Nonplay .. บันทึก ความเรียง เรื่องของ หนังสือ ศิลปะ ดนตรี กับข้าว ธรรมะ ฯลฯ

 
มกราคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
4 มกราคม 2551
 

พระพุทธเจ้า (ภาคการ์ตูน)

วันที่ผมเข้าไปดูหนังเรื่องนี้นั้น ดูเหมือนหนังจะเข้าฉายแล้วกว่าสัปดาห์ จึงไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คน เพื่อให้ได้ชื่อว่าดูก่อนคนอื่น อย่างไรก็ตาม ในกระแสหนังปัจจุบัน ผมว่าหนังอย่าง พระพุทธเจ้า ไม่ใช่หนังที่คนแย่งกันดู และจริงดังคาด

โชคดีเหลือเกินที่ก่อนที่ผมจะไปดูหนังเรื่องนี้ เพื่อนส่งหนังสือ “พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน” ของ วศิน อินทสะ มาให้อ่าน อ่านแล้ว พูดได้ว่า แทบจะทั้งหมดเป็นสาระของธรรมที่พุทธเจ้าตรัสรู้ ยิ่งอ่าน ยิ่งเข้าใจความเป็นไปของชีวิต เล่มนี้เล่มเดียวแทบจะเป็นทางลัดในการทำความใจธรรมะ (แนะนำให้หาอ่านอย่างยิ่งครับ)

บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอ๋ย ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งทั้งหลายมีความแตกดับไปสลายไปเป็นธรรมดา จะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปเคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวทุกขณะ

เป็นหนังสือที่มีความหนาเพียงอ่านไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็จบ แต่ต้องขบนานกว่าจะเข้าใจ อย่างบทที่พุทธเจ้าตรัสว่า
“คนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดีถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์หรือมากกว่านั้นก็พออยู่ได้” ตรงนี้ ถ้าไม่อธิบายว่า อิทธิบาทภาวนา คืออย่างไร คนอ่านจะไม่เข้าใจ ต้องหาหนังสือเล่มอื่นอ่านอีก แต่โดยรวมแล้ว เป็นหนังสือที่ควรอ่าน

ย้อนมาถึงหนัง หนังเรื่องนี้ ฟังว่าผู้สร้างหนังนั้น มีศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะทำหนังเรื่องนี้ออกมา ดูเหมือนจะให้มีความถูกต้องตามพุทธประวัติ ขนาดที่มหาจุฬาฯเป็นผู้ตรวจสอบบททั้งหมด แน่นอนว่า คำพูดหลายๆคำของพุทธเจ้าในหนัง ก็เป็นคำพูดแบบเดียวกับในหนังสือ พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน

แต่หนังเรื่องนี้ก็มีความเป็นสารคดีมากกว่าจะเป็นหนัง ผมคิดเล่นๆ ถ้าผมเป็นคนทำหนัง ผมจะเอาบทที่พระอานนท์ คร่ำครวญร้องไห้อาลัยอาวรณ์ขึ้นมาก่อน พระพุทธเจ้าทรงใช้ให้ภิกษุไปเรียก แล้วทรงตรัสว่า “บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอ๋ย ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุด” เพราะนั่นคงทำให้หนังมีความเป็นหนัง ที่น่าค้นหา เพราะคนดูหนัง จะเกิดคำถามว่า เพราะเหตุใด พุทธเจ้าถึงได้ตรัสเช่นนี้ แต่วิธีการที่หนังเรื่องนี้ทำก็คือ เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา กลายเป็นสารคดี ที่ไม่มีจุดไคลแม๊กซ์เอาเสียเลย แต่พอผมได้ฟังเพื่อนเล่าถึงคนสร้างหนัง (ที่ให้สัมภาษณ์ทางทีวี) ว่า เขาลงทุนลงแรงเท่าไรแล้ว ก็อดที่จะรู้สึกชื่นชมเขาไม่ได้ นอกจากนี้ เขาก็เป็นเพียงผู้ที่ต้องการสร้างหนังเรื่องนี้ ไม่เคยสร้างหนังเรื่องอื่นมาก่อน อีกทั้งในทีมงานก็มีหลายคนที่ไม่ใช่มืออาชีพในการทำหนังอะนิเมชั่นเช่นนั้น ดังนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมนักวิจารณ์ถึงบอกว่า หนังไม่สวย ดูไม่ได้อารมณ์

ผมว่าจะหาโอกาสไปดูอีกรอบ ก็ไม่ได้ไปดู นี่ตั้งใจว่า เมื่อไรออกเป็นแผ่นดีวีดี จะต้องซื้อไว้


ขอพูดถึงในรายละเอียดของเนื้อหาของหนังอีกหน่อยหนึ่ง หนังเรื่องนี้เหมือนอ่านพุทธประวัติขนาดยาว (แต่เล่าไม่ละเอียด) เต็มไปด้วยฉากและคำพูดที่เป็นพุทธวจนะเด่นๆของพุทธเจ้า แต่คนที่ไม่เคยศึกษาก็อาจจะดูแล้วเข้าใจยาก ไม่ว่าจะเป็นตอนที่โสตถิยะพราหมณ์น้อมถวายหญ้าคา 8 กำ (ซึ่งแฝงความนัยว่าพระองค์จะได้อาศัยอริยมรรคทั้ง 8 เป็นรากฐาน) หรือตอนที่นางนาฎสุชาดา มหาทานาธิบดี ถวายข้าวมธุปายาส กระทั่งในตอนใกล้ปรินิพพาน ก็รับถวายอาหารจากนายจุทะ ซึ่งทั้งหมดมีนัยแฝง ที่หนังเองก็สื่อออกมาได้ยาก ผมคิดว่าคนดูหลายๆคน ถ้าหากดูผ่านๆอาจจะไม่เข้าใจนัก แต่ถ้าหากใช้เพื่อศึกษาแล้วจะเข้าใจและลึกซึ้งได้ในที่สุด




 

Create Date : 04 มกราคม 2551
0 comments
Last Update : 10 มกราคม 2551 20:06:24 น.
Counter : 1061 Pageviews.

 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ยามครับ
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add ยามครับ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com