ธารรักสีเงิน :: บทที่5





ไม่อยากจะจำ แต่กลับ'ไม่ลืม'
ยิ่งพยายามอยากจะลืม กลับยิ่งจำ

หรือจริงๆ แล้ว ลึกๆ นั้นอยากจะจำ
เลยแกล้งไม่จำ จนทำให้'ไม่ลืม' เสียที



งงป่ะ !!!! 555+











บทที่5 :: สายธารเร่าร้อน





"บัวยังไม่ได้รับปากเลยนะ" บงกชมองมารดาสายตาวาว "บัวยังไม่ได้ตกลงซักหน่อยว่าจะกลับมาอยู่ที่นี่" ว่าแล้วก็รื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ไปซื้อกับลายเมฆออกมาลำเลียงเก็บเข้าที่ เสื้อผ้าส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าเนื้อโปร่งบางแต่แขนยาวสำหรับใส่คลุมกันแดดในยามกลางวัน เพราะเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เคยมีอยู่ในตู้นั้นดูจะเล็กไปหมดแล้ว แถมเสื้อผ้าที่ขนมาจากกรุงเทพฯ ก็เป็นเสื้อผ้าหรูหราเนื้อบางเบาที่ไม่เหมาะจะใช้ทำงานในสวนเลย

คุณกานดานั่งเฉยอยู่ปลายเตียง "แต่แม่รู้ว่ายังไงบัวก็คงเห็นแก่อนาคตของน้องอยู่ดี ถ้าบัวไม่กลับมา ยัยบุ๋มก็ไม่มีทางตัดใจไปเรียนต่อแน่ๆ น้องมันห่วงสวนของเราจะตายไป ถ้าแม่ไม่อยู่ซักคน ใครจะทำ"

"ก็ขายมันสิ" บงกชบอก และได้รับสายตาตำหนิของมารดา

"ฉันไม่น่าส่งแกไปเรียนที่โน่นเลย ไอ้เมืองศิวิไลโก้หรูมันคงทำทำให้แกเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ถามจริงๆ เถอะ ถ้าแม่ยอมขาย แกจะกล้าขายมันจริงๆ เหรอ หยาดเหงื่อพ่อแม่ทั้งนั้น"

คำพูดนั้นไม่รู้จะทำให้ลูกสาวคนโตคิดได้หรือไม่...

"แค่แกไปอยู่กรุงเทพฯกรุงไทย ไปทำงานบินข้ามประเทศเป็นว่าเล่นก็สุดจะทนแล้ว อย่าว่าแต่จะมาขายเทือกสวนไร่นาเลย...สวนนี้แกอาจจะไม่เคยต้องการ ไม่เคยรักมัน...แต่น้องมันรักของมัน"

ไม่รัก...หรือ...

คำๆ นั้นไม่เคยอยู่ในหัวสมองของเธอมาก่อน ด้วยความที่เกิดมาก็เห็นและวิ่งเล่นอยู่ในสวนนี้มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แต่เธอรู้ตัวเองมาตลอดว่าตนเองไม่ใช่เด็กที่รักการทำงานกลางแดด ไม่เคยสนุกสนานไปด้วยกับการต้องแต่งตัวตามพ่อแม่ออกไปคุมงานในสวน ไม่เหมือนกับบูรณี รายนั้นดูจะสนุกสนานและมีความสุขกับการได้ทำเช่นนั้น พอเรียนจบม.ปลายบงกชก็เข้าไปเรียนในเมืองกรุงและกลับมาเยี่ยมบ้านนับครั้งได้

ขาย... เธอก็หลุดปากพูดไปอย่างนั้นแหล่ะ ไม่ทันได้คิดตรึกตรองจริงๆ หรอก ว่าอยากขายมันหรือไม่ เป็นเพียงคำติดปากที่คอยใช้พูดเพื่อประชดประชันและปฏิเสธมารดา เพราะทุกครั้งที่เธอพูดถึงการขายสวน มารดาจะเงียบและไม่เคยเซ้าซี้อีกเลย

หยิบแชมพูสระผมไปไว้ในห้องน้ำก่อนเดินกลับหยิบมาเอาครีมทาผิวไปไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง เหลือบมองมารดา แม่ของเธอยังมองเธอนิ่ง ราวกับจะใช้สายตานั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกผิด คุณกานดาในวันนี้ผอมโซลงไปมากโข แววตาที่เคยเด็ดเดี่ยวมีความอ่อนล้าแฝงอยู่อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากโรคร้ายและความชรารุมเร้า หญิงสาวอยากปฏิเสธให้หนักแน่นให้ชัดเจน แต่เมื่อมองดูมารดาแล้วก็ไม่อาจทำได้ เพราะรู้ว่ามารดาพูดถึงและพูดจริง บูรณีรักที่นี่มาก และเธอก็ไม่อาจจะทำร้ายจิตใจน้องด้วยการขายสวนนี้และไม่อาจตัดอนาคตการเรียนที่รออยู่เบื้องหน้าได้เช่นกัน หากเธออยากให้บูรณีไปเรียนต่อ ให้มารดาได้พักผ่อนอย่างสงบสบายใจ เธอก็คงต้องยอม

"แม่จะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ หากบัวจะต้องกลับมาอยู่ที่นี่ บัวก็ต้องลาออกจากงานที่บัวรัก" บงกชรู้ดี ว่าประโยคนั้นเอ่ยเพียงเพื่ออยากให้คนฟังรู้สึกผิดเท่านั้น

งานที่บัวรัก... พูดแล้วก็หยันตัวเองในใจ งานที่เธอรักหรือ ไม่มีอะไรที่เธอรักจริงๆ หรอก อาชีพนางฟ้าบนเครื่องบินที่เธอทำอยู่นั้น ก็เป็นแค่งานงานหนึ่งซึ่งเธอใช้เป็นข้ออ้างในการไม่กลับมาที่นี่แค่นั้นแหล่ะ ...การได้แต่งกายสวยๆ เดินเฉิดฉายไปทั่วในเครื่องแบบโก้หรู แต่ว่าต้องไปคอยรับใช้ลูกค้าบนเครื่อง สำหรับคนอื่นที่มีความรักในงานบริการนี้คงมองเห็นเป็นเรื่องสนุกและมีความสุขไปกับมัน แต่สำหรับบงกชแล้ว มันก็เป็นแค่งานๆ หนึ่ง ที่เธอมีโอกาสได้เลือกเป็นงานแรกเมื่อเรียนจบ เป็นเพียงงานที่เธอรีบคว้าไว้เพราะกลัวมารดาจะเรียกตัวกลับบ้านเมื่อเรียนจบเท่านั้นเอง

อิจฉาริษยา แก่งแย่งแข่งขัน เป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆ เหมือนมีอิสระแต่ไม่มีอิสระอย่างแท้จริง แต่ถ้าเธอกลับมาทำงานที่นี่ เธอคือนายหญิงคือเจ้านายของทุกคนและเป็นเจ้านายตนเอง เป็นคนออกคำสั่งไม่ใช่การรอคำสั่งจากใครหน้าไหนทั้งนั้น ไอดินกลิ่นแดด แสงสว่างอาบผิวกาย หยาดเหงื่อที่จะไหลรินเมื่อต้องทำงานกลางแจ้ง ตั้งแต่ทำงานมีตำแหน่งเป็นนางฟ้า เธอก็ไม่ยอมเฉียดมาสัมผัสบรรยากาศบ้านต่างจังหวัดอีกบ่อยๆ...ลึกๆ ลงไปเธอรู้ว่าเธอนั้นโหยหาอยู่บ้าง

โหยหาแต่ไม่กล้ามาสัมผัส...

เมื่อเห็นแววผิดหวังที่มากขึ้นของมารดาแฝงด้วยความรู้สึกผิดอยู่บ้าง คุณกานดาเอ่ย "แม่ไม่ได้เห็นแก่ยัยบุ๋มคนเดียวหรอกนะ บัวแม่ก็รัก...แต่ ...แต่.."

ไม่รู้ว่ามารดาตั้งใจจะพูดอะไร แต่ไม่สำคัญหรอก บงกชตัดบท "ช่างมันเถอะ ยังไงก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี ตกลง บัวจะกลับมาอยู่ที่นี่"

คุยกันอยู่อีกสองสามประโยค คุณกานดาก็เดินออกจากห้องไป เสียงประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบาพอๆ กับตอนที่เดินเข้ามา แว่วเสียงหวานของบูรณีออดอ้อนบางสิ่งบางอย่างและเสียงนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปเมื่อประตูปิดลง

ออกมาอีกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จ เมื่อใส่ชุดนอนเรียบร้อยกำลังจะขึ้นเตียง สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นกล่องกระดาษสีขาวเล็ดลอดออกมาจากใต้เตียง ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเพราะกล่องใบนั้นมันเป็นของๆ เธอ เธอรู้ดีว่ามันคืออะไร มันมีอะไรอยู่ในนั้น แต่ความรู้นั้นก็ไม่อาจห้ามอาการหัวใจกระตุกที่วูบขึ้นมาได้ บงกชเอื้อมมือไปดึงมันออกมา ลายการ์ตูนหมีพูห์บนฝากล่องจ้องมากลับมาเด่นร่าท้าทายสายตา ประหนึ่งจะถามว่า

กล้าไหม...กล้าเปิดอดีตไหม...

วูบหนึ่งในใจ บงกชตั้งใจจะดันกล่องใบนั้นเลื่อนเข้าไปใต้เตียงอีกครั้ง ปิดทุกอย่างให้หายไปกับสายตาอย่างที่เคยทำมานับครั้งไม่ถ้วนในอดีต แต่อีกหนึ่งวูบในใจกลับแย้ง ไหนๆ เธอก็จะกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว เรื่องบางอย่าง ของบางอย่าง เมื่อเราหนีมันไม่พ้น เราก็ต้องวิ่งชนกับมันดีกว่า

แค่เจ็บ...ไม่ได้ตายเสียหน่อย
เธอเคยผ่านมันมาได้ และเธอก็จะต้องผ่านมันไปให้ได้

สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดกล่องนั้น ด้านในมีหนังสือเล่มหนาหนักอึ้งอยู่หลายเล่ม เป็นหนังสืออ่านเล่นเล่มโปรดของเธอหลายเล่ม หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบเล่มบนสุดออกวางไว้บนพื้นเล่มแล้วเล่มเล่า จนถึงเล่มสุดท้ายที่อยู่ใต้กล่อง หนังสือเกี่ยวกับกฏหมายเล่มหนา เธอเลือกหยิบเล่มนั้นติดมือแล้วปีนขึ้นเตียง ตวัดผ้าแพรออกให้พ้นตัว เปิดหนังสือออก ดอกกล้วยไม้หลากหลายสีสันร่วงกราวราวกับสายฝนพร่างพรู กล้วยไม้ที่ถูกทับจนแห้งบอบบางและแบนเรียบ บงกชเลือกหยิบขึ้นมาหนึ่งดอก...กลีบสีม่วงบางใสเยอะแยะมากมายเหมือนกันไปหมด...แต่เธอรู้ว่ามันไม่เหมือน ดอกสีม่วงแกมขาวเปลี่ยนเป็นสีซีดจางเมื่อแห้งและกาลเวลาหมุนผ่านยาวนานทีเดียว

เจ็ดปีที่ยาวนาน ความทรงจำทั้งหลายแหล่มักบิดเบี้ยวไปตามกาลเวลาที่ผ่าน แต่ความทรงจำหนึ่งกลับแจ่มชัด ไม่บิดเบี้ยวเลยแม้แต่น้อย




เจ็ดปีที่แล้ว...

แปลกแท้ๆ... ตั้งแต่เล็กจนอายุถึงสิบแปดปี ไม่เคยมีเลยซักครั้งที่หัวใจของบงกชจะเต้นรัวและรู้สึกแน่นในอกไปหมดแบบนี้ ขณะกำลังเดินออกมาจากสะพาน ส่งดอกกล้วยไม้ช่อนั้นให้บูรณีไปแล้ว สองคนก็เดินมาจากท้ายสวนเพื่อกลับบ้าน คล้ายอุปทานไปเองว่ารู้สึกขนลุกที่ต้นคอ เพราะว่าสายตาของเขาเฝ้ามองมาตลอดทาง ถึงไม่ได้หันกลับไปมองด้านหลังเลยแต่เธอรู้ว่าเขามองอยู่

เสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วแตะกันกลางสะพาน บงกชกระชากนิ้วหนีและเดินแทบจะเป็นวิ่งออกมา เพราะในวูบนั้นหัวใจกระตุกและหน้าร้อนเห่อไปหมด แกมร้อนสลับเย็นวูบวาบเหมือนเป็นไข้ ตาพร่าพรายจนแทบมองไม่เห็นทาง ต้องใช้แรงใจอย่างสูงบังคับตัวเองให้เดินต่อไปและไม่ยอมหันกลับไปมองด้านหลังอีก ชะงักชั่วครู่เมื่อได้ยินเสียงเขาเรียก

"พรุ่งนี้มาอีกนะ ที่สวนฉันมีกล้วยไม้เยอะแยะเลย ถ้าน้องสาวเธอชอบ แวะมานะพรุ่งนี้"

ที่ไม่ยอมหันกลับไป ไม่ใช่ว่าไม่สนใจหรอกนะ แต่เพราะกลัวว่าถ้าหันไปสบตาคมคู่นั้นอีก เธออาจจะเป็นลมล้มพับไปเลยก็ได้ เพราะเลือดในตัวทุกเส้นสายร้อนรุ่มไปหมด เป็นอาการแปลกๆ ที่เธอไม่เคยเป็นมาก่อน

กลับถึงบ้านบูรณีก็วิ่งเข้าไปอวดดอกไม้งามช่อนั้นแก่มารดา ตอบคำถามเพียงว่าได้มาท้ายสวน ซึ่งได้รับการกำชับมาตลอดทางจากบงกช ว่าอย่าบอกใครว่าเราเดินข้ามไปสวนฝั่งโน้นมา เพราะในยามนั้นบิดาของทั้งสองคนไม่ค่อยชอบใจคนของสวนต้นตระการซักเท่าไหร่ ด้วยว่าทั้งสองสวนนั้นต่างก็ใหญ่โต จึงกลายเป็นคู่แข่งทางการค้าของกันและกันเรื่อยมา

แต่ใครจะรู้เล่าว่า เมื่อบิดาของบงกชและบูรณีเสียชีวิตลง สวนศิริกุลก็ทรุดโทรมล้มเหลว ส่วนสวนต้นตระการกลับยิ่งใหญ่และขยายพื้นที่ออกไปอีกมากโข แถมต่อมายังสร้างโรงงานรับซื้อและแปรรูปลำไยเสียเอง จากคู่แข่งจึงกลายเป็นคู่ค้า และสวนต้นตระการก็เข้ามาช่วยเหลือและฟื้นฟูสวนศิริกุลตั้งแต่นั้นมา

ยามนั้นไม่รู้ว่าอะไรดลใจ เมื่อบูรณีเดินมาออกจากในครัวพร้อมแจกันซึ่งมีช่อกล้วยไม้ช่อนั้น บงกชก็บอก "บุ๋ม แบ่งมันให้พี่บ้างได้ไหม"

บูรณีในยามเด็กทำหน้างง "พี่บัวไม่ชอบดอกกล้วยไม้ไม่ใช่เหรอ" แต่แล้วก็ยิ้มแฉ่ง เด็ดแบ่งมาให้พี่สาวอยู่ดี ก่อนจะเดินเอาแจกันขึ้นห้องตัวเองไป บงกชตั้งใจจะเอามาใส่แจกันห้องตัวเอง ขณะที่เฝ้ามองดูกล้วยไม้กลีบบอบบางในมือ เด็กสาวก็เปลี่ยนใจ นำมันมาใส่ในหนังสือทับให้แห้งแทน...

วันต่อมาและในอีกสามวันต่อมา บงกชก็ไม่ยอมกลับท้ายสวนนั้นอีกเลยแม้บูรณีจะชวนไปเล่นตามประสาเด็กแค่ไหนก็ตาม เพราะเด็กสาวรู้สึกหวั่นกลัวในใจ ไม่รู้ว่ากลัวอะไร แต่สุดท้ายในวันที่สี่ เธอก็อดใจไว้ไม่ไหวจริงๆ ราวกับมีแรงดึงดูดใจให้เธอต้องกลับไป เมื่อบูรณีมาชวนอีกครั้ง ทั้งสองก็ลัดเลาะไปตามชายสวน เจอคนงานของพ่อ ก็ทักทายและมุ่งหาเข้าสู่ท้ายสวน

วันนี้บูรณีชวนเล่นน้ำในลำธาร ทั้งสองจึงเปลี่ยนเป้าหมาย มุ่งหน้าลงสู่ลำธาร โดยก้าวลงไปยังส่วนที่น้ำตื้น หินใหญ่น้อยเรียงรายลดหลั่นกันไป ด้านล่างเมื่อถึงก้อนหินขนาดใหญ่มหึมาที่ใหญ่และแบนมาจนสามารถนั่งเล่นนอนเล่นได้ บูรณีก็ถอดเสื้อผ้า ใส่แต่กางเกงในลงเล่นน้ำ และว่ายไปเรื่อยๆ ส่วนบงกชโตเป็นสาวแล้วจึงไม่อาจทำอย่างน้องได้ เลยลงนั่งบนชายโขดหิน เอาน้ำลูบแขนลูบขาเล่นตามประสา หวังใจว่าจะเจอใครบางคนอีก แล้วครู่ใหญ่ก็เห็นบางอย่างลอยมาจากต้นน้ำ ลอยเอื่อยมาเรื่อยจนถึงตรงที่เธอนั่งอยู่ บงกชรีบคว้าเอาไว้ แต่ตอนที่เอียงตัวไปคว้ามัน บงกชก็เสียหลัก เอียงกระแท่แร่หล่นลงน้ำไปทั้งตัว ทั้งที่น้ำมีความตื้นเขินแค่เหนือเข่าเท่านั้นแต่บงกชก็เปียกปอนไปทั้งตัว บูรณีซึ่งลอยคออยู่ในน้ำที่ลึกกว่าไกลออกไป หันมาหัวเราะร่าและว่ายออกไปอีก

แล้วใครบางคนก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ยืนตระหง่านอยู่บนชายฝั่งฟากสวนเขา เสียงหัวเราะแว่วมา บงกชปีนจากน้ำอย่างทุลักทุเล ดอกไม้ที่พยายามคว้าไว้เมื่อครู่หลุดลอยไปไกลเสียแล้ว ครู่เดียวคนตัวสูงก็กระโดดข้ามหินก้อนนั้นก้อนนี้ อย่างรวดเร็วมาถึงก้อนหินของเธอในวเวลาไม่กี่วินาที

"ซุ่มซ่ามจริง" เขาแซว "วันก่อนโน้นก็ล้มก้นจ้ำเบ้า มาวันนี้ตกน้ำป๋อมแป๋ม" บงกชตาเขียวใส่ อายมากกว่าโกรธ ต้นธารพยักเพยิดไปทางที่บูรณีกำลังเล่นน้ำอยู่แล้วบอกต่อ "บอกน้องสาวเธอด้วย ว่าอย่าไปบริเวณนั้น น้ำเชี่ยวมากนะ"

บงกชนั่งลงทั้งที่เปียกทั้งตัว ต้นธารนั่งลงข้างๆ อย่างถือวิสาสะ ยิ้มผูกมิตร "หนาวไหม "เขาถาม ไม่รอคำตอบ เขาก็ถอดเสื้อเชิ๊ตแขนยาวลายสก๊อตลงให้ "ใส่ทับไว้ก่อน เดี๋ยวจะไม่สบาย " เขาบอก บงกชสองจิตสองใจ ไม่รู้จะรับไมตรีดีหรือไม่ เขารู้ทัน

"รับไปเถอะ ฉันเป็นคนของสวนต้นตระการ เราคนกันเอง" บงกชจึงรับเสื้อมาคลุมไหล่ตนเองไว้แล้วนั่งลง เขาก็นั่งตามลงมาเคียงข้างกัน

"นาย...ชื่ออะไร"...ใช้นายเหมือนจะดูไม่สุภาพ เพราะเมื่อพิศดูใกล้ๆ เขาดูแก่กว่าเธอหลายปีทีเดียว "ฉันหมายถึง คุณน่ะ..."

"ต้นธาร" เขาบอกยิ้มๆ

"คุณเป็นคนงานที่นี่เหรอ" เธอถาม

"เปล่าหรอก ฉันเป็นลูกชายเจ้าของสวนนี้"

"ลูกชายลุงต้นโมกข์เหรอ"

"ใช่ ชื่อเหมือนกันเลย เธอไม่เห็นเหรอ พ่อฉันชื่อต้นโมกข์ อาชื่อต้นรัก ฉันต้นธารและน้องสาวต้นหลิว...เอ๊ะ..." เขานิ่วหน้า " เธอเรียนที่นี่หรือเปล่า น้องสาวฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียน..." เขาบอกชื่อโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด

"ใช่"..บงกชตอบ "แล้วก็เรียนห้องเดียวกันด้วย" ไม่ได้บอกต่อไปด้วย ว่าเรียนห้องเดียวกัน แต่คนละกลุ่มและไม่ค่อยจะถูกชะตากันเสียด้วย เพราะกลุ่มของบงกชเป็นนักเรียนกลุ่มสาวสวยและร่ำรวยของจังหวัด ส่วนต้นหลิวนั้นเป็นกลุ่มนักกีฬาของโรงเรียนที่ตั้งท่าจงเกลียดจงชังพวกนักเรียนหัวสูง ดังนั้นจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด

"เหรอ ไม่เห็นยัยหลิวเคยเล่าให้ฟังเลย ว่าเป็นเพื่อนกับลูกสาวสวนโน้น"...สวนโน้นของเขาคือสวนศิริกุลนั่นแหล่ะ

เฮอะ...บงกชคิดในใจ...ถ้าพูดถึงสิแปลก

"ฉันก็ไม่เคยเห็นคุณเหมือนกัน เคยรู้แต่ว่ายัยหลิวน่ะมีพี่ชาย แต่ไม่ยักรู้ว่าหน้าตาแบบนี้ "

เขายิ้ม "แบบนี้น่ะแบบไหน"

"ก็แบบ..." แล้วก็แก้มร้อนๆ กับสายตาคู่นั้น หาคำตอบไม่ได้ "ก็แบบดูใจดีและ..."

"และ...?"...ชายหนุ่มค้างไว้...

"และก็...หล่อ" ตอบแล้วก็เสไปมองทางอื่น ต้นธารหัวเราะร่วน คำชมนี้ไม่ใช่คำชมใหม่ เขาได้ยินบ่อยๆ จากเพื่อนสาวๆ ปกติ เขาจะเอะอะโวยวาย ปึงปังเขินๆ ว่าอย่ามาชมอีกนะโว้ย แต่เมื่อมันออกมาจากเด็กสาวตาใสตรงหน้า...เขารู้สึกแปลกๆ เขินๆ ก็ไม่เชิง แต่ถูกอกถูกใจยิ่งนัก

"ตกลงว่าคุณอยู่ที่ไหน ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย"

"ไม่ค่อยได้มานะ ปกติ ฉันจะอยู่ที่กรุงเทพฯ จะมาที่นี่แค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้น"

"คุณยังเรียนอยู่เหรอ" บงกชถามและกระชับเสื้อแนบตัวยิ่งขึ้น

"เรียนสิ ปีนี้ปีสุดท้ายแล้ว เธอล่ะ..." แล้วหลังจากนั้น ทั้งสองก็คุยกับเรื่อยเปื่อยอย่างถูกคอ เขินบ้างเป็นระยะ แต่ด้วยความที่ต้นธารเป็นคนที่ดูใจดีและคุยสนุก การพูดคุยจึงลื่นไหล บงกชลืมตัวไปชั่วขณะเพราะเขาช่างเป็นมิตรเหลือเกิน ก่อนจะเล่าให้เขาฟังต่อไปว่า เธอกำลังจะเรียนจบมัธยมปลายเช่นกัน เขาบอกเธออีกว่า เขากำลังจะเรียนจบ และจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเพื่อกลับมาเป็นทนายความตามปู่ของเขา

"ไม่เห็นดีเลย" บงกชหน้ามุ่ย

"อะไรไม่ดี"

"ทนายความน่ะสิ พ่อฉันเกลียดทนายความ"

"ทำไม" เขาเลิกคิ้ว

"พ่อบอกว่าพวกทนายความน่ะ ชอบเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ผลประโยชน์มากกว่าความถูกต้อง"

เขายิ้มอีก "แล้วเธอก็คิดแบบนั้นเหรอ" เขาถาม และบงกชพยักหน้า

"เด็กจัง"...เขาแซว "สงสัยพ่อเธอจะมีเรื่องกับทนายความบ่อยล่ะสิ ถึงไม่ชอบใจ" พูดไป พลางเอื้อมมือไปจับปอยผมเปียกออกจากข้างตาเด็กสาวไปเกี่ยวไว้ด้านหลังใบหู บงกชผงะ

"โทษที" เขาว่าหลังชักมืออกมา "พอดีเห็นมันขวางตาน่ะ"

บงกชแก้มแดงอย่างเห็นได้ชัด "ไม่เป็นไร แค่ตกใจ" แล้วก็พยายามแก้ความเขินอายต้องการชวนคุย "เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้วนะ"

"ทนายที่ดีก็มีอยู่เยอะแยะไป สงสัยพ่อเธอจะเจอแต่คนแย่ๆ ฉันอยากให้เธอได้รู้จักปู่ของฉันจัง เขาน่ะเป็นทนายที่ดีสุดๆ ซื่อตรงและว่าความเก่งมากๆ เลย คดีไหนคดีนั้นชนะตลอด"

"คงงั้น" บงกชพยักหน้าคล้อยตาม ก่อนชะโงกหน้าไปดูบูรณี ซึ่งยังคงเล่นน้ำสนุกสนานอยู่คนเดียวไกลออกไป

"แล้วบัวล่ะ" เขาเปลี่ยนสรรพนาม เพิ่มความใกล้ชิดสนิทใจ "เรียนจบแล้ว จะไปเรียนต่ออะไร ทำอะไร"

"ไม่รู้สิ คงกลับมาทำสวนมั๊ง"

ต้นธารมองตา สายตาอ่อนหวาน "ทำไม มั๊ง....ล่ะ เหมือนไม่แน่ใจ"

คราวนี้กลับเป็นฝ่ายบงกชที่ยิ้มแก้มปริ "ก็พ่อแม่เป็นชาวสวน ลูกสาวก็ต้องเป็นชาวสวนด้วยน่ะสิ" ยิ้มนั้นทำให้ชายหนุ่มนิ่งขึง เพราะยิ้มนั้นสวยน่ารักจับใจ

"พ่อสอนพวกเราว่า ...เป็นชาวสวนก็ต้องรักส...อึ้ม...ม..." ยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียงเล่าจ๋อยๆ ก็เงียบไป กลายเป็นเสียงอุทานด้วยความตกใจ เมื่อคนที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เมื่อครู่เอี่ยวตัวชะโงกหน้าลงมาหาและปิดปากเธอด้วยปากเขา

ความร้อนจัดก่อตัวขึ้นบริเวณที่ริมฝีปากสัมผัสกัน ชายหนุ่มกดลงมาแนบสนิท บงกชชะงักค้างเหมือนเป็นอัมพาตไปทันที ต้นธารถอนปากออก ตาจ้องตากันนิ่งงันกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่ทันได้ตั้งตัว และอาจจะด้วยความไม่ตั้งใจด้วย ดวงตาคู่นั้นของเขาวาบขึ้นอย่างเร่าร้อนก่อนจะดับลงเป็นว่างเปล่าไม่สื่อความหมายใดๆ หรือหากต้องการจะสื่อความหมายใดๆ เด็กสาวก็ไม่มีทางมองเห็นและเข้าใจแน่นอน เพราะขณะนี้ตาเธอได้แต่เบิกกว้างจ้องเขาด้วยสติที่ดูจะเบลอๆ

"ฉัน....เอ่อ..."

"ขอโทษนะ" เขาเอ่ยขึ้นแทน"ฉันอดใจไม่ได้น่ะ"

"อดใจ...อะไร" เด็กสาวตะกุกตะกัก

"ฉันอดใจที่จะไม่จูบบัวไม่ได้น่ะสิ"...เขามองที่ริมฝีปากเธออีกครั้ง "บัวน่ารักมากๆ"

น่ารักมาก...คำชมนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บงกชเคยได้ยินเช่นกัน เพราะเธอรู้ว่าเธอเป็นคนน่ารัก ตามคำชมและสายตาชื่นชมของคนรอบตัว ว่าเธเอสวย สวยมากกว่าใครๆ ในโรงเรียนและในบริเวณจังหวัดนี้ แต่คำชมธรรมดาๆ ของคนทั่วไป เมื่อคำๆ นั้น ผู้ชายตรงหน้านี้เป็นคนพูด แถมพูดหลังจากขโมยจูบของไป ...ความหมายของคำๆ นั้น มันมีความวิเศษอย่างประหลาด บงกชเกือบหน้ามืดตาลาย

"น่า..ระ...รัก"

"ใช่ น่ารักมากๆ"

"ฉันต้องไปแล้ว" บงกชรีบยืนขึ้นทันที ยื่นเสื้อแขนยาวชุ่มน้ำคืนให้เขา แล้วตะโกนเรียกบูรณีให้กลับบ้าน ต้นธารรับเสื้อคืนแต่ไม่ยอมปล่อยมือบงกชใต้เสื้อตัวนั้น

"อย่าเพิ่งไป บัวไม่ได้โกรธใช่ไหม ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอโกรธ ไม่พอใจ" บงกชพยายามดึงมือออก ไม่เข้าใจอารมณ์ตนเองและสับสนไปหมด บูรณีว่ายน้ำกลับเข้ามา

"ฉันไม่ได้โกรธ...ฉันโกรธ..ฉัน...ไม่รู้...โอ๊ย...ฉันไม่รู้" บูรณีว่ายย้ำมาถึงพอดี ต้นธารปล่อยมือ บรณีมองคนแปลกหน้าที่ยืนคุยกับพี่สาวตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ แต่ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรๆ จึงเพียงยิ้มใหนิดหน่อย ทักทายว่าหวัดดี แล้วก็หยิบเสื้อผ้าของตนขึ้นมาสวมเงียบๆ ตัวซีดเซียวเพราะเล่นน้ำนานเกินไป

"ถ้าบัวไม่ได้โกรธ งั้นวันหลังมาที่นี่อีกนะ ฉันจะอยู่ที่นี่อีกสองอาทิตย์ แล้วจะกลับไปเรียนต่อ ฉันอยากเจอบัวอีก" บงกชไม่ตอบ บอกให้บูรณีออกเดินนำไปก่อน แล้วก็ค่อยๆ ไต่ไปตามโขดหินเล็กใหญ่เพื่อขึ้นสู่ด้านบน ต้นธารยังคงเดินตามหลังมาด้วย บูรณีล่วงหน้าไปแล้ว บงกชถูกเขายึดข้อมือไว้เมื่อทั้งสองไต่ขึ้นมาถึงด้านบน... เด็กสาวหันกลับไป

"ฉันจะรอบัวที่นี่ ฉันจะรอทุกวันจนกว่าจะถึงวันกลับ เธอจะมาหรือไม่มา ฉันก็จะรอ" ว่าแล้วเขาก็ปล่อยมือเธอ ก่อนเดินอ้อมไปยังสะพานลิงแล้วข้ามฝั่งไป

ข้อมือร้อนไปหมด ฤดูร้อนยังไม่หมดไปเสียทีเดียว แต่สาวน้อยวัยสิบแปดเสียจูบแรกไปแล้ว และหลังจากนั้นเธอก็เสียหัวใจไปอีก...

วางหนังสือเล่มนั้นลงบนพื้นอย่างแรง แล้วบงกชก็กระแทกตัวลงนอนบนเตียงกว้างขวาง ดอกไม้ยังคงเกลื่อนกลาดเต็มเตียงไปหมด หญิงสาวซบหน้าลงกับหัวเข่าที่อยู่ใต้ผ้าแพร ซบหน้าอยู่ตรงนั้นนานทีเดียว

แต่ไม่ได้ร้องไห้...
เหมือนอย่างเคย...











Create Date : 11 ธันวาคม 2554
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 17:35:02 น. 6 comments
Counter : 678 Pageviews.

 
แจงลงตอนซ้ำอ่า


โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 11 ธันวาคม 2554 เวลา:20:26:56 น.  

 
แวะมาอีกรอบจ้า เราจำได้ว่าเมื่อวานเรามาเม้นก็ตอนที่ 5 นะ หรือแจงลบบล็อกเก่าออกจ๊ะ


โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 11 ธันวาคม 2554 เวลา:20:43:36 น.  

 
^
^
ส้ม...อ๋อ แจงลบออกจ้า พอดีมันมีปัญหานิดหน่อย
เลยย้ายมาลงใหม่อีกที วันนี้...55+ ส้มเจิมเหมือนเดิม


โดย: nikanda วันที่: 11 ธันวาคม 2554 เวลา:21:09:19 น.  

 
รออ่านตอนต่อไปอยู่น่ะค่ะ
รอมานานแล้ว
รีบๆๆๆๆๆๆลงนะคะ


โดย: I ^Am IP: 180.180.112.221 วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:19:53:54 น.  

 
^
^
ค่า เดี๋ยวเขียนคืนนี้เลย...ขอเวลาคิดแป๊บนึง


โดย: nikanda วันที่: 10 มกราคม 2555 เวลา:6:17:54 น.  

 
ประทับตราว่าอ่านแย้ว


โดย: เหมือนพระจันทร์ วันที่: 13 สิงหาคม 2555 เวลา:17:46:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nikanda
Location :
จันทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 31 คน [?]




ลายปากกา









New Comments
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
11 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add nikanda's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.