|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
11 สิงหาคม 2551
|
|
|
|
ไทยแพ้คดีเสียดินแดนให้เขมร
เมื่อสักสองเดือนก่อน เรื่องเขาพระวิหารยังไม่ได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ได้อ่านข้อมูลจากเวปเสธ ชื่อดังท่านหนึ่ง ได้เห็นรูปแผนที่ ที่ฝรั่งเศส ทำขึ้น และชนะคดีที่ศาลโลก ได้เห็นแผนที่ที่ ครม ไทยขีดเส้นเว้นตัวปราสาทไว้ 15 ไร่ เสธ ท่านก็สรุปว่า ทหารกัมพูชา สำนึกในบุญคุณทหารไทย ที่ช่วยเหลือคราวสงครามกลางเมือง ไม่เคยคิดอะไรมากมายไปกว่า อยากขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท เพื่อจะได้เป็นแหล่งท่องเที่ยว
ไทยก็จะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว เพราะไปทางกัมพูชาไม่สะดวก ข้าราชการฝ่ายต่างๆ ได้ดูแลเรื่องแผนที่เป็นอย่างดี รับรองว่า จะไม่มีการเสียดินแดนอย่างแน่นอน พวกพันธมิตร สร้างข่าวให้ใหญ่โต จากที่กัมพูชาไม่รู้ว่ามีพื้นที่ 4.6 ตร กิโลเมตร จากแผนที่ฝรั่งเศส ก็จะกลายเป็นชี้โพรงให้กระรอก ฉนั้นเรื่องนี้ ทางที่ดี เงียบไว้จะดีกว่า
แต่เมื่อได้ฟังจากแถลงการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ว่าพื้นที่ทับซ้อนนั้น จะต้องเจรจา ตกลงให้ได้ภายใน 2 ปี ผมก็รู้สึกว่า มันไม่ใช่อย่างที่เสธ ว่าเลยนี่นา กัมพูชาไ่ม่ได้ลืมเลือนเรื่องแผนที่เลย ฉนั้นความจริงเรื่องนี้คืออะไร เราคงต้องกลับไปที่คำสั่งของศาลโลก ปี 1962 แต่ด้วยความรู้ภาษาอังกฤษที่อ่อนด้อย และยังเป็นภาษากฎหมายที่เข้าใจยาก เลยต้องหาหนังสือที่เค้าแปลเป้นภาษาไทย คงจะเข้าใจอะไรได้มากกว่า
ช่วงนี้ก็มีหนังสือเรื่องดังกล่าว 2-3 เล่มในร้านหนังสือ เล่มที่ผมหยิบมาก็คือ
ไทยแพ้คดี เสียดินแดนให้เขมร คดีเขาพระวิหาร โดย บุญร่วม เทียมจันทร์ และทีมงาน สำนักพิมพ์ animate group
เริ่มต้นด้วยการแนะนำความเป็นมาของปราสาทเหนือขุนเขาแห่งนี้ ตามมาด้วย ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนมาถึงเนื้อหาหลักคือ ตำสั่งของศาลโลก ที่สรุปและแปลเป็นภาษาไทย ซึงถ้าเคยที่ฟังถ่ายทอดสดคดีที่ศาลตัดสิน ซึ่งช่วงนี้ก็มีหลายคดี ก็จะเห็นว่า ศาลจะอรัมภบท ที่มาที่ไป หลักฐานต่างๆ ของสองฝ่าย และสุดท้ายก็จะเป็นคำตัดสินสั้นๆ ซึ่งในกรณีนี้ คำฟ้องคือ ปราสาทพระวิหารอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชาหรือไม่
ศาลโลก โดยคะแนเสียงเก้าต่อสาม ลงความเห็นว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยกัมพูชา
จึงพิพากษา โดยคะแนนเก้าต่อสาม ว่าประเทศไทยมีพันธะที่ต้องถอนทหาร หรือตำรวจผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยส่งออกไปประจำอยู่ที่ปราสาท พระวิหารหรือบริเวณใกล้เคียงบนอาณาจักรกัมพูชา
โดยตะแนเสียงเจ็ดต่อห้า ประเทศไทยมีพันธะที่ต้องคืนบรรดาวัตถุที่เจ้าหน้าที่ไทย ได้โยกย้ายไปจากปราสาทหรือบริเวณปราสาท
ซึ่งเมื่ออ่านถึงตรงนี้ เราคงสรุปได้ว่า เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น ที่ศาลได้พิพาษา ฉนั้นไม่มีข้อคลางแคลงอันใด ในสิทธิ์ของกัมพูชาต่อปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่อันสมควรได้รับ แม้คำสั้งศาลจะไม่ระบุพื้นที่ที่ไทยต้องมอบให้ด้วยซ้ำไป แต่พื้นที่ขีดเส้นให้ตามมติ ครม. 2505 จำนวน 15 ไร่นั้น ก็สมควรแก่คำสั่งศาลแล้ว
แต่หากกัมพูชาต้องการพื้นที่ทับซ้อนคามแผนที่ฝรั่งเศส ก็ต้องไปฟ้องศาลโลกให้มีคำพิพากษาเอาเอง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมาเจรจาอะไรกับประเทศไทย เพราะไทยแสดงเจตนาในพื้นทีทับซ้อน ว่าเป็นของไทยมาโดยตลอด
คุณค่ามากที่สุดของหนังสือเล่มนี้ พบอยู่ในส่วนสุดท้าย มันคือคำพิพากษาแย้งของผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยทั้งสามท่าน
ลูซิโอ เอ็ม มอเรโน กินตานา จากอาร์เจนติน่า เซอร์ เพอร์ซี่ สเปนเดอร์ จากออสเตรเลีย และ วี เค เวลลิงตัน คู จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน
ซึ่งตำพิพากษาแย้งของแต่ละท่าน ต่างขึ้นต้นว่า " ข้าพเจ้ามีความเสียใจ ที่ไม่อาจเห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาล .........." แล้วก็พูดถึงความห็นที่ว่า ไทยควรเป็นเจ้าของปราสาทเพราะอะไร ซึ่งมันเป็นส่วนที่อ่านยากที่สุด เพราะผมรู้สึกตื้นตันอยูในลำคอตลอดเวลา
มันเป็นเหตุและผลที่เข้าใจได้ง่ายว่า ทำไมปราสาทเขาพระวิหารจึงควรเป็นของไทย และทำไมไทยจึงไม่เคยแย้งแผนที่ฝรั่งเศสฉบับนั้น
และสิ่งสุดท้ายที่ผมสังเกตเห็นจากรายชื่อผู้พิพากษาก็คือ จากผู้พิพากษา 15 ท่าน มีี 3 ท่าน ที่งดออกเสียง 2 คนป่วย อีกคนนั้นงดออกเสียงเพราะเป็นทนายฝ่ายไทย แต่ผู้พิพากษา ที่เป็นชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้กลับไม่งดออกเสียง แปลกไหม ?
Create Date : 11 สิงหาคม 2551 |
Last Update : 4 มีนาคม 2553 15:00:44 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1000 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
ผู้ชายในสายลมหนาว |
|
|
|
|