ปราจีนบุรี : ต้นศรีมหาโพธิ์ สระมรกต
ตั้งอยู่ในเขตวัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ ห่างจากตัวเมืองปราจีนบุรี 22 กิโลเมตรตามถนนสาย 319 ที่ตอนนี้กำลังก่อสร้างอยู่ วัดโดยยาวรอบประมาณ 20 เมตร สูงประมาณ 30 เมตร
ตำนานใน Wikipedia ว่า พระเจ้าทวานัมปะยะดิษฐ์ เจ้าครองเมืองศรีมโหสถ ในสมัยขอมเรืองอำนาจทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนา จึงได้ส่งคณะทูตเดินทาง ไปขอกิ่งต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับเมื่อคราวตรัสรู้ จากเจ้าผู้ครองนครปาตุลีบุตร ประเทศอินเดีย แล้วนำกิ่งโพธิ์นั้นมาปลูกที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดปราจีนบุรี แปลกดีที่มีชื่อปรากฏชัด แต่กลับไม่มีหลักฐานชั้นต้นรองรับว่ามาจากไหน
ลองไปส่อง google map ดูหน่อยจะเห็นว่าที่นี่อยู่ไกลจากเมืองโบราณสมัยทวารวดี ซึ่งเป็นรูปรี ขนาดกว้าง 700 เมตร ยาว 1500 เมตร ที่เรียกว่า บ้านโคกวัด ซึ่งเป็นรูปแบบของเมืองในสมัยทวารวดี
น่าสนใจว่า เมืองนี้มีวิวัฒนาการอย่างไร ในขณะที่พบโบราณสถานหมายเลข 11 อยู่ริมถนน 3070 เหนือเมืองโบราณ พบสระแก้วที่กุด้วยศิลาแลง ในขณะที่รอยพระพุทธบาทคู่ และสระมรกต อยู่ห่างออกไปทางใต้ราว 3 กิโลเมตร
บอกได้แต่เพียงว่า หลังจากการก่อตั้งเมืองในยุคทวารวดีราวปี พ.ศ. 1000 เมื่อถึง พ.ศ. 1700 ในช่วงบายน เมืองนั้นก็มีการขยายลงมาทางใต้ มีการขุดสระมรกต และสร้างโบราณสถานครอบบนรอยพระพุทธบาทคู่
รอยพระพุทธบาทคู่เป็นรอยเท้าเหมือนธรรมชาติ ยุคทวารวดี แต่นิ้วเท้าไม่เท่ากัน และเรียงไม่เสมอกัน สลักลึกลงบนพื้นศิลาแลงซ้าย กว้าง 1.30 เมตร ยาว 3.50 เมตร ขวา กว้าง 1.30 เมตร ยาว 3.30 เมตร กว้างทั้งคู่ 3.10 เมตร ที่น่าสนใจคือ เป็นรอยธรรมชาติหรือไม่ ตอนที่คนโบราณมาเห็นครั้งแรกคงจะมองดูคล้ายรอยเท้า แต่การเห็นเป็นรอยพระบาทคู่พร้อมธรรมจักรในปัจจุบัน มนุษย์ต้องทำขึ้นแน่นอน ทำให้แม้จะอยู่ไกลจากเมือง แต่ก็คงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีต รอยพระพุทธบาทเป็นแนวคิดแทนพระพุทธเจ้าที่มีมาแต่หลังสมัยพุทธกาล แสดงถึงการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า โดยไม่ต้องสลักเป็นรูปของพระองค์ ชาวสิงหลให้ต่อสู้กับชาวทมิฬที่เข้ามารุกราน นับแต่พุทธศตวรรษที่ 5 หากเชื่อว่ารอยพุทธบาทนี้มีอายุในช่วง พุทธศตวรรษที่ 13-14 ก็จะสัมพันธ์กับจารึกเนินสระบัว กำหนดศักราช พ.ศ. 1304 ตามข้อมูลจารึกของศูนย์มนุษยวิทยาสิรินทร ในขณะที่อีก 400 ปีต่อมาในสมัยบายน จะมีจารึกในโบราณวัตถุสำริด กล่าวถึงการถวายสิ่งของแก่อโรคยาศาลที่ชื่อ สังโวกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 รอยกากบาทนั้นจะสัมพันธ์กับการทำลายรูปปั้นในพุทธศาสนาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ในรัชกาลต่อมาหรือไม่นั้น เรื่องนี้ยังไม่มีข้อมูลใดๆ ให้อ้างอิงมากพอ รู้แต่ว่าเมืองนี้ได้ถูกทิ้งร้างนับแต่เวลานั้น ไม่มีร่องรอยวัฒนธรรมใดๆ อีกเลย
หลังจากออกจากโบราณสถานสระมรกต ก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมง เราอยู่หางจากรุงเทพราว 120 กม. ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ไปตามถนน 319 ถึงพนมสารคาม แล้วเข้าถนนสาย 304 ที่สามารถตีรถยาวผ่านฉะเชิงเทรา สุวินทวงศ์เข้ามากรุงเทพได้ แต่เราเลือกที่จะแวะหาร้านอาหารก่อนกลับ ร้านที่เราเลือกนั้นย่อมอยู่ในเส้นทาง นั่นก็คือ เถ้าแก่ซื้อ ไม่พลาดที่จะสั่งของขึ้นชื่อ นั่นก็คือ ต้มยำกุ้งและแฮ่กึ๋นทอด ไม่ผิดหวังกับขนาดของกุ้งในต้มยำ แต่รสชาตินั้น เราอาจไม่คุ้นชิน อย่างที่เค้าเล่าในรายการล่ะ ว่าเป็นต้มยำแบบคนจีน มันจะไม่ดุดันแบบต้มยำคนไทย ส่วนแฮ่กึ๋นจัดได้ว่าอร่อยเลย มาถึงบางคล้า ก็ควรที่จะแวะเที่ยวอีกสักที่หนึ่ง นั่นก็คือพระพิฆเศคลองเขื่อน เรื่องความนับถือก็แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคล แต่ผมรู้สึกชื่นชมความงาม ผมว่าทำออกมาได้งดงามน่าบูชาเลยทีเดียว และนี่ก็คือสถานที่สุดท้ายในทริปนี้ ก่อนที่เราจะตียาวเข้าถนน 304 กลับกรุงเทพผ่านถนนสุวินทวงศ์ เป็นทริป 1 วัน ที่เชื่อว่า น่าจะคุ้มค่าที่สุดอีกหนึ่งทริป แม้ในใจนั้นจะยังมีข้อมูลเมืองโบราณที่น่าสนใจและอยู่ใกล้เคียง แต่ว่าไม่มีเวลาพอแล้ว
Create Date : 05 ตุลาคม 2564 |
|
5 comments |
Last Update : 5 ตุลาคม 2564 15:23:42 น. |
Counter : 1218 Pageviews. |
|
|