เรื่องเล่าแห่งมหาภารตะยุทธิ์ (7)
เมื่อครั้งโทรณาจารย์ยังเป็นพราหมณ์น้อยอยู่วัยศึกษาเล่าเรียน ได้เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับท้าวทรุปัท ซึ่งรักใคร่สนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง ท้าวทรุปัทให้สัญญาว่า ต่อไปเมื่อตนได้เป็นกษัตริย์ หากโทรณาจารย์ไปอยู่ด้วยกัน จะเลี้ยงดูให้มีความสุขสบายไปตลอดชีวิต
เมื่อแยกย้ายกันไปหลังเรียนจบ โทรณาจารย์ก็แต่งงานมีลูก แต่ด้วยความที่เป็นพราหมณ์ก็มีฐานะไม่ดีนัก อดๆอยากๆ จนถึงขั้นไม่มีนมให้ลูกกิน จึงบากหน้าไปหาท้าวทรุปัทผู้เป็นเพื่อน ซึ่งตอนนั้นได้ขึ้นครองราชย์แล้ว แต่ท้าวทรุปัทกลับทำเป็นไม่รู้จัก และขับไล่โทรณาจารย์ออกจากเมืองไป
เรืองนี้จึงกลายเป็นแค้นที่ต้องชำระ ฉนั้นเมื่อเหล่าลูกศิษย์พี่น้องเการพและปาณฑพเรียนจนจบวิชาที่จะสอน ก็ต้องมีการทดแทนคุณของครู โทรณาจารย์จึงให้ลูกศิษย์ไปรบกับแคว้นปัญจาละ ท้าวทรุปัทไม่สามารถต่อสู้กับลูกศิษย์ของโทรณาจารย์ได้ โดยพ่ายแพ้ให้กับอรชุน
แต่โทรณาจารย์เห็นแก่ไม่ตรีในครั้งเก่า จึงแบ่งแคว้นปัญจาละครึ่งหนึ่งให้ท้าวทรุปัทปกครองต่อไป ท้าวทรุปัทแค้นใจในการพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงสวดมนต์อ้อนวอนขอบุตรที่เก่งกาจเพื่อกลับมาแก้แค้นโทรณาจารย์ พอดีมีฤาษีตนหนึ่งผ่านมา จึงได้ช่วยทำพิธีขอบุตรจากกองเพลิงให้
โดยบุตรคนแรกเป็นลูกชายชื่อ ธฤษฏะทยุมัน ซึ่งเกิดมาเพื่อเป็นคนที่จะสังหารโธรณาจารย์คู่แค้นของท้าวทรุปัท คนที่สองเป็นบุตรสาว ชื่อนางเทราปตี ซึ่งทำให้อรชุนกลายมาเป็นลูกเขยของตน คนสุดท้ายคือบุตรสาวที่มีที่มาอันซับซ้อนคือ ศิขัณทิน
คงต้องย้อนกลับไปในสมัยที่ ภีษมะยังเป็นหนุ่ม แคว้นกาสีได้จัดให้มีพิธีการแต่งงานของลูกสาว โดยเชิญชวนให้เหล่ากษัตริย์ของทุกแคว้นเข้าร่วมการต่อสู้ เพื่อที่ผู้ชนะนั้น จะได้บุตรสาวทั้งสามคนของพระองค์ไปเป็นมเหสี คือ เจ้าหญิงอัมพา เจ้าหญิงอัมพิกา และเจ้าหญิงอัมพาลิกา
ในส่วนของแคว้นกุรุนั้นพระราชาคือ ท้าววิจิตรวีรยะนั้นไม่มีฝีมือทางการรบ หน้าที่นี้จึงตกเป็นของ ภีษมะ แน่นอนย่อมไม่มีใครต้านทานฝีมือบุตรของเจ้าแม่คงคาได้ แต่เมื่อได้เจ้าหญิงทั้งสามมายังกรุงหัสตินาปุระแล้ว เจ้าหญิงอัมพาได้บอกภีษมะว่า นางรักใคร่อยู่กับท้าวศัลวะ จะขอกลับไปแต่งงาน ภีษมะก็ยินยอม แต่เมื่อเจ้าหญิงอัมพาเดินทางไปหาท้าวศัลวะ พระองค์กลับไม่ยอมรับตัวนางไว้ เพราะนางนั้นตกเป็นสมบัติของชายอื่นไปแล้ว
เจ้าหญิงอัมพาจึงกลับมาหาภีษมะและขอร้องให้แต่งงานกับเธอ ภีษมะจึงต้องบอกเจ้ากญิงทั้งสามว่า ตนไม่สามารถจะแต่งงานได้ เนื่องจากรับปากกับชายชาวประมง พ่อของนางสัตยวดีไว้ เจ้าหญิงอัมพารู้สึกแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง จึงสาบานว่าชาตินี้จะต้องฆ่าภีษมะให้ได้ แล้วจึงเข้าป่าไปบำเพ็ญตน จนพระศิวะต้องออกมาประทานพวงมาลัยที่ไม่มีวันเหี่ยวเฉาให้กับนาง และพรวิเศษที่ว่าหากใครได้คล้องพวงมาลัยพวงนี้แล้ว ก็จะสามารถฆ่าภีษมะได้
เจ้าหญิงอัมพาจึงออกเดินทางไปยังเมืองต่างๆ เพื่อหาคนที่จะคล้องมาลัยนี้ แต่อนิจจา พรวิเศษจากศิวะเทพกลับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่มีกษัตริย์คนใดกล้าสวมใส่มันไปสู้กับภีษมะแม้แต่คนเดียว เจ้าหญิงอัมพาเหนื่อยล้ากับภารกิจนี้เหลือเกิน เมื่อมาถึงเมืองสุดท้ายคือ แคว้นปัญจาละของท้าวทรุปัทที่เป็นคู่แค้นกับแคว้นกุรุจากการทำสงคราม
แต่กระนั้นเองท้าวทรุปัทก็ไม่กล้าอีกเช่นกัน ด้วยความแค้นใจที่ไม่สามารถฆ่าภีษมะได้ แม้จะได้พรจากพระศิวะแล้วก็ตาม นางจึงหมดหวังในที่สุด แล้วจึงกล่าวว่า หากไม่มีผู้ใดกล้าไปฆ่าภีษมะแล้วไซร้ นางจะเป็นคนไปฆ่าภีษมะด้วยตัวเอง พูดแล้วนางก็แขวนพวงมาลัยไว้ที่หน้าประตูเมือง แล้วกระโดดเข้ากองไฟตาย
นางจึงได้กลับมาเกิดเป็นลูกของท้าวทรุปัท เมื่อโตขึ้นเธอเดินผ่านหน้าประตูเมือง ซึ่งจนถึงวันนั้น พวงมาลัยพวงนั้นก็ยังคงสดอยู่ นางได้เอาลงมาแขวนคอทำให้ระลึกได้ว่า นางเป็นใครในชาติที่แล้ว เธอจึงไปแลกเพศกับยักษ์ตนหนึ่ง กลายเป็นชายที่หัวใจเป็นหญิง แล้วเข้าร่วมรบในสงครามทุ่งกรุเกษตร เพื่อฆ่าท้าวภีษมะ นักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นเอง
และหากย้อนกลับไปอ่านตอนก่อน เจ้าหญิงอัมพิกาและเจ้าหญิงอัมพาลิกา ต่อมาก็ได้แต่งงานก้บท้าววิจิตรวีรยะนั่นเอง
Create Date : 03 เมษายน 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 16 เมษายน 2553 9:58:39 น. |
Counter : 1396 Pageviews. |
|
|