เปิดลิ้นชักที่สองของความทรงจำ @ Ibis Pattaya
เป็นการยากมากที่จะเปิดลิ้นชักแห่งความทรงจำลิ้นชักนี้ ไม่ใช่เพราะไม่อยากเปิด แต่ว่าเพราะมันยังคงใหม่ในความทรงจำต่างหาก ยิ่งดู ยิ่งคิดเท่าไหร่ เหมือนเป็นการทำร้ายตัวเองเท่านั้น มีคนบอกว่าฉันชอบทำร้ายตัวเอง ถ้าสัมผัสแล้วเจ็บ ทำไมยังสัมผัสอยู่ล่ะ
หลังจากการรอคอยมเป็นเวลานาน เมื่อช่วงต้นเดือนได้มีโอกาสไปทะเลสักที หลังจากที่คุยกันมาหลายต่อหลายครั้ง ว่าอยากจะเที่ยวทะเลสักครั้ง คงเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วมั้งที่คุยกันไว้แล้วไม่ได้ลงมือทำ
หลังจากที่หายหน้าไปเกือบสิบวัน เขาก็เดินย้อนกลับมาหาฉันอีกครั้ง อย่างที่เคยเล่าๆไปว่า เราตกลงกันไว้อย่างไร เราจะไม่พูดเรื่องไม่สบายอีก เราจะทำเวลาที่เหลือให้มีความสุขที่สุด แต่ตอนนี้ ณ เวลาที่ฉันเขียนบล็อคอยู่นี่ เขาอยู่ที่ไหนฉันยังไม่รู้เลย แล้วสิ่งไหนที่เรียกว่าความสุขกับเวลาที่เหลืออยู่ล่ะ
ฉันถึงต้องเปิดลิ้นชักแห่งความทรงจำ เพื่อนำมาหล่อเลี้ยงหัวใจ รอเวลาที่เขาจะเดินกลับมาหาฉันอีกครั้ง เมื่อเขาพร้อม ฉันคงเป็นคนแปลก รู้ว่าสิ่งใดทำให้เราเจ็บปวด แทนที่จะหลีกหนี ฉันกับอยู่กับมันซะเนี่ย คงเพราะมันเป็นความสุขบนความเจ็บปวดมั้ง
หลังจากที่เราเลือกๆโรงแรมกันมาเกือบทั้งวัน Ibis เป็นที่ที่เราตกลงใจ เพราะเห็นว่าที่นี่มี Wi-Fi เผื่อฉันจะทำงาน วันที่เราเดินทางกันนั้น คืนก่อนหน้านั้นฝนตกหนักมาก และยังตกต่อมาจนถึงเช้า ทำไมช่วงเช้ารถติดมากๆ เราเลยต้องอ้อมกันหน่อย โดยผ่านทางบางแค วิ่งตรงมาเรื่อยๆ เพื่อขึ้นวงแหวนอุตสาหรกรรม แล้วมาออกทางบางนา (ขอออกตัวก่อนว่ารูปเซ็ตนี้ทั้งหมดถ่ายจากกล้องมือถือ เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่นะคะ ต้องขออภัยด้วย)
กว่าจะหลุดออกจากกรุงเทพ พร้อมทั้งเจอฝนมาตลอดทาง กว่าจะถึงพัทยา เกือบบ่ายสองโมง เลยเข้าไปเช็คอินก่อนล่ะ เพราะมันก็ตก ไปไหนไม่ได้ซะด้วย
Ibis เป็นโรงแรมในเครือ Accor ถ้ามีบัตรสามารถใช้ลดค่าที่พักได้
ด้านหน้าโรงแรม
เดินตรงเข้ามา Front จะอยู่ทางฝั่งขวา
ยืนอยู่กันเยอะมาก แต่ไม่ค่อยมีใครมาช่วยบริการเท่าไหร่เลยค่ะ ดูท่าทางเขาจะต้อนรับเฉพาะทัวร์ซะส่วนมาก ด้านซ้ายจะเป็นส่วนของที่ทาน ABF
ถัดจาก Front เข้าไปจะเป็นส่วนของ Internet Corner
ถ้าเดินตรงเข้าไปอีกนิดจะเป็นส่วนของบาร์
ต่อไปตามขึ้นมาดูบนห้องพักกันค่ะ ห้องของเราอยู่ชั้น 6 ที่นี่ไม่มีพนักงานยกกระเป๋าให้นะคะ ทุกอย่างบริการตัวเองค่ะ แต่มีคีย์การ์ดให้ 2 ใบเผื่อทะเลาะกันมั้งคะ เปิดประตูห้องเข้ามาก็อึ้งๆไปนิดนึงค่ะ ไม่คิดว่าจะแคบขนาดนี้
ตอนที่โทรจองลืมเอะใจว่าพนักงานบอกเป็นเตียงควีนไซด์
ที่เห็นทางด้านซ้ายเป็นห้องน้ำค่ะ เขาสามารถใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าทุกตารางนิ้วจริงๆ
ด้านหลังมีประตูกั้นไว้ให้อาบน้ำค่ะ
ด้านในมีครีมเป็น 3-in-1 ให้อาบน้ำพร้อมสระผมอยู่ด้วยค่ะ
ออกมาดูด้านนอกกันบ้าง ข้างเตียงนอนจะมี อืมม...จะเรียกว่าโต๊ะก็ไม่เชิง เพราะเป็นแค่แผ่นไม้หนึ่งแผ่น ใช้วางแก้วน้ำ ชา กาแฟ พร้อมทั้งกระติกน้ำร้อน
และก็มี อืมม... เรียกเก้าอี้ยาวล่ะกัน ไว้ให้ 1 ตัว ซึ่งเป็นที่ยึดของสัมภาระต่างๆเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเปิดออกไปรับลมที่ระเบียง ก็มีเก้าอี้ไว้ให้นั่งพักผ่อนหนึ่งชุด
เนื่องจากห้องพักของเราอยู่โซนกลาง ดังนั้นเมื่อชะโงกลงไปก็จะพบกับสระน้ำพอดี
หลังจากสำรวจห้องจนพอใจและรอให้ฝนหยุดตกไปในตัว ก็ได้เวลาที่เราจากไปสำรวจบรรยากาศของพัทยาดีกว่า เนื่องจากวันที่เราไปนั่นไม่ใช่เสาร์-อาทิตย์ ความคึกคักของเมืองกลางคืนแห่งนี้เลยไม่พบมากเท่าไหร่
ที่แรกที่เราแวะไปห้องคือ...อืมม...จำชื่อไม่ได้อ่ะ แต่เป็นที่ตั้งของ Believe it or not... เดินผ่านเข้าไปด้านล่างเห็นโมเดลพวกนี้แล้วถูกใจจริงๆเลย เหมือนมั่กๆ
มาถึงที่นี่แต่ไม่ได้เข้าไปดู Believe it or not กันหรอกค่ะ เพราะผ่านไปเยี่ยมๆมองๆ แล้วไม่ค่อยโดนอ่ะ เลยเดินเล่นไปเดินเล่นมา คุณผู้ชายอยากทาน Burger King เลยลงไปทานกัน มาถึงพัทยาแต่มากิน Burger King เนอะ กรุงเทพหากินได้ยากจริงๆ
มาถึงทะเลทั้งทีไม่ได้สัมผัสน้ำทะเล หรือว่าทรายคงจะมาไม่ถึงทะเลเป็นแน่ เราเลยเลือกที่จะเดินข้ามถนนกัน เพื่อไปสัมผัสทะเลกันสักนิดก็ยังดี
บรรยากาศของชายหาดพัทยาเหนือยามเย็นในวันธรรมดา
หลังจากสูดบรรยายกาศของกลิ่นอายทะเลจนเต็มปอดแล้ว คุณผู้ชายเลยพาไปขับรถชมเมืองพัทยากันซะหน่อย โดยปกติแล้วฉันเที่ยวทางฝั่งทะเลตะวันออกบ่อยมากๆ แต่อาจจะเลยไปทางระยอง จันทบุรี และตราดซะมากกว่า พัทยาเลยเป็นที่ที่ฉันมาเพียงครั้งที่สองเท่านั้น เราขับรถเลาะไปตั้งแต่ชายหาดพัทยาเหนือ กลางและใต้ จนเลียบไปเรื่อยๆจนถึงหาดจอมเทียน ไปจอดรถดูเขาตกปลากันยามดึก นั่งคุยนู่นคุยนี่ เป็นเวลาที่ดีจริงๆค่ะ ดีมาก ดีจนฉันยังจำได้ทุกคำพูด ทุกอิริยาบทของเขาเลย
เมื่อไม่มีอะไรจะทำแล้ว เลยกลับมาโรงแรมกันดีกว่าค่ะ เนื่องจากเราต้องการมาพักผ่อน เลยไม่ได้ออกลุยราตรีเลย ฉันไม่อยากให้เขาเหนื่อยมากเกินไปด้วยแหละค่ะ ขับรถมาทั้งวันแล้ว เราเลยเลือกที่จะกลับไปนอนดูหนังกันดีกว่า
มองไปจากห้องพักจะเห็นโรงแรม Amari ด้วยค่ะ พอดีว่าคืนนั้นทางโรงแรมน่าจะจัดงานอะไรสักอย่าง มีการจุดพลุฉลองชุดใหญ่เลยค่ะ
แล้วก็มาถึงเช้าวันกลับจนได้ เช้านี้เราลงมาทาน ABF ตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงเช้าเลยมั้งคะ แต่ว่าเจอกับกรุ๊ปทัวร์พอดีเลยค่ะ คนเลยเยอะแยะวุ่นวานมากๆ ไม่สามารถถ่ายรูปมาให้ได้เลยอ่ะ
พออิ่มเรียบร้อย ก็ขอเดินไปสำรวจสระว่ายน้ำสักหน่อยเถอะค่ะ เมื่อวานได้แต่มองลงมาจากด้านบนเท่านั้นเอง
มองขึ้นไปด้านบนเพื่อหาห้องพักของเราที่ชั้น 6
เสร็จเรียบร้อยก็กลับไปเก็บของเตรียมกลับกันแล้วล่ะค่ะ เนื่องจากคุณผู้ชายอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยตัดสินกลับมากรุงเทพดีกว่าค่ะ อยู่ใกล้ๆหมอไว้ดีกว่า เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน
สุดท้ายนี่คงขอส่งท้ายด้วยคลิปพลุของโรงแรมอมารีนะคะ สวยจริงๆเลยค่ะ ต้องขอบคุณคุณผู้ชายมากๆเลยนะคะ ที่พาไปในครั้งนี้ เขารู้ว่าฉันชอบทะเลมาก เรียกว่าหลงรักเลยก็ได้ ทั้งๆที่อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็ยังขับรถพาไป เพียงเพราะว่ามันเป็นที่ที่เราตั้งใจจะไปกันแล้วไม่ได้ไปสักที ต้องมีเหตุการณ์มาทำให้เปลี่ยนไปเสมอ
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าลิ้กแห่งความทรงจำของฉันจะมีลิ้นชักที่สามไหม ฉันเองอยากให้มีจนสุดใจ แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉันหรอกค่ะ ฉันมีความสุขนะ มีความสุขมาก ถึงแม้จะไม่ได้ไปไหน แค่ให้เราได้อยู่ด้วยกัน ได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง มันก็พอเพียงสำหรับฉันแล้วล่ะคะ ตอนนี้ฉันคงได้แต่นั่งดูรูปต่อไป รอว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับมาเติมเต็มความฝันให้ฉันสักที
เอาความเศร้าไปทิ้งทิเล
เอาความสดชื่น แจ่มใสจากทิเลกลับมา
เติมเต็มชีวิตให้สุข
พร้อมรับกับทุกสิ่งที่จะเข้ามาในชีวิตนะอิม