เมื่อคนแข็งแรงอย่างฉันป่วยเป็น SLE
ห่างหายไปนานเลยทีเดียวกับการเขียน blog นานจนลืมไปแล้วว่ามันต้องเริ่มต้นยังไงนะไอ้การอัพ blog เนี่ย 55
เพราะมัวแต่ยุ่งกับงานประจำ จนลืมไปเลยว่า เอ้ย เราเคยเป็นคนชอบเพ้อเจ้อจนเขียนอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวมานักต่อนัก แล้วไอ้ความรู้สึกอยากเขียนมันหายไปไหนหมดนะ สมองไม่แล่นเลย ไม่เลยจริง ๆ - -" จนวันนี้ ก็ยังไม่ได้มีอารมณ์อยากเขียนมากนักหรอก แต่บอกกับตัวเองว่าต้องเขียน เพราะพอเวลาผ่านไป วันที่เรากลับมาเปิดมันอ่านอีกครั้ง เราจะได้รู้ว่าช่วงเวลานี้เรากำลังทำอะไร และมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง
เอาล่ะ เข้าเรื่องเถอะ !!
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า ถึงแม้เราจะเป็นคนมีร่างกายแข็งแรงแต่ก็ชะล่าใจไม่ได้นะว่าเราจะไม่เป็นโรคอะไร ปกติแล้ว จขกท เป็นคนที่ไม่ค่อยเจ็บป่วย มากสุดก็แค่เป็นหวัดแต่กินยาสองสามวันก็หาย เพราะฉะนั้น จขกท กับ รพ จึงแทบไม่ค่อยได้พบปะกันเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ประมาณเดือนตุลาคม 2557 นั่งทำงานอยู่ดี ๆ พอจะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานปรากฏว่าปวดข้อเข่า ปวดมากจนต้องใช้มือดันตัวเองขึ้นมาให้ลุกได้ ตอนนั้นก็รู้สึกแปลกใจว่า เอ๊ะ เราเป็นอะไรนะ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่ว่าอาจจะนั่งนานเกินไป ก็อืม ทนต่อไป แต่ตอนเดินก็เดินขากะเผลก ๆ ไป เพื่อนถามก็บอกว่าปวดข้อ เพื่อนก็พากันหัวเราะ บางคนก็แซวว่าแก่แล้ว (ข้าเพิ่งจะ 29 เองนะตอนนั้น) บางคนก็ว่า อะไร๊ มันจะปวดมากขนาดนั้นเลยเหรอวะ (เออสิ พวกเมิงไม่รู้หรอกว่าตูปวดแค่ไหน พวกเมิงไม่มาเป็นตูนี่...ทั้งหมดนี้ได้แต่คิดในใจ)
ปวดอยู่สักวันสองวันก็หาย เราก็ใช้ชีวิตปกติมาเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งตื่นนอนตอนเช้า จะลุกจากที่นอนปรากฎว่าลุกไม่ได้จ้า ปวดหลัง ปวดคอ ยังนึกว่าเฮ่ยเรานอนตกหมอนเหรอ ก็ไม่นะ แต่ทำไมลุกไม่ได้ ด้วยความที่อยู่หอคนเดียวก็เรียกให้ใครช่วยไม่ได้ก็เลยต้องช่วยเหลือตัวเองนี่แหละ พลิกไปพลิกมา ใช้มือดัน ทำทุกท่วงท่ากว่าจะดึงตัวเองขึ้นมาจากเตียงได้ คือจะบิดจะหันไปทางไหนมันก็เจ็บ ต้องใช้มือยันแล้วทนเจ็บเฮือกเดียวเพื่อลุกขึ้นมา เฮ่อ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองป่วยอะไรก็คิดว่าสงสัยคงนอนตกเตียงแล้วจำไม่ได้
ธันวาคม 2557 เริ่มรู้สึกว่าตัวเองป่วย มีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย ไปหาหมอก็ได้ยาแก้ไข้หวัดมาแต่ผ่านไปหลายวันแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น วันหยุดสิ้นปีเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด ก็ไปแบบป่วย ๆ กลับถึงบ้านเริ่มปวดข้ออีก คราวนี้ปวดข้อเข่าหนักมาก นั่งยอง ๆ ไม่ได้เลย คือปวดจนแทบร้องไห้ พ่อก็เลยพาไปหาหมอที่ตัวอำเภอ หมอวินิจฉัยแล้วบอกว่าที่ปวดข้อนี่เพราะเราไข้นะ หายไข้แล้วคงจะดีขึ้น - -" จขกท ก็กลับบ้านมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่ไม่ได้ทุเลาลงเลย ก็กินยาแก้ไข้หวัดต่อไป ก็หมอเค้าวินิจฉัยมาแล้วนี่นะ ต้องเชื่อหมอเสะ
กลับขึ้นมา กทม ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป ระหว่างนั้นก็มีปวดตามข้อเท้า ข้อเข่า ข้อศอกบ้าง สลับ ๆ กันไป อาการมันจะประมาณว่า วันนี้ตื่นมาปวดข้อศอก ตอนเย็นหาย แล้วเช้าอีกวันจะย้ายไปปวดที่ข้อเท้า พออีกวันก็ย้ายไปปวดข้อนิ้วข้างขวา แล้วย้ายมาข้อนิ้วด้านซ้าย อะไรประมาณนี้ ก็ย้ายที่ปวดไปเรื่อย ๆ แบบที่เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าพรุ่งนี้จะปวดตรงไหน เหมือนเรากำลังเล่นไล่จับกับไอ้เจ้าโรคนี้ที่วิ่งเปลี่ยนที่ไปทุกวัน ๆ ทรมาณใช้ได้เลยทีเดียว
จนกระทั่งเข้าเดือน พค 2558 เริ่มมีอาการข้อบวม ครั้งแรกสังเกตเห็นข้อเท้าตัวเองบวมมากก็ เฮ่ย เจ็บไม่พอยังบวมด้วยเหรอ ก็ยังอีกนะ ยังไม่คิดสงสัยว่าตัวเองเป็นอะไร ก็ใช้ชีวิตต่อไป ไปทำงานแบบข้อเท้าบวม เดินกะเผลก ๆ ไป สองสามวันมันก็หายบวม พอผ่านไปอีกวันสองวันมันก็ย้ายที่ไปบวมที่ข้อศอก ตอนนี้แหละชักยังไง ๆ ละ เริ่มสงสัย ประกอบกับหนังตาก็บวม เจ้านายทักว่าทำไมตาบวม หน้าบวม ไปหาหมอมั๊ย เท่านั้นแหละกลับมาส่องกระจกเลยจ้า บวมจริง ๆ ด้วย คราวนี้ไม่รีรอ วันรุ่งขึ้นไปหาหมอ ก็บอกอาการไป หมอก็เลยให้เจาะเลือดแล้วบอกให้มาฟังผลอาทิตย์ถัดไป ก่อนกลับบ้านหมอก็บอกคร่าว ๆ ว่าสงสัยอยู่สองโรคนะ คือ รูมาตอยด์ กับ โรคพุ่มพวง อืมมมม เราก็เฮ่ย โรคอะไรนะไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย เคยได้ยินแต่ว่าพุ่มพวงเสียเพราะโรคประจำตัวอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้มาก่อนว่าเค้าเรียกอะไร
ระหว่างรอผลก็กลับมาหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับสองโรคนี้ ตอนแรกไม่คิดหาข้อมูลโรคพุ่มพวงหรือ SLE เลย เพราะคิดว่าเราไม่เป็นหรอก คนแข็งแรงอย่างเราจะเป็นโรคนี้ได้ยังไง ก็เลยหาข้อมูลเฉพาะโรครูมาตอยด์ ก็พบว่ามันก็รุนแรงนะ แล้วอาการหลายอย่างเราก็ตรงนะ ปวดตามข้อไรงี้ ตอนนั้นเริ่มเศร้าละ เริ่มคิดไปต่าง ๆ นานา เริ่มขอพรภาวนาว่าอย่าเป็นเลย มันร้ายแรงมากนะ
ในที่สุดวันที่หมอนัดฟังผลก็มาถึง เราก็ไปแบบหัวใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ กลัวหมอบอกว่าเป็น - -" พอหมอเรียกเข้าไปก็ให้ดูผลเลือด เราดูไม่รู้เรื่องหรอกจนหมออธิบายทีละตัว ๆ สุดท้ายหมอสรุปว่า ไม่เป็นรูมาตอยด์นะจ๊ะ ก็แบบโหยยย โล่งใจมาก แต่นะจ๊ะแต่ หมอนัดมาเจาะเลือดอีกครั้งเพื่อตรวจหาโรค SLE เพราะพอข้อสันนิษฐานแรกของหมอตกไปก็เหลืออีกข้อคือโรคพุ่มพวง ซึ่งหมอบอกรุนแรงกว่ารูมาตอยด์อีก เอาล่ะ ทีนี้ก็กลับบ้านมาแบบวิตก แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่ปวดข้ออีกเลย ก็ชะล่าใจคิดว่าคงหายแล้วแหละ ก็เลยไม่ไปเจาะเลือดตามหมอนัด งานเข้าเลยทีนี้
มิถุนายน 2558 ตื่นมาก็เห็นจ้ำเลือดที่ขาเต็มไปหมด เป็นจ้ำแบบช้ำเลือด ตอนแรกก็คิดว่ายุงกัดเหรอ แต่ทำไมจ้ำมันใหญ่ขนาดนี้ ก็ยังอุตส่าห์คิดบวกอีกว่าไม่มีอะไรหรอกมั๊ง เพราะเอามือกดก็ไม่ปวดนี่ ก็ใช้ชีวิตต่อไป จ้ำนี่ก็อยู่บนขาประมาณอาทิตย์นึงก็หายไปวันสองวัน แล้วมันก็กลับมาอีก อยู่เป็นอาทิตย์ก็หายไปอีก อินี่ก็ยังอุตส่าห์ทนไม่ไปหาหมอ ไม่สงสัยในความผิดปกติของตัวเอง โลกสวยจ้า - -" ก็เพราะมันไม่ได้มีความเจ็บปวดแต่อย่างใด มีแต่รอยจ้ำเลือด จนมาวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมารอยจ้ำเลือดที่เป็นดวง ๆ เล็ก ๆ ก็ขยายใหญ่ ใหญ่เป็นปื้น ๆ เป็นแผ่น จนแบบเห็นแล้วตกใจ เฮ่ยนี่มันจะมากไปแล้วนะ !! (เพิ่งสำนึกได้) หลังจากวันนั้นก็ไปหาหมอเลยค่ะ ไปให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าอินี่เป็นอะไร
เจาะเลือดเสร็จก็รอผลเหมือนเดิม หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปก็ไปพบหมอ หมอบอกว่าเลือดผิดปกติ น่าจะเป็นโรค SLE 90% เลยแหละ เราก็เฮ่ย จริงเหรอ เราจะเป็นโรคนี้จริงเหรอ ก็ยังไม่ยอมเชื่อ หลังจากวันนั้นหมอก็ให้ตรวจปัสสาวะแล้วกลับมาฟังผลในอาทิตย์ถัดไป คือหมอยังไม่ฟันธงว่าเป็นชัวร์ แค่ 90% เท่านั้นที่อาจจะเป็น แสดงว่าเรายังมีความหวังสินะ เราอาจจะไม่เป็นก็ได้ (หรา คิดเข้าข้างตัวเอง) ในช่วงระยะเวลาที่รอผลก็ไปบนบานศาลกล่าวขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ทั่วเลยจ้า ถ้าลูกช้างไม่เป็นจะถวายนั่นนี่ โอ๊ย เยอะไปหมด จนในที่สุดวันฟังผลก็มาถึง
Create Date : 24 ตุลาคม 2558 |
|
3 comments |
Last Update : 24 ตุลาคม 2558 10:57:37 น. |
Counter : 2334 Pageviews. |
|
|
|
ก่อนถึงวันฟังผลอาการก็เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ปวดข้อทุกวันย้ายที่ไปเรื่อย ๆ ปวดจนแบบ บิดลูกบิดประตูไม่ได้ เปิดฝาขวดน้ำไม่ได้ ต้องใช้ความพยายามสูงมากกว่าจะได้กินน้ำ และเพราะอยู่คนเดียวด้วย แม้จะปวดแค่ไหนก็ต้องใช้ชีวิตคนเดียว ดูแลตัวเอง ขับรถไปหาหมอเองขับไปเรื่อย ๆ ขับมือเดียวเพราะข้อมือเจ็บ คือตอนนั้นรู้สึกว่าชีวิตรันทดจัง ขนาดเจ็บก็ไม่มีคนดูแล เริ่มคิดเยอะ นี่สินะเค้าถึงบอกว่าคนที่กำลังเจ็บป่วย กำลังใจคือสิ่งสำคัญ แต่ข้าไม่มี หึหึ
เอาล่ะ หมอเรียกเข้าห้องไปฟังผลแล้ว นั่งลงตรงหน้าหมอ มือเย็นเฉียบ หมอให้ดูผลเลือดแล้วบอกว่า แน่นอนแล้วล่ะ คุณเป็น SLE แน่นอน 100% คุณพระ ! ตกใจแต่ยังอยู่ในอาการสงบ แต่ข้างในนี่สับสนไปหมดละ นึกถึงเรื่องของเพื่อน ๆ ที่เป็น SLE ที่เราเคยเปิดอ่านในเน็ต เฮ่ย แต่ละคนนี่อาการรุนแรงทั้งนั้น บางคนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ก็เริ่มคิดว่าเราจะเป็นแบบนั้นมั๊ย นี่เราจะอายุสั้นกว่าคนปกติทั่วไปเหรอ เราจะจากโลกนี้ไปโดยที่ยังเห็นพ่อแม่ลำบากอยู่เหรอ แล้วคนข้างหลังจะอยู่ยังไง เจ้าหลานตัวน้อย ๆ ที่กำลังอยู่ในวัยน่ารักล่ะ เราจะไม่ได้เห็นตอนเค้าโตเหรอ คือคิดไปต่าง ๆ นานาจริง ๆ ก็เดินออกมาแบบใจหาย ขับรถกลับห้องน้ำตาไหล คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงพี่ คิดถึงใครต่อใครขึ้นมามากมาย สุดท้ายก็วนกลับมาคิดถึงตัวเองอีกว่า เออ เจ็บป่วยก็ไม่มีคนดูแล เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาก็คงไม่มีใครเห็น คงตายเพราะไม่มีคนมาช่วยนี่แหละ
เริ่มแล้ว เริ่มคิดมาก ถึงบอกไงว่าคนป่วยต้องการกำลังใจ เข้าใจเลยว่ากำลังใจสำคัญมากมายขนาดไหน เราก็เริ่มไม่อยากอยู่คนเดียวละเพราะกลัว ทั้งที่เมื่อก่อนโหยหาที่จะอยู่คนเดียวมากเนื่องจากเป็นคนโลกส่วนตัวสูงปรี๊ด แต่ตอนนี้ ฉันอยากอยู่กับใครก็ได้ อยากกลับบ้าน อยากมีแฟนเผื่อเค้าจะได้มาช่วยดูแล อยากอยู่ใกล้เพื่อน เป็นช่วงเวลาที่ไม่อยากอยู่คนเดียวเลยจริง ๆ
เอาล่ะ กลับมาถึงห้องก็ตั้งสติ เนื่องจากเราเป็นคนนิ่งและมีความสงบสูงอยู่แล้วก็เลยตั้งสติได้ง่ายหน่อย เริ่มต้นก็โทรบอกพี่ที่ทำงานที่เราสนิทที่สุดเป็นคนแรก ไม่กล้าบอกที่บ้านเพราะกลัวเค้าตกใจ พี่ที่ทำงานก็แสนดีนะ ให้กำลังใจเราแล้วก็ยังเชิญชวนให้เราไปนอนค้างที่บ้านจนกว่าอาการจะดี (คือตอนนั้นอาการไม่ดีมาก ๆ ปวดข้อทุกวัน อ่อนเพลีย เป็นหนักกว่าที่เคยเป็นเลยแหละ) แต่เราก็ไม่ได้ไปนอนบ้านเค้านะ ก็ยังเกรงใจและคิดว่ายังดูแลตัวเองได้
หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตตามปกติทั่วไป กินยาตามหมอสั่ง อาการปวดข้อเริ่มหาย แต่สิบวันผ่านไปหลังจากกินยา นี่คือเริ่มต้นเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว
เช้าวันหยุดที่อากาศสดใส หึหึ เราก็ตื่นมาตามปกติ อาการแข็งแรงดี ไม่เจ็บไม่ปวด ก็สบายใจออกไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ มีเวลาไปทำผมชิว ๆ จนเย็นก็กลับมาห้อง อาบน้ำ กินข้าว พอได้เวลานอนก็นอนตามปกติแต่ไม่หลับจ้า พลิกไปพลิกมาทั้งคืนก็ไม่หลับ เราก็เอ๊ เป็นอะไรว้า วันนี้กาแฟก็ไม่ได้กิน แล้วทำไมไม่หลับ (ปกติติดกาแฟมาก แต่หยุดกินไปพักหนึ่งตอนป่วย) สรุปคืนนั้นทั้งคืนไม่ได้นอน ตื่นไปทำงานแบบคนยังไม่ได้นอน ก็ยังไม่คิดอะไรมาก รู้สึกเพลียนิดหน่อยคิดว่าคืนนี้คงหลับเป็นตายแน่ ๆ เพราะเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนทั้งคืน
เอาล่ะ พอถึงกลางคืนก็นอน เวลาผ่านไป เที่ยงคืนก็แล้ว ตีหนึ่งก็แล้ว เฮ่ย ตีสองแล้วทำไมยังไม่หลับ เฮ่ยไม่ได้แล้วนะ เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน คืนนี้ถ้าไม่นอนอีกเมิงแย่แน่ ก็เริ่มเครียดละ พลิกไปพลิกมาทั้งคืนจนหกโมงเช้าจ้า ตายังสว่างไสวไม่ง่วงแต่อย่างใด ได้เวลาไปทำงานอีกละ - -"
นึกอาการของคนไม่ได้นอนสองคืนกับหนึ่งวันเต็มออกมั๊ยคะ เพลียค่ะ แต่มันไม่ง่วง ไม่รู้สึกง่วงเลยจริง ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าอาการแย่ละ ตาดำคล้ำ ร่างกายล้า ตอนเที่ยงลองนอนดูก็ไม่หลับ คือไม่ง่วงเลย คืออินี่เป็นคนเหล็กอึดทะลุโลกมาก ตอนนั้นเริ่มอยากร้องไห้ เริ่มกังวลว่าคืนนี้จะนอนหลับมั๊ย จนในที่สุดเวลาที่กลัวที่สุดก็มาถึง
คืนที่สาม ล้มตัวลงนอนด้วยหัวใจที่เต้นตึก ๆ ใจที่กังวลว่าจะหลับมั๊ยแล้วก็เป็นจริงดังคาด ไม่หลับจ้า กลายเป็นมนุษย์ที่ไม่นอนเลยสามคืนสองวัน อื้มมม ท่านได้ยินไม่ผิด ขนาดข้ายังไม่อยากเชื่อตัวเองเลย คนอะไรไม่นอนเลย คืนนั้นทั้งคืนได้แต่นอนมองเพดานแล้วร้องไห้ คือมันทรมานมาก คนที่มีอาการนอนไม่หลับน่าจะเข้าใจดีเนาะ
เช้ามาต้องทำงานอีก แต่วันนี้ไม่ไปทำงานจ้า ร่างกายไม่ไหว มันไม่ได้ง่วงนะแต่มันเพลีย ก็คนอะไรจะไม่นอนตั้งสามวันสองคืน ก็โทรไปลางานแล้วเริ่มคิดหาวิธีจะทำยังไงให้นอนหลับ ใช่ ต้องกินยานอนหลับสิ ในเมื่อนอนไม่หลับก็ต้องกินยานอนหลับ เมื่อคิดได้ก็ไปคลินิก คิดว่าบอกอาการหมอแล้วเดี๋ยวหมอต้องจ่ายยานอนหลับมาให้ คืนนี้จะได้นอนกันซะที แต่คิดผิดค่ะ นอกจากหมอไม่จ่ายยานอนหลับแล้วยังไล่เรากลับไปอีก บอกว่ายานอนหลับไม่มีหมอคนไหนเค้าจ่ายกันง่าย ๆ หรอก เอาไงล่ะทีนี้ เริ่มเครียด ก็เลยขับรถไป รพ ไปหาหมอ รพ ก็ได้วะเผื่อเค้าช่วยได้
ไปถึงหมอถามว่าเป็นอะไรก็บอกว่ามีไข้ แล้วก็นอนไม่หลับด้วย หมอก็ให้ยาแก้ไข้มากินอีกแล้วจ้า เราก็ถามว่าหมอจะจ่ายยานอนหลับด้วยมั๊ยคะ คือหนูนอนไม่หลับค่ะ หมอบอกยาที่ให้ไปนี่ก็มีฤทธิ์ทำให้นอนหลับนะ ไปลองกินดู ก็เอิ่ม กลับมาพร้อมยาแก้หวัด และคืนนั้นทั้งคืนก็ไม่หลับอีก ฮะ นี่เรื่องจริงใช่มั๊ย คนอะไรไม่นอนเลย เป็นไปได้ไง สภาพตัวเองตอนนั้นคือไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงเดิน พอไปนอนก็ไม่หลับ วันนั้นเลยลางานอีกจ้าและคิดว่ายังไงก็ต้องทำให้หมอจ่ายยานอนหลับให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นร่างกายแย่แน่ ก็ไปค่ะ ไป รพ อีก คราวนี้บอกอาการอย่างเดียวเลยว่านอนไม่หลับ คือไม่บอกละว่ามีไข้ด้วย เอาอาการเดียวเลยหมอจะได้รักษาอาการนอนไม่หลับอย่างเดียวเลย ปรากฎวันนั้นได้ยานอนหลับมาจ้า น้ำตาไหลพรากตื้นตันใจ กลับมาถึงห้องตอนบ่ายคือกินยานอนหลับเลยค่ะ ขอให้ร่างกายได้นอนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เดี๋ยวมาต่อเนาะ ที่เล่าเรื่องนอนไม่หลับมานี่บางคนอาจถามว่าเกี่ยวอะไรกับ SLE เหรอ เล่าทำไม ?
คือจะบอกว่าเกี่ยวแน่นอนค่ะ เดี๋ยวจะมาเล่าต่อว่าเกี่ยวยังไง