ธารรักสีเงิน :: บทที่4




'การพบกัน' ของคนสองคน
อาจเป็นเรื่องบังเอิญ ที่เกิดขึ้นได้
บนผืนแผ่นดินในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้

แต่การ'รักใครซักคนหนึ่ง'
ด้วยทั้งหมดของชีวิตและจิตใจนั้น
มันคงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ (ฉันคิดว่านะ)










บทที่4 :: บงกชน้อยแสนงาม






บรรยากาศในรถกะบะสีแปร๋นแหลนออกจะร้อนระอุทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกร้อนอบอ้าวด้วยรังสีของแสงอาทิตย์ ส่วนภายในร้อนด้วยความอัดแน่นในอารมณ์ของหญิงสาวผู้บังคับพวงมาลัย เมื่อเลี้ยวรถเข้าสู่ลานจอดรถใต้ซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ชื่อดังของจังหวัด

"นั่นเหรอ ผู้ร้ายใจโฉดในนิยายของเธอ" บงกชหันมาตวัดตาหวานคมใส่ เมื่อเพื่อนชายที่นั่งมาข้างๆ กล่าวถามน้ำเสียงเหมือนล้อ ถ้าไม่ถือว่ามือกุมพวงมาลัยอยู่ จะทุบให้ไหล่ทรุดเชียว

"นายคนนั้นดูดีใช้ได้ทีเดียว" ลายเมฆยังพูดต่อ...คำว่า ใช้ได้ ยังน้อยไปด้วยซ้ำ เมื่อนึกถึงหน้าตาของผู้ชายที่ขับรถสวนกันเมื่อครู่ตรงทางแยก ขนาดอยู่ไกลกัน รัศมีความโดดเด่นยังแผ่นซ่าน ผมซอยละต้นคอใต้หมวกแก๊ปสีขาว แว่นตาสีดำสนิทบนสันจมูกคมโด่ง ผิวสีแทนอย่างคนออกแดดทุกวัน ไอ้ท่านั่งขึงและจ้องมองนิ่งผ่านกรอบสีดำของแว่นมา ไอ้บ้านั่นมันเท่ห์ชะมัด ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงอ่อนระทวย แต่เมื่อเขาเป็นชายทั้งแท่ง จึงรับรู้ได้เพียงว่า ไอ้หมอนั่นมันมีเสน่ห์ไม่ธรรมดาเลย มิน่าล่ะยัยบงกชเพื่อนซี้ยาวนานของเขาคนนี้จึงไม่อาจลืมผู้ชายคนนั้นได้ซักที

"เปลี่ยนจากผู้ร้ายมาเป็นพระเอกได้เลยนะนั่น" ..สรรพยอกไม่ทันจบประโยคดี ก็โดนทุบลงมาที่ไหล่กว้างจริงๆ เพราะเป็นจังหวะที่หญิงสาวถอยหลังรถเข้าซองได้พอดี มือจึงว่างพอที่จะลงโทษคนปากมาก

"โอ๊ย...เจ็บนะ"

"ดี...เจ็บให้มากๆ จะได้ไม่ปากเสีย ถ้าไม่หยุดพูด จะโดนมากกว่านี้ แล้วจะโดนตัดหาง ปล่อยกลับกรุงเทพไปคนเดียว" ซ้ำสำทับ "อย่าพูดถึงผู้ชายคนนั้นอีก เข้าใจไหม"

"เออ เออ...ลายเมฆรับคำส่งๆ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไป กระแทกรถปิดดังปังใหญ่ ไม่วายแกล้งบ่นอุบให้ได้ยิน "ถ้าอยากให้ฉันเลิกพูดถึง เธอก็เลิกนึกถึงเขาซะทีสิ"

"นายเมฆ ถ้าไม่เลิกพูดตอนนี้ ฉันจะเลิกคบกับนายจริงๆ นะ" บงกชขู่ ได้ยินเสียง หึหึ มาจากลำคอเพื่อนสนิท

"เฮอะ...เลิกคบก็ดี จะได้ไม่ต้องหยุดงานมาเป็นไม้กันหมาให้ใคร"

"หยุดงาน?" บงกชขึ้นเสียงสูง เหลือบตามองลายเมฆอย่างไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าพูดประโยคนี้ "อย่ามาทำเป็นพูดดี ใจฉันน่ะรู้ดี ว่านายน่ะ อยากจะหนีงานของพ่อนายมาใจจะขาด ...ฉันช่วยนายหนีงาน นายแค่มาอยู่เป็นเพื่อนฉัน แฟร์จะตาย อย่ามาทำท่าว่าฉันติดหนี้บุญคุณนายหน่อยเลย"

ลายเมฆยักไหล่ขำๆ อย่างยอมรับแต่โดยดี แล้วทั้งสองก็เดินเคียงคู่กันเข้าไปด้านใน ถ้าไม่ได้ยินบทสนทนา มองผ่านไกลๆ เช่นนี้ ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันราวกับคู่รักคู่หนึ่งที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง ทั้งหล่อ ทั้งสวย...หรูหราสง่างามทั้งคู่




************





ตั้งแต่ทางแยกระหว่างสวนต้นตระการและสวนศิริกุลเป็นต้นมา รถกะบะของต้นธารที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงมาตลอดทาง กลับวิ่งช้าลงอย่างประหลาด ความตั้งใจเมื่อแรกว่าจะกลับสวนเพื่อไปคุมคนงานตัดแต่งกิ่งลำไยในสวนหน้าของสวน อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนใจหักเลี้ยวรถอย่างกะทันหันเลี้ยวรถเข้าไปด้านในด้วยเส้นทางถนนสายเล็กๆ ซึ่งทอดตัวไปสู่ท้ายสวนโดยเฉพาะ เขาจอดรถไว้ข้างอาคารเล็กๆ อันเป็นจุดพักคนงาน ว่างและร้างไร้ผู้คนในขณะนี้

ชายหนุ่มเดินเรื่อยๆ ไปตามลัดเลาะไปตามแถวต้นลำไยท้ายสวน ยิ่งเดินลึกเข้าไป พื้นดินก็ลาดชันต่ำลง จนเมื่อเขาเดินมาถึงจุดหมายปลายทาง เบื้องล่างคือบริเวณที่สวยงามสุดจะบรรยาย ลำธารสายหนึ่งทอดตัวลงมาจากหุบเขาไกลสุดลูกหูลูกตา ลัดเลาะคดเคี้ยวตามไหล่เขามาอย่างงดงามวิจิตรบรรจง ตัดผ่านแบ่งแยกดินแดนของสวนต้นตระการและสวนศิริกุลได้อย่างพอดีพอดี โขดหินน้อยใหญ่ตามธรรมชาติสรรสร้าง ตั้งเกลื่อนกลาดเรียงรายอยู่ท่ามกลางสายน้ำไหลเอื่อย ทุกครั้งที่สายน้ำกระทบโขดหิน ฟังเป็นจังหวะจะโคนและเกิดเป็นฟองคลื่นขาวสะอาดซ่านกระเซ็นคล้ายดอกไม้ไฟขนาดย่อมๆ

เบื้องหน้าไม่ห่างจากจุดที่ชายหนุ่มยืนอยู่ซักเท่าใด คือสะพานลิงกว้างราวเมตรกว่าๆ ทอดยาวจากสวนฝั่งนี้ไปยังสวนฝั่งโน้น ด้วยความสูงชันของสะพานเหนือลำธารด้านล่าง สะพานจึงโคลงเคลงทุกครั้งเมื่อมีลมกรรโชกแรงพัดผ่านหรือในยามที่มีคนพยายามจะเดินข้ามไป...แต่ในความคลอนแคลนนั้นตัวสะพานกลับแข็งแกร่งและมั่นคงอย่างไม่น่าเชื่อ

เสียงไฟแช๊คถูกจุดดัง แช๊ะ แล้วตามมาด้วยควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากปากชายหนุ่ม ต้นธารเดินไปทิ้งตัวลงนอนในเปลญวนอันโปรดที่เขามาผูกไว้ต้นสองต้นไม้ใหญ่ใต้ร่มเงาฉ่ำเย็น เวลาผ่านไปหลายปี เปลของเขาก็ขาดไปเสียหลายอัน เขาเปลี่ยนมันไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว...แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนเปลกี่ครั้ง สถานที่นั้นยังคงเดิมเสมอ สถานที่เดิมๆ แห่งนี้ ที่เขาเข้ามายึดครองกลายเป็นที่ส่วนตัวไปแล้ว คนงานทุกคนของเขาและทุกคนรู้ดี ว่านี่เป็นสถานที่ส่วนตัวจริงๆ เป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่เคยมีใครคนไหนกล้าเข้ามาวุ่นวาย หากไม่ได้รับอนุญาติจากเขาเสียก่อน

นอกจากผูกเปลไว้นอนเล่นพักผ่อนแล้ว ถัดออกไปไม่ไกล ต้นธารยังสั่งให้คนงานมาปลูกเรือนหลังเล็กๆ ไว้พักอีกด้วย เรือนหลังน้อยหลังนี้เป็นเรื่องไม้ขนาดเล็กของหนุ่มโสดขนาดแท้ ไม่มีอะไรมากมาย เป็นเพียงกระท่อมเกือบว่างเปล่า มีเครื่องประดับน้อยชิ้นสำหรับอำนวยความสะดวกเท่านั้น นั่นก็คือเตียงขนาดเล็ก โต๊ะ เก้าอี้...และของใช้อีกไม่กี่อย่าง

อัดบุหรี่เข้าปอดและทอดสายตาไปเรื่อย สะพานลิงแขวนอยู่เบื้องหน้าคล้ายไหวโยก แม้ไม่มีสายลมลำเพยซักเพียงนิด เขาหลับตาลงทั้งที่บุหรี่ในมือยังไม่หมดมวน แล้วคลายนิ้วมือปล่อยทิ้งมันให้ร่วงลงพื้นดินเย็นฉ่ำและหมดไหม้ดับไปเอง...




เจ็ดปีที่แล้ว...


กึ๊ก กึ๊ก กึ๊ก...

เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ โซ่และเชือกที่รัดสะพานแกว่งไกว ทำให้ร่างที่กำลังนอนเอกขเนกอยู่บนเปลลืมตาขึ้นมามอง ต้นธารในช่วงวัยรุ่นจึงได้เห็นใครบางคนเดินแทบจะเป็นวิ่งข้ามสะพานลิงนั่นมาอย่างว่องไว แล้วหยุดอยู่กลางสะพาน ร่างบางของเด็กสาวในวัยละอ่อนกำลังยืนอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งจับราวสะพานอยู่อย่างหมิ่นเหม่ ส่วนมืออีกข้างกำลังกวักไหวๆ ไปยังใครอีกคนทางฝั่งโน้น ผมหยักศกยาวถึงกลางหลังถูกราวไว้เป็นห้างม้า มันแกว่งทุกคนที่เด็กสาวเคลื่อนไหวร่างกาย

"บุ๋ม เดินข้ามมาเลย ไม่ต้องกลัว กล้าๆ หน่อยๆ " ทั้งชักชวน ทั้งปลอบ ทั้งท้าทาย เมื่อต้นธารมองไปยังจุดหมายของเด็กสาว ฝั่งโน้นมีเด็กผู้หญิงอายุราวสิบกว่าขวบยืนอยู่ ตัวผอมกระจ้อยร้อยและดวงตาคู่โตกำลังมองสะพานที่ไหวโยกด้วยความหวาดหวั่น ริมฝีผากเม้มแน่นและเอ่ยอย่างขลาดๆ

"ไม่เอา บุ๋มกลัว บุ๋มจะรอตรงนี้ พี่บัวไปคนเดียวเถอะ" แต่คนชวนไม่ละความพยายาม ทั้งเขย่าและขย่มสะพาน

"ดูสิ มันแข็งแรงออก พี่อ้วนจะตายหนักกว่าบุ๋มตั้งเยอะ มันยังไม่หักเลย มาเถอะ เดี๋ยวพี่เดินไปรับก็ได้" ผลที่ได้รับคือบูรณีในวัยสิบกว่าขวบยังส่ายหน้าลูกเดียว ต้นธารอมยิ้ม เพราะคนที่บอกว่าตัวเองตัวหนักอ้วนจะตายนั้น เป็นเพียงเด็กสาวที่ตัวบางแทบจะปลิวลมเช่นกัน ในชุดกางเกงขาสามส่วนรัดรูปกับเสื้อยืดสีสดพอดีตัว แต่แม้ว่าร่างจะผอมเพรียวแต่ด้วยวัยใกล้เป็นสาว ส่วนเว้าส่วนโค้งในชุดง่ายๆ นั้นจึงละมุนตา โดยเฉพาะช่วงบริเวณหน้าอก ที่นูนเด้งดุนเสื้อยืดออกมาตรึงสายตาเขาไว้ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะมองก็ตามที

เมื่อเห็นว่าน้องน้อยไม่มีวี่แว่วว่าจะเดิมตามมา สุดท้ายพี่สาวก็บ่นกระปอดกระแปด "ก็ได้ๆ ไม่มาก็ไม่ต้องมา เดี๋ยวพี่จะไปเอามาให้ รออยู่ตรงนั้นนะ อย่าไปไหนเชียว" ว่าแล้วก็เดินข้ามมาฝั่งสวนต้นตระการ โดยไม่ทันเห็นว่าไม่ไกลออกไป ต้นธารยังนั่งมองอยู่อย่างเงียบๆ

เป้าหมายของเธอคือกล้วยไม้สีม่วงช่อเล็กซึ่งเกาะเป็นกาฝากอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ต้นธารยังคงไม่แสดงตัว ยังคงนั่งมองต่อไปเรื่อยๆ เด็กสาวฝั่งโน้นร้องเชียร์เหย็งๆ ส่วนคนฝั่งนี้ก็พยายามกระโดดให้สูง เพื่อจะเด็ดดอกกล้วยไม้ดอกนั้นให้ได้ เหตุด้วยว่าดอกกล้วยไม้นั้นอยู่สูงเกินไป และเธอคิดว่าวิธีนั้นไม่ได้ผล เธอก็เปลี่ยนใจพยายามจะปีนขึ้นไปแทน แต่ต้นไม้ต้นนั้นเป็นไม้ใหญ่ยืนต้นมานาน มันจึงไม่มีกิ่งก้านพอจะให้จับปีนขึ้นไป สุดท้ายเด็กสาวจึงได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ใต้โคนไม้ เหลือบไปเห็นขอนไม้นอนอยู่ไม่ไกล ไอเดียจึงเกิด เธอเอาขอนไม้ขนาดใหญ่แต่เป็นท่อนสั้นๆ มาตั้งขึ้น แล้วปีนเหยียบ เขย่งสุดแรงเกิด แต่ก็ยังเอื้อมไม่ถึงอยู่ดี กล้วยไม้แสนสวยอยู่เพียงปลายนิ้วมือเอื้อมถึงเท่านั้น หันไปป้องปากตะโกน

"บุ๋ม มันสูงไป พี่เอาไม่ได้หรอก" หันกลับมา กำลังตั้งใจว่าจะลงจากตอไม้นั้น บังเอิญสบตากับชายหนุ่มที่ยืนขึ้นจากเปลพอดี ด้วยความตกใจเธอจึงก้าวพลาด หงายหลังก้นจ้ำเบาบนพื้นดินชื้น

"เฮ้ย..." สองเสียงประสานกัน ต้นธารเองก็ตกใจไม่น้อย รีบวิ่งเข้ามาทันที พยุงเด็กสาวให้ลุกขึ้น...กายแนบกาย...

กลิ่นหอมของบางสิ่ง ซาบซ่านในอากาศ...

บงกชเหลือบตาขึ้นมาคนตัวสูงอย่างตกใจ "คะ...คุ...คุณ นายเป็น...ใคร"

"ฉันเป็นคนของสวนนี้" เขาตอบแล้วปล่อยมือออกจากเด็กสาว "แล้วเธอล่ะเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่" ต้นธารถาม ทั้งๆ ที่เห็นอยู่แล้ว ว่าเธอมาทำอะไร

"บัว..เอ่อ...เอ๊ย...ฉันเป็นคนของสวนโน้น" บอกพลางชี้นิ้วไปฝั่งสวนศิริกุล "ข้ามมาเดินเล่นน่ะ พอดีน้องสาวของฉันอยากจะได้ดอกไม้ช่อนั้น" เธอบอก แล้วรีบปัดรอยเปื้อนที่ก้น ก่อนจะรีบเดินไปยังสะพานลิง ต้นธารเดินตามหลังไป รอยเปื้อนบนกางเกงเด็กสาวยังเป็นรอยดำเป็นปื้นอย่างเห็นได้ชัด บงกชจับราวสะพานแล้วก็หันมามาเขาอีกครั้ง มีแววหวาดหวั่นนิดหน่อย เพราะกลัวว่าเขาจะคิดว่าเธอนิสัยไม่ดี เข้ามาขโมยดอกไม้ในสวนของเจ้านายเขา ซึ่งดูจากการแต่งกายด้วยเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงขาสั้นธรรมดาๆ เขาน่าจะเป็นคนงานหรือไม่ก็ลูกของคนงานที่นี่เป็นแน่

"ไม่อยากได้แล้วเหรอ ดอกไม้นั่นน่ะ" เขาถามพลางพยักพเยิดไปทางกล้วยไม้ช่อนั้น บงกชรีบออกตัว "น้องสาวฉันอยากได้น่ะ แต่เราไม่เอาแล้วล่ะ แล้วไม่ต้องบอกใครนะว่าเราสองคนมาฝั่งนี้ เราไม่ได้คิดจะมาขโมยด้วย"

เขายิ้มที่มุมปากแล้วสรรพหยอก "คิดจะมาเอาเฉยๆ โดยที่เจ้าของไร่ไม่รู้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการขโมยหรอกนะ" เขาว่า...ประโยคนั้นทำเอาคนตาหวานตาวาวขึ้นมาเม้มปากหน้างอ

"ก็แค่ดอกไม้ดอกเดียว ลุงโมกข์คงไม่หวงหรอกมั๊ง" ว่าแล้วก็รีบเดินข้ามสะพานไป แต่ไปได้ครึ่งทางเท่านั้น เขาก็เรียกไว้ "เดี๋ยวก่อน เธอชื่ออะไร"

บงกชหันมา" ทำไม จะเอาชื่อฉันไปรายงานเจ้านายเหรอ"

"เจ้านาย.." ต้นธารขมวดคิ้วแล้วเมื่อเข้าใจบางอย่าง เขาก็ยิ้มออกมา "...อ้อ...เปล่าหรอก แค่อยากรู้จักน่ะ รอเดี๋ยวนะ" ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวกลับไปที่ต้นไม้ต้นเดิมนั้น ปีนขึ้นไปบนตอไม้ที่บงกชวางไว้ ไม่ต้องเอื้อมสุดมือด้วยซ้ำไป เพราะด้วยความสูงของเขา เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเขาก็เด็ดดอกกล้วยไม้ลงมาช่อหนึ่งอย่างง่ายดาย ก่อนจะวิ่งกลับไปและเดินเข้าไปหาเธอกลางสะพาน ยื่นกล้วยไม้ชื่อนั้นให้ แต่บงกชไม่ยอมเอื้อมมือไปรับ

"เอ้า..อยากได้ก็เอาไปสิ"

"ทำไม"

"ก็น้องสาวเธออยากได้ไม่ใช่เหรอ เอาไปสิ"

"ไม่เอาหรอก " บงกชส่ายหน้ายืนกรานอย่างไม่ชอบใจ "ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลัง เมื่อกี้นายยังกล่าวหาว่าฉันเป็นขโมยอยู่เลย" คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างเต็มสีหน้าต้นธาร รอยยิ้มของผู้ชายตรงหน้าทำให้เด็กสาวดวงตาพร่าพรายแม้จะยังคงหน้าบึ้งอยู่

"เอาไปเถอะ อย่างที่เธอว่า ดอกไม้ดอกเดียว เจ้าของสวนคงไม่หวงหรอก" เขาไม่ได้บอกไป ว่าเจ้าของสวนคือพ่อเขาเอง

เมื่อเห็นเขายิ้มเต็มที่อย่างเป็นมิตร บงกชก็ไม่อาจแง่งอนได้ต่อไป มองช่อดอกไม้ในมือเขานิ่ง แววตาอ่อนลง เสียงบูรณีแว่วมา..."เย้ๆ เอามาเลยพี่บัว บุ๋มชอบ"

นั่นแหล่ะบงกชจึงยอมเอื้อมมือไปรับช่อดอกไม้ช่อนั้น ชั่ววินาทีที่มือสัมผัสกันกลางอากาศ ปลายนิ้วเขาและปลายนิ้วเธอชนกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ คล้ายกระแสบางอย่างที่เด็กสาวไม่เข้าใจแล่นซ่านไปทั่วตัว หัวใจไร้เดียงสาและบริสุทธิ์กระตุกแว๊บ...บ แววตาหวานวูบไหวจนต้องเสหันไปมองทางอื่น รีบกระตุกมือออกอย่างว่องไวและหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่ได้เห็นสายตาของต้นธารที่มองตามหลังไปนิ่งนาน มองตลอดจนบงกชเดินข้ามไปถึงฝั่งโน้น ยื่นดอกไม้ช่อนั้นให้น้องสาวของเธอ

ต้นธารได้แต่ยื่นนิ่งอยู่ตรงนั้นยกมือขึ้นทาบหัวใจตัวเอง เพราะรู้สึกถึงแรงกระตุกชั่ววูบเมื่อครู่เช่นกัน ความรู้สึกแบบนั้น เขาอายุไม่น้อยเรียนมหาวิทยาลัยจนใกล้จะจบแล้ว เขาจึงไม่ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่ามันคืออะไร เด็กสาวคนนั้นมีบางอย่างดึงดูดใจเขา ดวงตากลมโต หน้าตาสวยใส เรือนร่างน่ารักน่าทนุทนอม ผมหางม้าหยักศกปลิวสะบัดไปมาในทุกย่างก้าว ส่วนเว้าส่วนโค้งที่พอมีทำให้เลือดในกายเขาร้อน...

เขามาที่นี่หลายครั้งในช่วงปิดภาคเรียนแต่ไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย คงไม่ช้าไปกระมัง ชั่วนาทีนั้นเขาตะโกน "บัว..." เขาเรียกชื่อนั้น เพราะได้ยินเธอพูดก่อนหน้านี้โดยไม่ตั้งใจ แล้วเด็กสาวก็หยุดชะงัก ...ใช่ เธอชื่อบัวจริงๆ ด้วย "พรุ่งนี้มาอีกนะ ที่สวนฉันมีกล้วยไม้เยอะแยะเลย ถ้าน้องสาวเธอชอบ แวะมานะพรุ่งนี้"

ไม่รู้ว่าบงกชได้ยินหรือไม่ เธอแค่ชะงักชั่วครู่แต่ไม่ได้พูดอะไรตอบรับเป็นการรับรู้ด้วยซ้ำ แล้วเดินต่อเลี้ยวเข้าพุ่มต้นไม้หายไป...

บัว...

เขาท่องชื่อนั้นในใจ









Create Date : 07 ธันวาคม 2554
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 17:34:45 น. 4 comments
Counter : 692 Pageviews.

 
มาลงชื่อไว้ก่อนค่ะคุณแจง
เดี๋ยวกลับมาตามอ่าน ^^


โดย: ธาร นาวา IP: 183.88.77.60 วันที่: 9 ธันวาคม 2554 เวลา:14:12:56 น.  

 
ตามมาจากทางนู้นนน


โดย: พริบตา IP: 61.7.145.137 วันที่: 21 ธันวาคม 2554 เวลา:21:08:50 น.  

 
อืม...
ไม่รู้ว่าแจงตั้งใจอย่างไร
แต่ตูนไม่ชอบ "บัว"เลยอะ
ภาวนาขออย่าให้เป็นนางเอกเลยนะ


โดย: เหมือนพระจันทร์ วันที่: 13 สิงหาคม 2555 เวลา:17:38:56 น.  

 
^
^
สงสัยตูนจะต้องผิดหวัง...5555555++
ไม่รู้ ดูก่อน ว่าให้ใครเป็นนางเอกดี บัวหรือบุ๋ม


โดย: nikanda วันที่: 21 มกราคม 2556 เวลา:5:01:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nikanda
Location :
จันทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 31 คน [?]




ลายปากกา









New Comments
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
7 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add nikanda's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.