสถานที่ต่างๆ ทำให้เขาได้เดินทาง และ ค้นพบกับ “ความจริง” บางอย่าง ด้วยตัวของเขาเอง มากกว่า การรับรู้ ข่าวสารผ่านตามหน้าจอทีวี เหมือนดังเช่น ป้าเจน และ โต้ง ที่มาจากเมืองกรุง ที่ไม่สามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆด้วยตนเอง เคยชินกับความสะดวก คุ้นชินกับพึ่งพา ทั้งร้านสะดวก “ซื้อ” เช่น เซเว่นอีเลเว่น หรือ แหล่งข่าวสะดวก “รับ” ทั้งที่มาจากการปลายปากกาตามทรรศนาของผู้เขียนคอลัมภ์ตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือ กระทั่ง ข่าวทางโทรทัศน์ที่มาจากการเล่า ของผู้สื่อข่าวตามอคติของแต่ละคน ดังนั้น คนกรุง หรือ คนเมือง ต่างไม่เคยได้สัมผัสความเป็น “จริง” ด้วยตัวเอง เพียงแค่ เป็นคนรับสาร ผ่านทางสื่อเท่านั้น จึงไม่แปลกใจอะไร หาก คนกรุงส่วนมากจะมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง หรือ ค่านิยมต่างๆ เนื่องจาก ช่องทางในการรับข่าวสารในปัจจุบัน แม้จะมีมากมายหลากหลาย ทั้ง อินเตอร์เนต โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ แต่ทั้งหมดก็ต้อง ผ่านตัวกลางหรือ สื่อ ทั้งสิ้น อีกทั้ง ลุงบุญมีนั้น ได้นำอัลบั้มรูปงานศพครั้งเมื่อจัดให้กับ ฮวย เพราะ เขาต้องการบันทึกทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ให้เขาลืมเหตุการณ์นั้นๆ รูปเป็นเสมือนเครื่องย้อนกาลเวลา ให้เรากลับไปยัง ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้อย่างเด่นชัด แต่ก็ผิดกับ ความมักง่ายหรือความไม่เฉลียวของ คนเมืองกรุง หรือ ก็คือ ป้าเจน ซึ่ง แม้แต่งานศพของลุงบุญมี ก็ไม่มีใครสักคนคิดเฉลียวใจจะ เก็บรูป หรือ หลักฐาน ที่เคยเกิดขึ้น เพื่ออ้างอิง ความมีอยู่ หรือ ความจริง เชื่อแต่คำบอกเล่าหรือข่าวลือ ที่มองไม่เห็นหรือสัมผัสได้ด้วยตัวเอง

สังเกตจากปฏิกิริยาบนโต๊ะอาหาร ของ ลุงบุญมี โต้ง ป้าเจน และผู้มาเยือน แตกต่างกัน ดูท่าทางของลุงบุญมีนั้นจะไม่ได้รู้สึกตระหนกตกใจแต่อย่างใด เพียงแต่ ต้อนรับขับสู้ ไต่ถามสารทุกข์ของผู้เดินทางไกลอย่างเป็นห่วง แตกต่างจาก โต้งและ ป้าเจน ที่ รู้สึกว่า จะแปลกใจ และ ตื่นกลัวกับผู้มาเยือนที่เป็นเสมือนญาติ อีกทั้ง ยังเห็นถึง อาการ “ไม่ยอมรับ” ของป้าเจนได้อย่างชัดเจน ในฉากที่ป้าเจน ลุกออกไปจากโต๊ะอาหารเนื่องจาก บุญส่งได้เล่าเรื่องราวการเดินทางของตัวเอง อาจจะเพราะ ป้าเจนรับไม่ได้กับ การมีความสัมพันธ์กับลิงผี หรือ ก็คือ คอมมิวนิสต์ ซึ่ง เสมือน ขะลำ เนื่องจากความคิดของป้าเจน ต่อกลุ่มพวกคอมมิวนิสต์นั้น คือ ความรังเกียจ ความผิดบาป ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจอะไรที่ป้าเจนได้พูดออกมาว่า ลุงบุญมี ฆ่าคอมมิวนิสต์ด้วยเจตนาที่ดี และ คิดว่าไม่เป็นบาปกรรมอะไร ป้าเจนมองว่า รัฐบาลหรือทางการ ทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของบ้านเมือง ตามหน้าโทรทัศน์ที่คนเมืองใช้เป็นที่รับสารอย่างสม่ำเสมอ จึงได้รับข่าวสารทางเดียวของฝั่งฝ่ายที่สามารถคุมสื่อได้ ซึ่ง ผู้ที่มีอำนาจก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยจากอดีตจนถึง ปัจจุบัน ถึงแม้ว่า ยุคสมัยนี้ข่าวสารจะเข้าถึง ประชาชนได้ง่ายกว่าสมัยก่อน ซึ่งความจริงจะถูกปิดกั้นแค่เพียงผู้ที่ประสบพบเจอด้วยตัวเองในเหตุการณ์จริงเท่านั้น แต่ยุคสมัยนี้ ประชาชนต่างก็ได้รับรู้ความจริงมากมายที่เกิดขึ้น จาก สื่อหลากหลายแขนง ซึ่งมีทั้งถูกควบคุมจากทางรัฐบาลบ้าง หรือ ไม่ถูกควบคุมบ้าง(เพราะเล็ดรอดสายตา) อีกทั้ง ประชาชนในยุคสมัยนี้ยังมีความพยายามที่เข้าถึง ความจริง มากกว่าสมัยก่อนที่ การคมนาคมไม่สะดวก และ มีอำนาจ มืด จากบางส่วน ทำให้จำเป็นต้องปิดกั้นตนเอง อยู่แต่ภายในกรอบ ที่ควรจะเป็น

เรื่องราวบนโต๊ะอาหารยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะ นี่คือ ฉากหนึ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว ที่ให้ข้อคิด รวมถึง จะมีการขยายบางส่วนที่ถูกตั้งคำถามกับคนดูค้างไว้บนโต๊ะอาหารในฉากต่อๆไป

บทสนทนาอันเชื่องช้า ของคนทั้ง 5 บนโต๊ะอาหารนั้น ยังพูดเกี่ยวกับเรื่อง การชินในการมองเห็น ซึ่ง บุญส่ง ในตอนนี้ที่กลายมาเป็น ลิงผี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากอยู่ในป่าเป็นเวลานานจึงไม่สามารถทำให้สายตาชินกับ แสงสว่างอันแรงกล้าของดวงไฟที่ผลิตด้วยฝีมือของมนุษย์ที่ผิดกฎที่ธรรมชาติจัดสรรให้ ยามกลางวันโลกส่งพระอาทิตย์มาให้แสงสว่างในการแสวงหาอาหาร ส่วนยามกลางคืน โลกส่งดวงจันทร์ซึ่งเป็นแสงนวลลงมาให้หลับตานอนอย่างเป็นสุข ลิงผี ที่อยู่ในป่า แสวงหาอาหารและใช้ชีวิตในป่า ซึ่งแทบไร้แสงไฟที่จะส่องผ่านต้นไม้ที่บดบังแสงสว่าง จึงจำต้องปรับสายตาให้เข้ากับความมืด เพื่อให้เห็นสิ่งต่างๆภายใต้ความมืด ที่เป็นเสมือนอุปสรรคในการดำรงชีวิต แต่มนุษย์กลับไม่รู้จักปรับสายตาให้เข้ากับความมืดเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มนุษย์พยายามคิดค้นและสร้างความสะดวกสบายรายล้อมตนเอง เช่น หลอดไฟ มนุษย์มักจะปรับทุกสิ่งให้เข้ากับตัวเองมากกว่า ปรับตัวเองให้เข้ากับ ธรรมชาติที่อยู่แวดล้อม ในฉากที่ลุงบุญมีก่อนที่จะตายในถ้ำ ได้พูดเอาไว้ว่า ทำไมมองไม่เห็นอะไรทั้งๆที่ยังเปิดตาอยู่ หรือว่า จริงๆกำลังปิดตาอยู่กันแน่ จริงๆแล้ว หากจะเปรียบได้กับ การรับข่าวสารในแต่ละยุคสมัยนี้ก็เป็นได้ หากพูดในยุคสมัยต่อต้าน คอมมิวนิสต์นั้น คนเรามักไม่พยายามที่จะเข้าใจ หรือ ทางการนั่นเอง ที่ไม่พยายามเข้าใจ หรือ สนใจ ความรู้สึกหรือความคิดของชาวบ้าน ณ บ้านนาบัว เท่าไหร่นัก หากแต่ พอจบภารกิจ ก็กลับมาใช้ชีวิตตามเดิม โดยทิ้งเหตุการณ์ในอดีตไว้เป็นเพียงเบื้องหลังเท่านั้น แถมยังปกปิดข้อมูล ไม่ให้เข้าถึง ประชาชนบางส่วน รวมถึง ไม่ได้บันทึกลงเป็น ประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ บางคนหรือแม้แต่เราเอง ยังไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า เคยเกิดเรื่องราวรุนแรงและป่าเถื่อนขึ้น ที่ บ้านนาบัว ทุกอย่าง ดูเหมือนจะถูกปิดสนิทด้วยความตั้งใจหรือ หรือแท้จริงคืออะไรกันแน่ หากโลกนี้คือความเป็นจริง คนบางคนกลับปรับความเป็นจริงหรือโลกให้เหมาะสมกับตัวเอง มากกว่า อยู่กับความจริงที่เป็นไปบนโลกนี้ และ ยอมรับมันให้ได้

จากที่ผ่านมาจะมองเห็นได้ว่า หนังเรื่องนี้ได้แบ่ง แยก เขตแดนของความเป็นมนุษย์กับ ผี และ คนกรุง กับ คนชนบท หรือ จะเรียกได้ว่า อำมาตย์ กับ ไพร่ ตาม คำนิยมในปัจจุบันก็ได้ตามแต่ความเคยชิน คนชนบทที่เราเห็นอย่างเด่นชัดก็คือ ลุงบุญมี ซึ่งแทบจะไม่ยินดียินร้ายอะไรกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบๆตัว แตกต่างกับ ป้าเจนและ โต้ง ซึ่งมาจากกรุงเทพฯ ห่างไกลจากความแร้นแค้น อยู่ในสังคมความเจริญจนเคยชิน ทำให้ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจาก ความสะดวกสบาย เช่น โทรทัศน์ ไม้ตียุง ซึ่งเป็นสิ่งเสริมเพิ่มความสบายให้กับตนเองเท่านั้น โดยไม่ปรับตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ความสงบของคนชนบท แต่กลับนำความเจริญเข้ามาสู่ชนบท โดยการเปิดทีวี หันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นอินเตอร์เนต เกมส์ออนไลน์ หรือ แชทผ่านบีบีแทนการคุยเจอหน้ากัน ปรึกษาหารือกัน เพื่อแสดงความคิด ความเข้าใจต่อกัน แลกเปลี่ยนความเห็น ข้อมูล เรียนรู้ในวิธีการดำเนินชีวิต หรือ สิ่งต่างๆ จากคู่สนทนา นี่แสดงให้เห็นว่า สังคมคนเมืองในปัจจุบัน นิยมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านทางเครื่องอิเล็คทรอนิค สิ่งไม่มีชีวิต มากกว่า แสดงความคิดเห็นโดยตรงต่อหน้า สิ่งมีชีวิต

และสิ่งที่สำคัญที่สุด เหตุการณ์บนโต๊ะอาหารทำให้เรามองเห็นถึง “ความเท่าเทียม” มันคงไม่แตกต่างอะไรหากเรามองภาพ เจ้านาย กับ คนรับใช้ ที่จำต้องแยกห้อง แยกโต๊ะอาหาร เพื่อ แบ่งแยกให้เห็นถึงชนชั้นทางสังคม หากแต่ว่า มนุษย์ทุกคนนั้น ถูกแบ่ง ชนชั้น ตามฐานะทางสังคม หน้าที่ ตำแหน่งการงาน ทั้งๆที่ ทุกคน คือ มนุษย์ เหมือนกัน แต่ มนุษย์กลับใช้สิ่งที่เป็น นามธรรม หรือ ก็คือ ฐานะ มาแบ่งแยกคนออกเป็นหลายๆชั้นในสังคม หากใครที่อยู่ชนชั้นสูงก็จะถือยศ ที่ไว้ประดับประดาด้วยความเชื่อ ความเข้าใจของคนหมู่มาก พยายามหลีกเลี่ยง ออกห่าง คนที่ถูกจัดให้อยู่ในชนชั้นทางสังคมที่ต่ำกว่าตัวเอง เพื่อ ให้รู้สึกว่าไม่กลมกลืน หรือ แบ่งแยกให้คนอื่นมองเห็น ชั้นที่ “กั้น” ได้อย่างเด่นชัด ดังนั้น การร่วมโต๊ะอาหารของหนังเรื่องนี้ ทั้ง ป้าเจน โต้ง ลุงบุญมี ฮวย และบุญส่งนั้น ถือได้ว่า เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกัน ระหว่าง สถานะ ทุกสถานะ ทางสังคม ไม่ว่าจะเป็น คนกรุง คนชนบท ผี และ ลิงผี เท่าเทียมกัน แต่ กลับถูกมนุษย์แบ่ง โดยนำ “ชั้น” เข้ามากั้น “ชน” หรือ คนในสังคม

หากอ่านจากชื่อหนังว่า “ลุงบุญมีระลึกชาติ” คนก็ต้องสอบถามอย่างแน่นอนเป็นคำถามแรกๆว่า ลุงบุญมีระลึกเห็นชาติที่แล้วของตัวเองหรือไม่ แล้ว เห็นอะไรบ้าง ฉะนั้น เราจะไม่พูดเรื่องนี้เลยก็ดูเหมือนว่า จะหลงลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะสามารถตอบคำถามของชื่อหนังได้

ฉะนั้น เราจะพูดถึงเรื่องแต่ละชาติของลุงบุญมี ตามที่เราได้เห็นในหนัง อาจจะผิดถูกอย่างไรก็แล้วแต่วินิจฉัยของแต่ละคน
ลุงบุญได้ระลึกถึง ทั้ง ชาติของไทย ชาติของตัวเอง และ ยังชาด (แดง) ที่พ้องเสียงอีกด้วย

เอาเป็นว่าเราเริ่มจากเรื่องใหญ่ๆก่อนก็คือ ชาติไทย สิ่งที่ลุงบุญมีระลึกได้ ตามการอ้างอิงของ ผกก. คุณเจ้ยนั้น แนวคิดการที่จะทำหนังเรื่องนี้มาจากการที่เขาเข้าไป ค้นคว้าหาข้อมูลที่ บ้านนาบัว จ.นครพนม และ นำคำบอกเล่าของชาวบ้านรวมถึง ประวัติศาสตร์ต่างๆที่เคยเกิดขึ้น ณ ที่นั้น มาเป็นแรงบันดาลใจในเรื่องด้วยนอกเหนือจากหนังสือที่ถูกแต่งโดยพระ โดนนำแนวคิดทั้งสองอันนี้มาหลอมรวมกันมาเป็น หนังเรื่องนี้ ดังนั้น การที่จะบอกว่า ลุงบุญมีระลึกถึง ชาติไทย ของเรานั้น ก็คือ ลุงบุญมีระลึกถึง ชาติไทยในอดีต สมัยยุคที่ทหารเรืองอำนาจ เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นมาช้านานแล้ว หากแต่ มันเริ่มต้นและลุกลามอย่างแท้จริง เมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ ทำรัฐประหาร ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงครามและ ได้แต่งตั้งให้ นายพจน์ สารสิน ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยอ่านมานั้น มีเพียงคำยกย่องสรรเสริญเชิดชู จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ว่าเป็นบุคคลที่ทำเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อปกป้องสถาบัน พระมหากษัตริย์ ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงการบันทึกประวัติศาสตร์ด้านเดียวเท่านั้น เช่น ที่เขาบอกว่า หากใครชนะ ประวัติศาสตร์ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับฝ่ายนั้นก็ถูกต้อง ดังนั้นเหตุการณ์สมัยยุคนั้น คนส่วนใหญ่จึงมองว่า คอมมิวนิสต์ เป็น พวกกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และ ทำให้ชาติไม่มั่นคง จนต้องกวาดต้อนและออกกฎหมายต่างๆนานา เพื่อความมั่นคงของประเทศ จน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เสียชีวิต จอมพลถนอม ซึ่ง มีแนวคิดและ อุดมการณ์แบบเดียวกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ขึ้นมา ทำให้ผู้ที่มีแนวคิด คอมมิวนิสต์แต่เดิม(พวกคนจีน) ที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2470 เริ่มลุกลาม แผ่ขยายไปเรื่อยๆทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ถือว่า เป็นกองกำลังที่ใหญ่ขึ้น ซึ่ง ทำให้รัฐบาลเกรงกลัว คิดว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ จึง รีบเร่งที่จะมีการ กวาดล้าง เหล่า คอมมิวนิสต์ ขึ้น ภายใต้ ชื่อ พคท. (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) เนื่องจากเกิดการกวาดล้าง จึงทำให้ เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้น จากการปะทะกันครั้งแรก ณ บ้านนาบัว ซึ่งตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม 2508 ซึ่งก็ใกล้จะครบรอบ 45 ปี แล้วในเดือนหน้านี้ ลุงบุญมีจึงได้นำเหตุการณ์ที่เคยขึ้นเกิดในประเทศไทยที่สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งซึ่งบางคนอาจจะยังไม่รู้ หรือ บางคนเคยรู้แต่หลงลืมไปแล้ว นำกลับมาเล่าให้เราฟังอีกครั้ง ผ่านหนังเรื่องลุงบุญมีระลึกชาติ ที่แฝงไว้อย่างแยบยล จนน้อยคนนักที่จะสัมผัสได้ จุดประสงค์ของลุงบุญมีก็เพื่อต้องการให้พวกเรานำเหตุการณ์ครั้งเก่าก่อน มาเปรียบเทียบกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเวลานี้ ว่ามีความเหมือนหรือต่างกันเช่นไร ให้คนได้แสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐหรือชาวบ้าน ใครกันแน่ที่ถูกกระทำ หลังจากเหตุการณ์นั้น ชาวบ้านต้องพบเจอกับอะไรบ้าง และ รัฐปฏิบัติอย่างไรหลังเกิดเหตุการณ์นี้ และ ปัจจุบัน รัฐได้นำเอาเหตุการณ์ครั้งอดีตมาเป็นอุทธาหรณ์ใน การปกครองประชาชนอย่างร่มเย็นเป็นสุขหรือไม่

ต่อมา ที่ลุงบุญมีต้องการเล่าให้เราฟังก็คือเรื่องของ ชาติที่แล้วๆมาของตัวเอง ชาติที่ลุงบุญมีระลึกได้นั้น ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ร้อยกี่พันปีมาแล้ว ลุงบุญมีทั้งเคยเกิดเป็นควาย เป็นปลาดุก และ ชาตินี้ก็เกิดเป็น ทหาร ในฉากแรกที่เราเห็นว่ามีการตามถ่าย ควาย ที่พยายามหนีการพันธนาการของเจ้าของ เพื่อหาหนทางสู่อิสรภาพ แต่สุดท้ายก็กลับต้องโดนลากต้อนกลับไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาพของควายถูกเจ้านายใช้สายจูงลากต้อนนั้นไม่ต่างอะไรไปจาก ภาพตอนที่ลุงบุญมีระลึกชาติได้ก่อนตายเลย ที่มีทหารนำเชือกล่ามไว้ที่คอและลากตัวลิงผี ออกมาจากป่าเพื่อส่งทางการ มองดูเหมือน ชนชั้นปกครองควบคุมชนชั้นถูกปกครอง มนุษย์ควบคุมสัตว์ อำมาตย์ควบคุมไพร่ รัฐบาลควบคุมประชาชน โดยแต่ละสถานะอาจจะใช้วิธีการที่แตกต่างกัน เช่น การควบคุมสื่อ ปิดช่องทางในการแสดงความคิดเห็นในอินเตอร์เนต บังคับขู่เข็ญให้กระทำตามกรอบที่ตนเองตั้งไว้ ลงโทษและกำจัดบุคคลที่คิดต่างจากตัวเอง เนรเทศและใส่ความผู้คิดต่างออกสู่นอกประเทศ พร้อมยึดทรัพย์ และ ตัดท่อน้ำเลี้ยง

ในอดีตของลุงบุญมีนอกจากจะเกิดเป็นควายในชาติหนึ่งแล้ว ยังเคยเกิดเป็นปลาดุก ในความคิดเรา ทำไมถึงต้องใช้ปลาดุก เรามองว่าปลาดุกเป็นปลาที่ไม่ได้มีร่างกายที่สวยงามเท่าไหร่นัก ตัวคล้ำดำผิวเป็นเมือกแถมยังมีหนวดออกมา อีกทั้งยังอยู่ตามโคลน เลน อาหารที่กินก็กินได้ทั้งพืชและสัตว์ ส่วนมากจะกินอาหารตามพื้นดิน ทนต่อสภาพอากาศ เลี้ยงง่าย โตเร็ว และ ยังสามารถอยู่บนบกได้นานกว่าปลาชนิดอื่นอีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นปลาที่คนนิยมนำไปปล่อยให้ได้บุญได้กุศลในการทำพิธีของวัดต่างๆ ที่เราพูดถึงลักษณะของปลาชนิดนี้ก็เพื่อต้องการโยงไปกับ มนุษย์ เรามองว่าปลาดุกสามารถเปรียบได้กับ คนชนชั้นชนบท หรือ เกษตรกร ที่ทำไร่ไถนา หาเลี้ยงตัวเองด้วยผลผลิตทางการเกษตร การดำรงชีวิตนอกจากจะมาจากความขยันขันแข็งแล้วยังต้องมีปัจจัยเกี่ยวกับ ดินฟ้าอากาศ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งตรงนี้ไม่มีอิทธิพลอะไรมากสำหรับคนเมืองกรุง ซึ่งถ้ามีกระทบก็เพียงว่าทำให้รถติด เดินทางได้ลำบากขึ้นเท่านั้นเอง หรือ อาจจะต้องเลื่อนการนัดหมายหรือยกเลิกเท่านั้น แต่ ก็ยังมีวันหน้าหรือเดือนถัดไป แต่สำหรับคนชาวชนบทนั้น หากอากาศไม่เป็นใจ ผลผลิตที่ได้ทั้งปี ไม่ตรงตามเป้า นั่นมีผลต่อการดำรงชีวิตในปีนั้นๆของเขาแน่นอน ดังนั้น แม้คนกรุงจะบอกว่าตัวเองนั้นดิ้นรนทั้งเรียนหนังสือ หางาน ท่ามกลางการแข่งขันสูงในยุคปัจจุบัน และ มองว่าตัวเองนั้นลำบากตรากตรำอดทนมากกว่า คนชนบท แต่แท้จริงแล้ว เรากลับมองว่ามันเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ข้ออ้างให้ตนเองดูเหนือกว่าคนชนบท สร้างคุณค่าให้กับตัวเองและลดคุณค่าของคนชนบทให้ลดน้อยลง เพื่อจะได้กดขี่เขาอย่างชอบธรรม ทั้งๆที่คนกรุงนั้นแทบจะทนกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยแบบปัจจุบัน เนื่องจากการใช้ทรัพยากรอย่างขาดสติไม่ได้ หากร้อนก็จำต้องเข้าไปอยู่ในห้องแอร์ หากหนาวก็ห่มกายอยู่ภายใต้ผ้าห่มอุ่นๆ พยายามเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับตนเองมากกว่า พยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

หลังจากที่ออกนอกเรื่องเปรียบเทียบคนกรุงกับคนชนบทไปเสียไกล ก็ขอเข้าเรื่องเสียที เมื่อลุงบุญมีหลับตาลง ก็มองเห็นอดีตชาติของตัวเอง ในชาติหนึ่ง ลุงบุญมีมองเห็นองค์หญิงองค์หนึ่งที่รักกับทหารคนสนิทได้เดินทางมาถึงยังน้ำตกแห่งนี้ และ ได้พบเจอกับปลาดุกที่สามารถทำให้องค์หญิงเห็นอดีตของตัวเอง องค์หญิงจึงปักใจเชื่อว่า ปลาดุกตัวนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงหน้าตาอัปลักษณ์ของเธอให้กลับมาสวยสดงดงามเหมือนผู้หญิงบนเงาน้ำ เธอจึงยอมแลกเพชรนิลจินดาที่ประดับประดาบนตัวเธอกับใบหน้าที่สวยงามให้เหมาะสมกับฐานะองค์หญิง
บทสนทนาระหว่าง ปลาดุกกับองค์หญิงนั้น แสดงให้เห็นว่า องค์หญิงที่หน้าตาสุดแสนจะอัปลักษณ์นั้น มีความปรารถนาที่จะมีใบหน้าที่สวยงามดั่งองค์หญิงอื่นๆ ถึงแม้ว่าเธอจะมีเครื่องเพชร หรือ ของเลอค่ามากมาย และ ยังมีศักดิ์เป็นองค์หญิง ที่ดูเหมือนคนทั่วไปจะต้องอิจฉาริษยาในความร่ำรวยและยศฐาของเธอ แต่เธอก็ยังไม่มีความพอ เพราะ ยษฐา บรรดาศักดิ์ หรือ ลาป ยศ สรรเสริญทั้งหลาย มันต้องแลกมาด้วยความ ความรัก และ ความจริงใจ ถึงแม้ว่าเธอจะรักทหารคนสนิท และดูผิวเผินว่าจะสมหวังในความรัก แต่เธอก็รู้ลึกๆว่าแท้จริงแล้วนั้น ทหารจงรักกับเธอเพียงเพราะ ยศฐาเท่านั้น มิได้จงรักเธอเพราะ รักเธอจากใจจริง เธอจึงต้องการหน้าตาอันสวยงามเพื่อให้ทหารคนสนิทนั้นหลงรักเธอจากใจจริงมิได้แสร้งรักเพียงเพราะ ยศฐา บรรดาศักดิ์เท่านั้น องค์หญิงแม้ว่าจะมีทุกอย่างครบพร้อมในชีวิตแล้ว แต่เธอก็เป็นมนุษย์ มนุษย์เรานั้นเสมอเหมือนเท่าเทียมกันทุกคน ทั้งความคิด หรือ กิเลศตัณหา ความต้องการแบบไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้น แม้เธอจะพร้อมด้วย ยศฐา ร่ำรวยเงินทอง พร้อมทั้งมีบริวารมากมี แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอเพียง ยังไงก็ตาม เธอก็ต้องการโดยไม่มีวันสิ้นสุด ก็เช่นเดียวกับ คนธรรมดาสามัญ แม้จะมีหน้าตาสะสวยเพียงใด ก็ยังต้องการความร่ำรวยเด่นดังจากสังคม ฉะนั้น เมื่อต่างคนต่างไม่หยุดไม่รู้จักพอ โลกเราสมัยนี้จึงได้มีการแข่งขันแก่งแย่งชิงดีกันไม่รู้จบสิ้น

ปลาดุกเปรียบกับคนชนบทซึ่งคนชนบทจริงๆแล้ว ก็ยังมีความรู้สึกว่าขาด เขาก็ยังต้องการเงินทอง เพื่อเลี้ยงปากท้อง หาความสุขให้กับตัวเอง ดำรงชีวิตให้อยู่ดีมีสุขมากกว่าแค่มองขึ้นไปข้างบนเห็นคนร่ำรวยกินทิ้งกินขว้าง จับจ่ายของไม่จำเป็นสุรุ่ยสุร่าย เมื่อเราไม่เคยเราจึงอยากจะเป็น แต่เมื่อเราเป็นแล้ว เราก็ไม่หยุด กลับมองขึ้นไปยังที่ที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีวันจบสิ้น

โดยปรกติแล้วนั้น คู่ครองขององค์หญิงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีฐานะต่ำชั้นกว่า อย่างไรก็ตามศักดิ์ก็ต้องเท่าเทียมกันหรือมากกว่า แต่เรื่องนี้ องค์หญิงกลับได้มีความสัมพันธ์กับชนชั้นที่ต่ำกว่าทั้งสิ้น เช่น องค์หญิงกับทหารและองค์หญิงกับปลาดุก อาจจะเป็นการเสียดสีสถานะทางสังคมโดยผิดไปจากความเป็นจริงในสังคมปกติ โดยคนชนชั้นสูงกว่านั้นมีจิตใจฝักใฝ่ให้กับ คนชนชั้นที่ต่ำกว่า องค์หญิงแม้เห็นปลาดุกครั้งแรกก็ไม่มีทีท่ารังเกียจแต่อย่างใด กลับยอมพูดคุยและไว้ใจให้แก้วแหวนเงินทองกับปลาดุก ซึ่งเป็นเหมือนปลาธรรมดา ไม่น่าพิสมัย ทำให้มองเห็นได้ว่า องค์หญิงเป็นคนชนชั้นสูงที่มีจิตใจดีงาม (แตกต่างจากความเป็นจริง) โหยหาความรักมากกว่าทรัพย์สินเงินทองอาภรณ์รอบกาย เข้าใจและไม่แบ่งแยกฐานะ ของตนเองกับสามัญชน และเมื่อ องค์หญิงมีความสัมพันธ์กับ ปลาดุก องค์หญิงก็ได้กลายเป็นปลาดุก และ ทิ้งเครื่องประดับอันเลอค่าทิ้งไว้ที่ก้นแม่น้ำ เพราะเงินทองไม่มีประโยชน์ในสถานะปลาอีกต่อไป แล้วแหวกว่ายธาราเคียงคู่กับเจ้าปลาดุกโดยไม่หวนกลับมาโลกมนุษย์อันแสแสร้งจอมปลอมยึดติดกับวัตถุนิยมอีกเลย ฉากนี้ก็ไม่แตกต่างอะไรกับฉากที่ บุญส่งเดินเข้าป่า ตามหาลิงผีไปเรื่อยๆจนเจอและมีความสัมพันธ์กับลิงผีตัวเมีย จนครองคู่อยู่กินกันในป่า และละทิ้งความสุขอันจอมปลอมบนเมืองมนุษย์ไปเสียสิ้น

ชาติสุดท้ายที่ลุงบุญมีพูดถึงก่อนจะตายในถ้ำก็คือ ชาติที่เกิดเป็นลิงผี ซึ่งบุญมีบอกว่าเป็นชาติในอนาคต คำพูดของลุงบุญมีนั้นสร้างความฉงนใจมากว่า ทางการของลุงบุญมีนั้นเป็นใคร ยมบาล หรือ รัฐบาล กันแน่ เพราะ จากที่จับใจความอะไรหลายอย่างแล้ว กำกึ่งว่าจะมุ่งเน้นไปทางไหน เพราะ จากการที่พูดว่าตอนฝันมองเห็นว่าไปที่ที่หนึ่ง แล้ว คนนั้นเขาสามารถที่จะฉายให้เห็นภาพในอดีตถึงอนาคต และ ทำให้คนในอดีตหายตัวไปได้ด้วย จากความเชื่อของคนไทยนั้น เมื่อเราตายไป เราก็จะต้องไปที่ยมโลก เพื่อพิจารณา บุญ บาปเสียก่อน โดยยมบาลจะฉายให้เห็นสิ่งที่เราทำในอดีตขึ้นบนจอภาพขนาดใหญ่ และเมื่อถูกพิจารณาแล้ว จะได้ไป นรกหรือสวรรค์ ก็ขึ้นกับบุญ บาปที่เราได้กระทำมา แต่หากทางการในที่นี้คือ รัฐบาล ก็น่าจะเป็นในช่วงสมัย ยุคล่าคอมมิวนิสต์ ที่ทางการจะจับคนที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์มาสอบปากคำ ว่า เคยรู้จักถนนเส้นนี้เส้นนั้น สถานที่นั้นนี้หรือไม่ พอตอบไป ก็จะโดนส่องแสงมาแล้วตัวก็จะหายไปเลย (โดนยิงและเอาศพไปทิ้ง) และ ยังสามารถลบอดีตของคนๆนั้นได้อีกด้วย ก็เหมือนการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ลบความผิดของตนเอง ผ่านการบันทึกแบบโป้ปด หลอกลวง เมื่อศพคนหายไป ประวัติคนหายไป รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ เพราะ ไม่มีหลักฐานอ้างถึงการกระทำของรัฐบาล

ชาติต่อไปก็ลุงบุญมีอาจจะเป็น ลิงผี และ ก็เป็นไปได้ ที่ลุงบุญมีจะถูกจับกุมจากทางการเพราะ ลุงบุญมีมีเพื่อนที่เคยเป็นทหารล่าคอมมิวนิสต์ด้วยกัน หากลุงบุญมีมีความเห็นที่เป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ(เริ่มส่อเค้าจากตอนให้ความเห็นเรื่อง คอมมิวนิสต์) อย่างในรูปที่ฉายให้เห็นก่อนตาย จะเห็นว่า มีรูปที่ ลิงผีถูกทหารดึงลากออกมาจากป่า และ ยังมีรูปถ่ายเป็นหมู่ของทหารเหล่านั้นกับลิงผี กอดคอกัน ลิงตัวนั้นก็น่าจะเป็นลุงบุญมีที่กล่าวถึงอนาคต ว่าตัวเองจะถูกจับตัวได้ในข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ และ เหล่าคนที่มาจับลุงบุญมีนั้นก็คือ ทหารเพื่อนเก่าของลุงบุญมีที่เคยถ่ายรูปกอดคอร่วมกันสมัยเป็นทหารนั่นเอง

ส่วนที่ลุงบุญมีระลึกถึงชาด(แดง)นั้น จะหมายถึง แดง ใน อดีตหรือ แดงในปัจจุบัน จริงๆแล้วต่างก็คือ แดงเดียวกัน แต่ต่างกันเพียงยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเท่านั้น อุดมการณ์ยังเหมือนเดิม คนที่คอยขับเคลื่อนใน “แดง” ก็ยังคงเป็นชาวบ้าน และ ส่วนมากมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเหมือนกัน และ มีบางส่วนที่มีแนวคิดเป็นคอมมิวนิสต์ ที่ถูกสืบสานอุดมการณ์มาจากในสมัยก่อน รวมถึง ยังเห็นแกนนำ หมอเหวง ที่อยู่ใน “แดง” คอมมิวนิสต์ที่หนีเข้าป่า รวมถึง เป็น แกนนำ แดง ใน สมัยปัจจุบันอีกด้วย แต่หากจะลงลึกไปดูว่า ลุงบุญมีนั้น พูดอะไรเกี่ยวกับ แดงในสมัยปัจจุบันบ้างนั้น ก็คงเป็นการเล่าอดีตของตัวเองเพื่อเป็นอุทธาหรณ์ให้คนในปัจจุบันได้รู้ได้เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอดีต ซ้ำยังตักเตือนการดำรงชีวิตที่เขวไปของคนในปัจจุบัน ที่ทำให้เกิดผลประโยชน์กับทางภาครัฐมากขึ้น ดังที่เราแอบแฝงในเนื้อหาข้างต้น และ คงไม่ย้อนเอามาพูดซ้ำ เพื่อ ตอกย้ำแต่อย่างใด แต่อยากให้นำเอาไปพิจารณา วิเคราะห์กันเอาเอง ตามแต่ “ความเชื่อ” ของแต่ละคน

เรื่องชนชั้นที่แฝงในหนังเรื่องนี้ยังไม่หมดแค่นั้น คนไทยเราไม่เพียงนำชั้น มาแบ่ง เพียง “ชนชาติไทย” เท่านั้น ยังแบ่งรวมถึง เพื่อนบ้าน เช่น ลาว อันจะเห็นได้ว่า ลาว มีพื้นที่เขตแดนติดกับจ.นครพนม ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจว่าทำไม ภาคอีสาน เช่น จ.นครพนม และ เลย จึงมีคนลาวมาอาศัยอยู่เยอะมาก นั่นก็เป็นตั้งแต่ช่วงยุคสมัยที่ฝรั่งเศสยึดครองเอาประเทศลาวเป็นเมืองขึ้น ทำให้ชาวลาวบางส่วนหนีอพยพข้ามน้ำมายังดินแดนฝั่งไทยเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ในไทยมีแรงงานคนลาวจำนวนไม่น้อย และแม้ว่า “ลาว” จะเป็นประเทศเพื่อนบ้านหรือ “ต่างประเทศ” เช่นเดียวกับ อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี แต่ ทำไมก็ไม่รู้ ว่าทำไมคนไทยมักจะมองว่า พม่า ลาว กัมพูชา คือ ประเทศที่ด้อยกว่าไทย เช่นเดียวกับ อเมริกา หรือ ประเทศทางฝรั่งยุโรปที่มองว่า คนไทยเป็นประเทศเล็กๆ ยากจนไม่มีอำนาจในการต่อรองอะไรใดๆ คนไทยควรจะรับรู้ถึงความรู้สึกเวลาที่ถูกประเทศมหาอำนาจเหยียด ดูถูก แต่ กลับไม่เป็นเช่นนั้น เกือบทั้งหมดของคนประเทศมีความคิดความเชื่อว่า ประเทศเพื่อนบ้านนั้น เป็นประเทศด้อยพัฒนา และจนกว่าประเทศไทย ดังนั้น หากไม่มองว่า เขาจะมาปล้นจี้หรือเบียดเบียนประเทศไทย ก็ไม่มีเหตุอันใดให้ไปสนใจหรือมีปฏิสัมพันธ์ร่วมเพราะ ไม่อยู่ในเครือข่ายที่จะติดต่อธุรกิจการค้ากันได้ ดังนั้นการเกิดกรณีพิพาทกันระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือ ไทยกับลาว จากเดิมความสัมพันธ์ที่สมัยก่อนแทบจะเรียกได้ว่า เมืองพี่เมืองน้องกันนั้น ไม่รู้สมัยนี้ยังมีคนคิดแบบนี้กันอยู่หรือเปล่า หรือ เพียงแค่พูดให้ดูสวยหรู สร้างภาพเป็นคนดีเท่านั้นเอง แต่จริงๆแล้ว กลับผลักไสเขาให้ไปอยู่ชนชั้นเดียวกับคนภาคอีสาน คนที่มีอาชีพกรรมกร เกษตรกรรม ซึ่งต่ำกว่าตน จะเห็นได้จาก ป้าเจนในช่วงต้นๆของเรื่อง ที่รู้สึกจะกังวลกับ จาย แรงงานชาวลาวมาก เกรงว่าเขาจะมาลักขโมย ปล้นจี้ เหยียดเขาว่าเป็นคนต่างด้าวตามนิสัยคนกรุง แม้แต่เดิม ป้าเจนไม่ใช่คนกรุง ก็เหมือนกันกับคนกรุงเทพฯในสมัยปัจจุบัน มีคนที่มีถิ่นกำเนิดมาจาก กรุงเทพฯแท้ๆกี่คนกัน เห็นช่วง สงกรานต์ สภาพการจราจรของกรุงเทพฯจากที่เคยแน่นขนัด กลับโล่งจนผิดหูผิดตา แสดงให้เห็นว่า เกิดการย้ายถิ่นฐานมาจากต่างจังหวัดมาเกิน 50 %

แต่ คนกรุง หรือ ตัวแทนก็คือ ป้าเจนก็มิได้ยอมรับว่าตนเองเหยียดคนที่ต่ำฐานะกว่าแต่อย่างใด เมื่ออยู่ต่อหน้ากลับแสดงทีท่าเท่าเทียม ในตอนที่ป้าเจนคุยกับจายตอนเข้าสวน หลังจากที่จายเอาผ้าปิดจมูกมาให้กันยาฆ่าแมลง ป้าเจนพูดว่า “ จาย ไม่ต้องพูดสุภาพกับป้าก็ได้” เป็นถ้อยคำที่ดูสวยงาม มองเผินๆทำให้คิดว่า ทัศนะคติของป้าเจนเป็นคนที่ไม่ถือตน ไม่ยกตัวเหนือคนอื่น แต่ ขัดกับการกระทำหลายอย่าง ที่แฝงไปด้วยการดูถูกคนชนบท และไม่ได้ยอมรับการมีอยู่ของคนชนบทว่าเท่าเทียมกับคนที่นั่งไขว่ห้างทำงานบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ในห้องแอร์แต่อย่างใด เมื่อเร็วๆนี้จขบ.ได้สัมผัสกับพวกคนที่อ้างว่าตนเองเป็นคนกรุง คนเมือง ได้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ การชุมนุมของเสื้อแดงอย่างมากมาย บ้างก็บอกว่า สมองเหมือนควาย อยากได้แต่เงิน บ้างก็ว่า กลับไปกินหญ้าดีกว่ามานั่งหน้าพารากอน(ถิ่นไฮโซ ขาช๊อปของคนชนชั้นสมองกลาง (กลวง)ทั้งหลาย) แต่เมื่อสอบถามว่า การแบ่ง “ชนชั้น” มีจริงหรือเปล่า กลับตอบหน้าตาเฉยว่าไม่มี แล้วที่วิพากษ์เขาว่า บ้านนอก จน จนต้อง มาชุมนุมเพราะเงิน ส่วนมากมีแต่คนไร้การศึกษา กล่าวหาว่าเป็น ควาย “นั่นไม่ใช่การริเริ่มเอาชั้นมากั้นแล้วรึ” จขบ.จึงไม่เข้าใจ ว่าเหตุอันใด การกระทำกับคำพูดมันถึงได้สวนทางกันเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ในอินเตอร์เนตที่เราได้ประสบพบเจอ อีกมากมายหลายคนก็มีความคิดตรงกันแบบนี้ทั้งนั้น แต่กลับไม่ยอมรับ การแบ่งชนชั้น อำมาตย์ กับ ไพร่ ตามที่ คนเสื้อแดงได้เรียกร้อง นี่ก็คือ หนึ่งพฤติกรรมที่น่าฉงนและสงสัยเป็นอย่างมากของคนกรุง คนชนชั้นกลาง ว่า การพูดสิ่งที่ตรงกับใจตัวเองนั้น ยากเสียยิ่งกว่า การช๊อปปิ้งสินค้าตามสยามโซนเสียอีก

ตัวละครของป้าเจนที่เป็นตัวแทนของคนกรุงยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เราจะสังเกตได้ว่า ป้าเจนนั้น แม้จะเคยเป็นคนอีสานมาก่อนแต่ก็ย้ายถิ่นฐานเข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯมานานแล้ว ทำให้สำเนียงที่ใช้ดูแปล่งๆไป จากการที่เราก็เป็นคนอีสานเหมือนกัน แต่อยู่ในตัวเมือง ทำให้ได้รู้ว่า ภาษาไทยกลางกับไทยอีสานนั้น แตกต่างกัน ที่การใช้คำและสำเนียง หากห่างเหินจากการพูดไทยอีสานมานานก็จะทำให้ การพูดนั้น ออกกลางผสมอีสาน สำเนียงไม่เหมือนอีสานสักทีเดียว ในเรื่อง ระหว่างที่ป้าเจนคุยกับลุงบุญมีนั้นจะใช้ภาษาอีสาน แต่พอมาคุยกับ โต้ง ก็จะใช้ภาษากลาง (เพราะโต้ง ฟังภาษาลาวไม่รู้เรื่อง) ต่างจากคนอีสานซึ่งสามารถฟังภาษาลาวได้ เพราะ ภาษาลาวกับภาษาอีสานนั้นคล้ายคลึงกันมาก หรือ แม้แต่พูดกับสุนัข ตอนที่เอาอาหารไปให้สุนัขในสวนนั้น เรากลับมองว่า นี่แหละคือนิสัยตามแบบฉบับของคนกรุงแท้ๆเลยทีเดียว สุนัขมีไว้เพื่อเป็นเพื่อนยามเหงาให้กับมนุษย์เท่านั้น ปราณีมันเป็นครั้งคราวยามเกิดจิตอันเป็นกุศล แต่ยามจิตเป็นอกุศลกลับไล่ยื้อแย่งพื้นที่อยู่อาศัยของมันอย่างโหดร้ายทารุณ ไม่ได้ปรองดองเหมือนสัตว์กับคนในชนบท ถือว่าการหยิบยื่นสิ่งเล็กน้อยที่เขาพึงสมควรจะได้รับอยู่แล้ว ว่า คือ “ทาน” เหมือนการ เด็ดมะขามจากต้นไม้สูง ให้สุนัข แถมยังโยนออกไปไกลๆ ให้มันตามไปเก็บกินเสียอีก เหมือน มนุษย์ต้องการควบคุมสัตว์ที่ต่ำกว่าตัวเอง คนกรุง ที่พยายามหวังดีหยิบยื่นนำความเจริญไปสู่คนในชนบทด้วยจิตเป็นกุศล หวังให้เป็น “ทาน”และ ผู้รับต้องรู้สำนึกรู้ในบุญคุณ และ มองพวกเขาว่าเป็นผู้มีพระคุณ โดยหารู้ไม่ว่า นั่นเป็นสิทธิ์ที่พวกเขาพึงจะได้รับอยู่แล้วกับสิ่งที่ หยิบยื่นให้เขา ไม่ได้เป็นพระคุณแต่อย่างใด เพราะ คนกรุงเองนั้น เบียดเบียนและทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากกว่า คนชนบทหลายเท่าตัวนัก ทำให้ชาวชนบทต้อง “ขาดแคลน” ในสิ่งที่เขาพึงจะได้ จึงจำต้องรับการช่วยเหลือจาก “ผู้กุมธรรมชาติ”

เมื่อลุงบุญมีใกล้จะสิ้นใจ ทุกคนต่างก็มุ่งหน้าไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งฮวยเป็นคนนำทาง จากการระลึกชาติได้ของลุงบุญมี ทำให้ลุงบุญมี รับรู้ว่า ถ้ำแห่งนี้ คือ ถ้ำที่คือที่กำเนิดของตัวเองในอดีตชาติชาติใดชาติหนึ่ง อาจจะเป็นปลาดุก ในแอ่งน้ำเล็กๆ หรืออาจจะเป็นลิงผี ซึ่งลุงบุญมีรู้สึกได้ว่า เคยเกิดที่นี่แต่ไม่รู้ว่าชาติไหนหรือกี่ชาติ ถ้ำแห่งนี้ทั้งมืดทั้งหนาวยามค่ำคืน ทั้งยังมองเห็นแสงระยิบระยับจากผนังถ้ำเมื่อยามที่เดินเข้าไป ไม่รู้ว่าเป็นพลอยหรือแร่ชนิดไหนที่ส่องแสงประกายได้สวยงามขนาดนั้น ทำให้ทั้งโต้งและป้าเจนที่เคยพักอาศัยอยู่ท่ามกลางตึกรามบ้านช่องหนาแน่น มองเห็นได้แค่ควันรถ เรือยนต์ บุหรี่ และ ควันไฟจากการเผาเมือง ไม่เคยได้เห็นความสวยงามจากธรรมชาติอย่างแท้จริงมาก่อน เห็นแค่ความสวยงามที่ถูกประดิษฐ์แต่งแต้มปลอมแปลงขึ้นมาหวังจะทดแทนการทำลายธรรมชาติจากฝีมือของมนุษย์ ความสวยงามที่มาจากการแต่งแต้มวัตถุมีรึจะสวยงามสู้ความสวยงามที่มาจากธรรมชาติสร้าง จึงไม่แปลกใจที่คนเมืองส่วนใหญ่จะหาเวลาที่ว่างเว้นจากการทำงาน มาเช่าพักตากอากาศตามรีสอร์ทในต่างจังหวัดเพื่อนอนพักกลางวัน ท่ามกลางการทำงานของชาวนาชาวไร่ หรือปีนเขาเพื่อความตื่นเต้นเห็นเป็นเพียงสวนสนุก แต่แล้วก็ยังไม่ละทิ้งความสะดวกสบายของตนเองโดยปลูกสร้างเครื่องอำนวยความสะดวกทับแหล่งธรรมชาติที่สวยงามอีกครั้ง ถ้ำแห่งนี้มีอะไรมากมายที่เกิดขึ้น อาจจะเคยเป็นแหล่งกบดานลี้ภัยทางอากาศของเหล่าคอมมิวนิสต์มาก่อน อาจจะเป็นที่อยู่อาศัยของบรรพบุรุษของเรามาเป็นร้อยเป็นพันปี แต่อย่างไรก็ตามที่แห่งนี้ก็เป็นเหมือนสถานที่ บันทึกประวัติศาสตร์แทนหน้ากระดาษของแบบเรียน ซึ่งไม่สามารถบิดเบือนหรือเปลี่ยนแปลงได้ วิญญาณ หรือ สิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่นต้องเห็นรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้น หากแต่คนในยุคปัจจุบันกลับมองเพียงแค่ว่า มันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามยามพักผ่อนช่วงละวางจากงานเท่านั้น คุณค่าของมันจึงไม่ได้ถูกปกป้องด้วยความรู้สึกผูกพันของคนยุคปัจจุบันมากนัก

สมัยนี้เด็กที่เติบโตท่ามกลางทุนนิยม จะมองเห็นความสำคัญของแหล่งธรรมชาติน้อยลง และ มองผลประโยชน์ที่จะได้รับมาจากธรรมชาติมากขึ้น จึงทำให้ธรรมชาติบนโลกนี้ลดน้อยถอยลงทุกวันจนแทบใกล้จะหมดไป แล้วมนุษย์จะทำอย่างไร เมื่อถึงคราวกระชั้น คิดโครงการ หยุดยั้ง การทำลายธรรมชาติ แต่ผลสรุปก็เหมือนๆกัน ถ้าไม่ล้มเหลว ก็คงตัว การจะคิดฟื้นฟู หรือ หยุดยั้งได้อย่างแท้จริงนั้น ยาก เพราะ ไม่ปลูกฝังความรู้สึกสำนึกรักโลก รักธรรมชาติมาแต่เด็ก มองทุกสิ่งอย่างรอบกายเป็นเพียงเครื่องสนองกิเลศ ตัณหา เพียงแค่ใช้เวลาระดมความคิดแบบเสื้อ save the world ออกมาจัดจำหน่าย แล้วตอนท้ายก็เกิดเป็นความแพร่หลายให้กลายเป็นแฟชั่นเก๋ไก๋ของวัยรุ่นเท่านั้น ก็เช่นเดียวกัน สัญลักษณ์ นาซี คอมมิวนิสต์ ต่างก็ถูกเด็กรุ่นใหม่นำมาละเลงไว้บนหน้าอกเสื้อกลายเป็นแฟชั่นสวยงาม แต่หากจะถามถึงอุดมการณ์นั้น ก็มิได้รู้เรื่องอะไร ไม่แปลกใจที่ทำไม การระลึกชาติของลุงบุญมีในตอนท้าย ถึงได้เห็นภาพของเด็กยุคปัจจุบัน โพสท่าถ่ายรูปในดินแดนประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งวาดรูปลงบนพื้นอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย

เมื่อลุงบุญมีได้ลาจากโลกนี้ด้วยความสงบ งานศพอย่างใหญ่โตท่ามกลางแขกเหรื่อมากมายก็ถูกจัดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง และ โต้งก็ได้บวชเป็นภิกษุช่วงสั้นๆตามประเพณี แต่หาได้มีการลึกซึ้งในความเป็นพระภิกษุที่แท้จริงไม่ เขาได้หลบหนีจากการจำวัดในกุฏิสงฆ์ในเหตุผลที่ว่า เสียงวิทยุ โทรทัศน์จากพระห้องข้างๆดังรบกวน ยามวิกาล พระสงฆ์ต้องเข้าจำวัด หรือไม่ก็สวดมนต์ภาวนา นั่งธรรมะ แต่ พระในยุคปัจจุบันกลับทำให้เห็นว่า บกพร่องในศีล 227 ข้ออย่างมาก ดูละคร เล่นhi5 ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เมื่อโต้งหนีออกมาจากวัดเพื่อมาเจอกับป้าเจนที่โรงแรม การมาเจอกับ สีกายามวิกาลก็คือ การขาดศีลอย่างหนึ่งแล้ว ทำให้ต้องอาบัติปาราชิก และเมื่อมาถึงโรงแรม ก็ได้ถอดจีวรออกและอาบน้ำเปลี่ยนชุดก็เหมือนการล้างความเป็นพระออกไปจากตัว กลับมาเหมือนคฤหัสถ์อีกครั้ง ทั้งยังชวนป้าเจนออกไปทานอาหารทำให้ขาดศีลข้อ 8 อีกด้วย พระนั้นหากมิได้มีจิตมุ่งมั่นคิดปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัดแล้ว จะต่างอะไรจากคนปุถุชนคนธรรมดาที่ห่มกายด้วยผ้ากาสาวภักตร์เท่านั้น ซึ่ง ตามวัฒนธรรมไทยพุทธของเรานั้น นับถือ พระและ สถาบันกษัตริย์ ไว้ชั้นที่สูงกว่าเรา เหมือนกับ 4 วรรณะตามศาสนา พราหมณ์- ฮินดู ฉะนั้น คนเราเกิดมาด้วยภาพมายาที่ห่อหุ้มกายเพื่อกำหนดชนชั้นทางสังคม แต่ก็หาได้แตกต่างด้วยวิธีการกำเนิดไม่ ฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ชั้น หรือ ชาติไหน ต่างก็เป็นมนุษย์เท่าเทียมกันทั้งสิ้น ในตอนจบที่ป้าเจนกับโต้งได้ออกไปกินอาหารในร้านคาราโอเกะนั้น โต้งได้มองเห็นร่างอีกร่างหนึ่งของตัวเอง นั่งจ้องโทรทัศน์อย่างนิ่งเงียบ ดูทหารกำลังปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประเทศชาติในข่าวภาคค่ำ (ส่วนอีกภาคอาจจะกำลังทำร้ายประชาชน) อีกภาคหนึ่งนั้นก็อยู่ในคราบพระเมื่อกลับไปที่วัดก่อนรุ่งเช้า ส่วนป้าเจนนั้น ก็มีทั้งภาคที่เป็นคนอีสาน ภาคคนกรุง ภาคคนที่กำลังนั่งอยู่หน้าทีวี และ ภาคที่นั่งกินข้าวร้านคาราโอเกะ คนเราสามารถมีได้หลายภาคตามแต่ที่เราอยากจะนำเสนอให้คนอื่นได้เห็นซึ่ง คนอื่นอาจจะไม่สามารถเห็นเราได้ทุกภาค ในตัวเราอาจจะเป็นทั้ง ภาคคนดี ภาคคนร้าย ภาคนักบุญ หรือ ภาคคนบาป ก็เช่นเดียวกันกัน เราสามารถเกิดเป็นสัตว์เวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้หากยังไม่หลุดพ้นวัฏฏะสงสาร ไม่ว่าจะเกิดเป็น ลิง เป็นควาย เป็นผี ปลาดุก วนเวียนไปเรื่อยๆอย่างไม่มีวันจบสิ้น จนเราจำไมได้ว่าเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง ฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ทั้งหมดก็คือตัวเราทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เท่าเทียมกัน เพราะ เกิดมาจากที่เดียวกันทั้งนั้น คือ โลก ฉะนั้น การแบ่งชนชั้นของมนุษย์ตามสถานภาพทางสังคม หรือ การแบ่ง คน ผี และ สัตว์ ก็เป็นการกระทำที่ไร้สาระทั้งสิ้น ชั้นที่สูงกว่ามักเหยียบย่ำชั้นที่ต่ำกว่า หากคนคงยังมีความเชื่อในแบ่งการแบ่งชนชั้นอยู่ ก็ไม่มีวันที่ ปัญหาเรื่อง “ชนชั้น” จะหมดไปจากในสังคมไทย

ฉากตอนจบก่อนเพลงจะขึ้น เราจะมองเห็นร้านคาราโอเกะนั้น ถูกประดับไปด้วยไฟสีสวยงามมากมาย รวมถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ทั้งรูปพระ แท่นบูชานางกวัก ตี่จู่เอี๊ย ซึ่งทั้งสามอย่าง ถูกเรียงลำดับชั้น ไล่ลงมากจากบนผนังจน ตั้งอยู่บนพื้น ไม่ทราบว่า การตั้งคนละระดับกันนั้น สื่อให้เห็นถึงการแบ่งชั้น อีกหรือไม่ แต่ก็น่าแปลกใจที่ทำไม คนไทย ถึงได้จัดวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองนับถือไว้บนชั้นที่แตกต่างกัน อาจจะด้วยความเชื่อ ความศรัทธา ก็เป็นได้ หรือ เราลองคิดในแง่มุมของศาสนา ทั้ง พุทธ คริสต์ อิสลาม นั้น ต่างก็มีศาสดา ซึ่งถูกเล่าขานกันมาตามความเชื่อของคน ศาสนาอาจถูกตั้งขึ้นมาเพื่อยึดเหนี่ยวคนในชุมชนนั้นให้มีความหวัง ดังนั้น แต่ละชุมชนก็ตั้งศาสนาให้เหมาะกับสภาพของแต่ละชุมชนนั้น แต่หากเราลองมาดูถึงคำสอน ทุกศาสนาแทบจะมีคำสอนที่ไม่แตกต่างกัน ดังนั้น การแบ่งแยกศาสนา เพื่อให้ทะเลาะเข่นฆ่าเหมือนดังปัจจุบันหรือไม่ จุดประสงค์ของศาสนาหรืออะไร เพื่ออะไร คนในปัจจุบันหลงลืมกันไปหมดแล้ว

พอจบฉากที่ร้านคาราโอเกะ เพลงก็ได้ดังขึ้นมา ท่ามกลางความสงสัยของคนดูเป็นอย่างมากว่าเหตุใดถึงเลือกใช้เพลงนี้ เพราะ ขัดกับอารมณ์หนังมากอย่างแบบคาดไม่ถึง แต่หากมาพิจารณาถึง เนื้อหาของเพลง “acrophobia” แล้วก็ทำให้มองเห็นสิ่งที่ ผกก.ต้องการจะสื่อสิ่งสุดท้ายผ่านทางเนื้อหาของเพลง เพื่อให้ คนชั้นสูง คนชนชั้นกลาง ทางรัฐบาล รวมถึง ผู้ที่ติดยศทั้งหลาย ช่วยหันลงมามองดูคนที่ต่ำกว่าตัวเอง เช่น คนชนบท หรือ คนธรรมดาสามัญมิมียศมีอำนาจอะไรใดๆ เห็นใจ เข้าใจ และ ช่วยเดินลงบันไดที่เป็นทางเชื่อมระหว่างชนชั้นจากชั้นบนลงมาสู่ชั้นล่าง และลงมายืนบนระดับเดียวกัน เพื่อเราจะได้มองเห็นกันโดยมิจำเป็นต้องก้มหน้าหรือเหงนหน้า พูดกัน ทำความเข้าใจกัน ปรองดองกัน โดยปราศจากคำว่า “ชั้น” อีกต่อไป

สุดท้าย ประวัติของลุงบุญมีจะออกมาอย่างไร จะถูกตีพิมพ์ลงในหนังสืองานศพตามการแต่งเติมหรือบิดเบือนจากป้าเจนอย่างไร ก็ไม่มีใครรู้ (จากที่ป้าเจนได้บอกว่า เขาไม่ค่อยได้รู้จักลุงบุญมีเท่าไหร่ เพราะ เป็นญาติห่างๆ หากให้เขียนก็อาจจะต้องโม้เอาเอง) ประวัติศาสตร์ในประเทศที่เกิดขึ้น ณ บ้านนาบัว จะเป็นอย่างไร จะถูกตีพิมพ์ลงในแบบเรียนแบบบิดเบือน หรือ ถูกลบทิ้งออกจากหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ไทยหรือไม่ สิ่งที่ลุงบุญมีระลึกถึง อย่างเป็นห่วงในเรื่อง ชาด ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ โดยแสดงออกในรูปของการเล่าเรื่องชาติในอดีตของตนเอง จะส่งผลกระทบต่อ ชาติ ในภายภาคหน้าอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับ "ความเชื่อ" ของแต่ละบุคคล




Create Date : 03 สิงหาคม 2553
Last Update : 4 สิงหาคม 2553 11:00:07 น. 15 comments
Counter : 7131 Pageviews.

 
เขียนได้เห็นภาพดีค่ะ ยังไม่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ ทราบว่าดังมาก อ่านบทความของคุณแล้วคิดว่าจะไปหามาดูแน่ๆ


โดย: กุลสตรีดีแตก วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:21:32:59 น.  

 
เป็นบทวิจารณ์ที่เยี่ยมและแปลกใหม่มากๆครับ นำเสนอแง่มุม ที่หลายคน ไม่เคยสังเกต (หรือเคยสังเกตบ้าง แต่ก็คงไม่ลึกเท่านี้แน่ๆ) ตอนดู ก็ไม่ได้สังเกตจุดเล็กๆ เพราะมัวแต่มองภาพรวมของหนัง กับจุดสงสัยใหญ่ๆมากไป ทำให้ยังไม่เห็น สารแฝงได้แจ่มชัดได้เท่านี้

ก็รู้มาว่า หนังเรื่องนี้ มีเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเมืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยได้กระจ่างแจ้ง จนได้มาอ่านบทความนี้ครับ หนังผูกเรื่อง ความเชื่อ + การเมืองเก่า + การเมืองใหม่ ที่ล้ำลึกมากๆ ผูกกับสถานการณ์บ้านเมืองบ้านเราในขณะที่ได้อย่างชาญฉลาด และเสียดสี เรื่องวิถีคนเมืองได้อย่างเจ็บแสบ (ดังคำวิจารณ์ของเจ้าของบทความ)

บทความนี้ ส่วนใหญ่ผมคิดเฉกเช่นเดียวกับ จขบ เสียส่วนมาก ทั้งเรื่องชนชั้นอะไรทั้งหลาย แต่ผมอาจจะคิดตอนจบแตกต่างไม่เหมือน จขบ นิดหน่อย

ช่วงตอนจบของหนัง ที่ถูกนำเสนอออกมา ผ่านตัวละครโต้ง ที่บวช และต้องอยู่กุฎิวัด ที่ไม่มีอะไรมาเย้ายวนใจ ไร้กิเลส ต้องอยู่กับความเงียบ (เปรียบเปรยก็เหมือน “ชนบท” ที่ไม่มีความเจริญนั่นแหละ) แต่สุดท้าย ก็ทนไม่ได้ ก็ต้องกลับเข้าสู่ ความ “ศิวิไลซ์” สังคมเมือง (ห้องพัก ทีวีที่นำเสนอสื่อ เงินๆทองๆ ถอดชุดพระ) เหมือนจะกัดว่า คนกลุ่มนี้ เลือกที่จะปิดหูปิดตาตัวเอง กลับมาสู่ความเคยชิน ไม่ยอมรับความเป็นจริง แม้จะรับรู้ และยังคงทนโท่ที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนเชื่อต่อไป ในโลกของชนชั้นกลางของพวกเขาเอง...... ในขณะที่ลุงบุญมี ได้พบความจริง ยอมรับความจริงไปแล้ว (ทั้งที่ตนเคยไล่ยิงพวกคอมมิวนิสต์ ตามบทพูดที่เคยพูด)...... เนื่องจาก ทั้งคู่ ได้ลงไปสัมผัส แบบที่ลุงบุญมีพาไปสัมผัส หรือเล่า ทำให้เขาได้รับรู้ความจริงบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ ก็เหมือนกลับมา ชิลๆ ในสังคมเมืองต่อไป ถึงจะรับรู้แล้วก็เถอะ

แต่ก็เพราะการที่ 2 ตัวละครนี้รับรู้แล้ว ในตอนท้ายของหนัง หนังได้แบ่ง อนุภาค ของตัวละคร ป้าเจน + โต้ง ออกมา เป็น 2 ฝั่ง
ฝั่งนึง ของ ส่วนที่ นั่งดู สื่อ ที่กำลังยัดเยียด เหมือนหุ่น ที่รอรับโปรแกรม
กับอีกฝั่งหนึ่ง คือฝั่งที่เดินออกไป หาอะไรกิน และฉงน กับสิ่งที่เกิดขึ้น (การสงสัย ในความเป็นจริง ของเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด โดยการเอาเรื่องของความ ลึกลับ เป็น symbolic)

พูดง่าย คือสื่อว่าตัวละคร ของพวกเขา กำลัง สับสน กับความจริงของสังคมที่เกิดขึ้น กับการโกหกของรัฐบาลที่มาผ่านสื่อ สร้างภาพ นั่นเอง และพวกเขากำลัง คลางแคลงใจ
หนังจบลง ด้วยความ คลางแคลงใจ ของตัวละคร โดยไม่บอกว่า พวกเขา จะเลือกเชื่อสิ่งใด ให้คนดูคิดเอง

(เป็นแค่ควมเห้นส่วนตัวครับ แวแต่ว่า คนดูจะตีความศิลปะไปทางไหน)

ถ้าใครได้ศึกษา เรื่องในอดีต ของนาบัวก่อนจะดูหนัง คิดว่า คงเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะมันจะเกี่ยวข้องกับสมัยก่อน จะทำให้ได้อารมณ์ และเข้าใจ โจทย์ของหนังได้มากขึ้นทีเดียว
และจะดียิ่งขึ้น หากติดตาม + เปรียบเทียบกับเรื่องราวปัจจุบันด้วย

แต่ไม่ใช่ว่า หากไม่รู้เรื่องการเมืองในอดีตมาก่อน ไปดูแล้วจะไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจนะ
หนังเรื่องนี้ มันก็ยังคงมีเสน่ห์อยู่ในแง่ความเชื่อ ความลึกลับ + วิถีชนบท ที่เป็นเสน่ห์ และทำออกมาได้ดูจริงใจ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้คานส์มานอนกอด (แม้ว่าทางฝั่งนั้นก็ไม่ได้รู้การเมืองบ้านเราลึก) เพราะมันมีเสน่ห์ในมนต์ของภาพยนตร์อยู่

และยังกลับต้องมาทึ่งซ้ำ กับ message การเมืองที่แฝงในหนัง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของในแง่ อำนาจ บารมี คอมมิวนิสต์ หรืออะไร รวมถึงเพลงตอนท้ายเรื่อง ที่โดนใจผมมากๆ (ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคนชมคนอื่นๆว่าจะตีความเนื้อเพลงที่ ผกก จงใจใส่ ออกมายังไง)


โดย: Non, Je Ne Regrette Rien IP: 180.183.235.237 วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:0:45:35 น.  

 
ชาบูๆๆๆ


โดย: น้ำหนึ่ง IP: 115.87.110.106 วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:2:28:12 น.  

 
..แวะมาทักทายจ๊ะ..ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..

..HappY BrightDaY To You..


โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* วันที่: 4 สิงหาคม 2553 เวลา:16:01:51 น.  

 
ทำไมคุณถึงสะเร่อ โง่ แถมยังอวดดีแบบนี้เนอะ อยู่ในสังคมจริงๆได้ยังไงกันเนี่ยถามจริงๆเหอะ

ป.ล. ด่าเราไปก็เท่านั้นอ่ะนะ เพราะเราก็ไม่กลับมาดูหรอก แค่คุณรับรู้ก็พอแล้ว ว่าคุณโง่ และสะเร่อมาก


โดย: ไม่บอก IP: 125.24.31.137 วันที่: 5 สิงหาคม 2553 เวลา:18:12:53 น.  

 
เขียนได้มี ลึกซึ้งมากค่ะ
ส่วนพวกที่เข้ามาด่า ปล่อยมันไปเถอะค่ะ
แผ่เมตตาให้มันด้วย มันเป็นหนึ่งในพวกที่คุณวิจารณ์หนังไว้นะแหละค่ะ พวกนี้ enlight ยาก

มีอะไรดีๆ เขียนมาให้อ่านอีกนะคะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: cutepanda IP: 58.136.48.28 วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:9:59:52 น.  

 
เป็นบทวิจารณ์ที่เลิศมากเลยค่ะคุณน้องขา เขียนได้จับใจจริงๆ แต่จะบอกว่า ชนชั้นสูงที่ชอบสมสู่กับชนชั้นต่ำกว่ามีจริงๆนะครับ ไม่ใช่มีแต่ในเจ้าหญิงตุ๊กกี้หรอก แล้วก้ไม่ใช่เพราะว่าเค้าเป็นคนดี ไม่ถือตัว แต่เป็นเพราะแรงปรารถนาทางเพศครับ ซึ่งมนุษย์ทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะชั้นสูง ชั้นต่ำ ก็ไม่อาจห้ามกิเลสตัณหา ได้ทั้งนั้น

เอาของพี่มาให้อ่านบ้าง คนอ่านถล่มทลายเชียว อิอิ

//www.oknation.net/blog/joblovenuk/2010/08/10/entry-1/comment#read


โดย: Joblovenuk IP: 125.25.209.250 วันที่: 11 สิงหาคม 2553 เวลา:15:28:19 น.  

 
dfh บ้าไปแล้วสาสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส


โดย: dfh fuck dog IP: 117.47.236.113 วันที่: 11 สิงหาคม 2553 เวลา:23:00:43 น.  

 
"ผู้เจริญแล้วย่อมให้ความสำคัญแก่หน้าที่ มากกว่าสิทธิ"
ฝากไว้ว่าให้ภูมิใจในสิ่งที่ตนเป็น ไม่มีชนชั้นรากหญ้า พวกชนชั้นสูงก็อยู่ไม่ได้ การแบ่งชนชั้นไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต จะมีการแบ่งชนชั้นหรือไม่ หากเรารู้จักพึ่งตนเอง มีความพอเพียง มีความรู้ และมีภูมิคุ้มกันจากสภาวะภายนอก ชีวิตก็เป็นสุขได้

"เมื่อไม่อยากมี เราก็ไม่มีทุกข์ เมื่ออยากมี เราก็ไม่มีสุข"

จาก คนจนผู้ยิ่งใหญ่


โดย: นายแว่น IP: 125.27.252.144 วันที่: 12 สิงหาคม 2553 เวลา:0:38:02 น.  

 
ขอบคุณครับ

แต่ผมว่าพักนี้คุณดูแปลกไป ไม่เป็นตัวของตัวเองเกินไปหรือเปล่าครับ


โดย: mr_tantalum IP: 161.200.100.2 วันที่: 13 สิงหาคม 2553 เวลา:23:26:52 น.  

 
^
^

เราเป็นแบบนี้มานานแล้วค่ะ แต่ไม่เป็นอะไรที่คุณจะผิดหวังในตัวเรา แต่ขอแนะนำอย่าคาดหวังอะไรในตัวเราเลย เราก็เป็นคนธรรมดา เหมือนคนทั่วไป มีผิดพลาด สำเร็จ มีอารมณ์


โดย: dfh วันที่: 3 กันยายน 2553 เวลา:10:11:50 น.  

 
แปลกใจมั้ย?

มีแต่คนบอกว่าหนังของเจ้ยเป็นหนังไม่สนตลาด เป็นหนังเอาใจฝรั่ง เป็นหนังหัวนอก


แต่หนังทุกเรื่องของเจ้ยกลับแสดงถึงความเป็นไทยแท้ ๆ ไทยบ้านนอกได้อย่างดีที่สุด


และที่สำคัญ...

หนังของเจ้ยทุกเรื่องเป็นหนังไทยเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง ซึ่งจะมีแต่คนไทยเท่านั้นที่ดูแล้วเข้าใจหนังของเจ้ยได้ดีที่สุด (แต่ถึงอย่างนั้นกลับเป็นฝรั่งที่เห็นคุณค่าซะได้)


โดย: ชูจัง IP: 118.172.32.62 วันที่: 19 ตุลาคม 2553 เวลา:0:49:52 น.  

 
เข้ามาขอบคุณค่ะ วิเคราะห์ได้เยี่ยมจริงๆ ค่ะ


โดย: คนสองภาค IP: 90.176.165.193 วันที่: 27 กรกฎาคม 2554 เวลา:19:20:54 น.  

 
เขียนได้ดีครับ


โดย: good IP: 1.47.143.167 วันที่: 5 มีนาคม 2565 เวลา:4:58:55 น.  

 
ผมพึ่งเคยดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก หลังจากเกิดมาได้18ปี รู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเจอประโยคที่น่าสนใจแถมมีความนัยซ่อนอยู่ให้สงสัยจนอยากหาคำอธิบาย จนทำให้ผมมาเจอบทวิจารณ์นี้แหล่ะครับ เข้าใจอะไรหลายๆอย่างในตัวหนังเพิ่มขึ้นเยอะเลยครับ ขอบคุณมากๆเลยนะครับ


โดย: ใครบางคนในปี พ.ศ.2565 IP: 184.22.171.188 วันที่: 4 ตุลาคม 2565 เวลา:4:27:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

dfh
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




สามารถคุยกับเราได้ผ่าน skype และ MSN โดยกดรูปข้างล่างนี้เลยค่ะ My status
เพื่อนที่กำลังชมบล็อก
New Comments
Friends' blogs
[Add dfh's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.