ฝันซ้ำๆ ฝนกลางวันช่วงเกือบเที่ยงแล้วของวันที่อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ดูเหมือนว่าวันนี้หญิงสาวจะตื่นช้ากว่าทุกวัน เนื่องจากเมื่อวานคือวันที่เป้ บาร์เทนเดอร์คนเก่งประจำร้านเดินทางขึ้นเชียงใหม่บ้านเกิด หลังจากที่เคยบอกล่วงหน้าเอาไว้เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนว่าจะเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านตอนปลายเดือน แต่นี่เพิ่งจะกลางเดือนแท้ๆ กลับมีเหตุด่วนทำให้เขาต้องกลับไปก่อนกำหนด ความวุ่นวายโกลาหลจึงเกิดขึ้น เมื่อแพลนที่วางไว้ว่าจะเปิดรับสมัครพนักงานใหม่ยังไม่ทันได้เริ่ม จึงไม่มีพนักงานมาทำงานแทนเมื่อคืนนี้ทุกอย่างกระทันหันจนหาใครไม่ทัน จากที่มีปานวตามาช่วยอย่างเคยก็ไม่เพียงพอ แล้วได้หลานชายของกิ่งดาวมาพอช่วยแก้ขัดไปได้นิดหน่อย เพราะว่านนท์นั้นยังค่อนข้างเป็นวัยรุ่น แถมมีประสบการณ์การทำงานน้อยมาก อย่างมากก็เคยรับจ๊อบเป็นบาร์เทนเดอร์จำเป็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น หญิงสาวจึงต้องไปช่วยที่หน้าเคาเตอร์อย่างเต็มตัว จากที่อย่างมากก็แค่คอยลงไปดูแลสอดส่องบางครั้งบางคราวปานวตาเองก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องในใจตัวเองเหมือนกัน ซึ่งลอออินทร์ก็พอจะทราบอยู่บ้างว่าเรื่องอะไร แต่ยามที่ต้องทำงานในสถานที่ที่ต้องให้ความสุขสนุกสนานกับลูกค้านั้น ทุกคนก็จะต้องทำงานกันอย่างเต็มที่ สนุกกันอย่างสุดเหวี่ยง หน้าฉากคือความสุข แต่หลังฉากจะเป็นอย่างไรนั้น นั่นเป็นอีกเรื่องที่พนักงานแต่ละคนจะต้องรู้วิธีจัดการกับความรู้สึกของตัวเองเมื่อถึงเวลาเลิกงาน หลังจากเคลียร์บิลและดูแลทุกอย่างเรียบร้อย และปล่อยให้กิ่งดาวเก็บกวาดทำความสะอาดชั้นล่างนั้น ทั้งสองสาวก็มานั่งจิบไวท์เย็นๆ บนระเบียงกว้างขวางของชั้นบนสุด ในส่วนที่ติดกับห้องของเธอเอง ระเบียงชั้นนี้กว้างขนาดเกือบหนึ่งห้องเต็มๆด้วยซ้ำไป เนื่องจากเป็นส่วนที่ติดกับสองห้องใหญ่ที่หันหน้าเข้าหากัน ใช้ระเบียงร่วมกัน เมื่อก่อนห้องที่เคยอยู่ตรงข้ามกับห้องของลอออินทร์นั้น เคยเป็นห้องชั่วคราวของปานวตา แต่เมื่อถึงวันที่คุณยายเสียไป ใครซักคนต้องเป็นคนที่กลับไปอยู่เพื่อตัวแลบ้านใหญ่ที่ในเมืองและเป็นช่วงเวลาที่ปานวตาต้องการมีช่วงเวลาส่วนตัวของตัวเอง จนแทบไม่ได้ใช้ห้องนี้ ยิ่งตอนหลังๆยิ่งไม่ได้เข้ามา ห้องนี้จึงกลายเป็นเพียงห้องว่างเปล่า มีทุกอย่างครบครัน แต่เมื่อไม่มีคนอยู่ ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า ..ไร้คนก็ไร้ชีวิตชีวา..ไร้รักก็หมดสิ้นความหวัง..ด้านหน้าของระเบียง ต้นโป๊ยเซียนเล็กๆสีสันจัดจ้าน ถูกวางเรียงรายเอาไว้มากมาย เหตุผลของคนที่นำมันมาปลูก ปานวตาเคยถามหญิงสาวผู้เป็นน้าสาว และได้รับคำตอบสั้นๆว่า "มันเล็กแต่แกร่งดี"เก้าอี้สำหรับนอนเอนกายพักผ่อนสองตัวยังคงอยู่ที่เดิม หากแต่ช่วงหลังๆมีเพียงลอออินทร์เท่านั้นที่มาใช้มุมนี้บ่อยที่สุด รสหวานเผื่อนปนขมของไวท์ชั้นดีถูกกลืนลงคอไปอย่างช้าๆ อ้อยอิ่ง.."นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เราไม่ได้มานั่งกันอย่างนี้" ลอออินทร์เอ่ยถามคนที่นั่งอยู่อีกเบาะ"ก็นานมากทีเดียว" ปานวตาตอบกลับ "และทุกครั้งที่มานั่งตรงนี้ ก็ดูเหมือนว่าปอยจะต้องมีเรื่องมาให้น้าอ้อนรำคาญใจทุกที" เหมือนจะต่ออีกว่า..ครั้งนี้ก็เหมือนกันลอออินทร์เพียงแต่ยิ้มรับน้อย "มีอะไรในใจหรือ ว่าไปสิ""ก็แม่นะสิน้าอ้อน อยู่ดีๆ ก็จะให้ปอยไปทำงานแทน ทั้งๆที่ปอยบอกไปแล้ว ว่าปอยไม่ชอบ ไม่ต้องการ แต่คราวนี้แม่บอกว่า ถ้าปอยไม่ไปทำตามคำสั่ง แม่จะยกให้คนอื่นทำแทน" ปลายเสียงมีแววหงุดหงิด"หืม""ไม่ต้องมาทำหืมเลย เดาว่าน้าอ้อนน่าจะพอรู้เรื่องบ้างแล้ว น้าอ้อนคิดว่ายังไงคะ ปอยควรจะไปทำดีไหม" เมื่อคิดถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมาก็ยิ่งหงุดหงิด "แล้วคิดว่ายังไงล่ะ" "ไม่รู้สิ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ แต่น้าอ้อนรู้ไหม ว่าปอยไปเจอมาแล้วนะ นายหกเก้าแต้มของน้าอ้อนน่ะ" จากนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็พร่างพรูออกมาจากปากของปานวตาดังสายน้ำไหล ตั้งแต่เรื่องราวที่เจอกันครั้งแรกจนถึงวันที่ปะทะคารมกันเมื่อคราวก่อนนั้น"ขนาดนั้นเชียว""แค่ตอนแรกรู้ว่านายเพชระเป็นนายคนนั้น ปอยก็โมโหแล้วนะ แต่ถ้าน้าอ้อนได้เห็นนะ ขนาดปอยว่าซะเสียหายไปหลายคำ นายคนนั้นยังไม่สะทกสะท้านซักนิด ดูไม่มีทีท่าจะละอายแก่ใจบ้างเลย ยิ่งทำให้ปอยโมโหขึ้นไปอีก หมั่นไส้นัก""ก็แล้วทำไมไม่ไปทำงานที่นั่นเล่า จะได้ไปอยู่ใกล้ๆแม่เธอ ไปคอยกันท่าเขาซักหน่อย" ลอออินทร์เติมเชื้อไฟลงไปนิดๆ คนฟังตาลุกโพลงอย่างพอใจเพราะได้แรงสนับสนุนที่คิดเอาไว้แล้ว หันมาถาม"ก็คิดอยู่เหมือนกัน" แต่ลังเลไปพักใหญ่ ก่อนจะถามซ้ำอีกครั้ง "น้าอ้อนว่าจะดีจริงๆเหรอ"ลอออินทร์เพียงแต่พยักหน้า.."ลองดูสิ"ปานวตากลับออกไปนานแล้ว พร้อมกับคำตอบที่มีในใจส่วนลอออินทร์ หญิงสาวเพียงแต่ยิ้มออกมาอย่างสมใจ เรียบร้อยไปแล้วหนึ่ง..เห็นไหมคะพี่อร อ้อนบอกแล้ว ว่ายัยปอยน่ะ แกจะทำให้สิ่งอยากทำแน่นอน ขอเพียงแรงกระตุ้นซักเล็กน้อยเท่านั้น แกเหมือนจะเก่งและแกร่ง แต่ลึกๆแล้วแกต้องการคนผลักดันและหนุนหลังก่อนจะจิบไวท์นแก้วบางเบาในมือนั้นอีกครั้ง ไวท์ที่รสชาติเฝื่อนนิดๆ ขมหน่อยๆ หวานที่ลิ้นแล้วขมที่ลำคอ ..หรือมันขมที่ปลายลิ้น และหวานที่ลำคอกันแน่นะ?แก้วบางๆสวยใสในมือ ถูกปล่อยวางลงบนพื้นข้างเก้าอี้ ก่อนที่จะเอนกายลงบนเก้าอี้อย่างเต็มตัว ปล่อยตัวเองตามสบาย รับไอเย็นนิดๆของสายลมที่ตัดผ่านความร้อนรุ่มของหน้าร้อนมาเป็นครั้งคราวมองขึ้นไปบนท้องฟ้า..คืนนี้ดวงดาวสวยจัง แต่ดวงดาวจะสวยแค่ไหน ก็คงต้องดูที่ปริมาณไวท์ที่เธอดื่มลงคอลงไป ยิ่งมากเท่าไหร่ดวงดาวที่ห่างไกลบนท้องฟ้าก็เหมือนยิ่งสวย เหมือนว่ามันจะอยู่ใกล้จนจับต้องได้กระนั้น..มองไปข้างหน้า ต่ำลงมาเรื่อยๆ ดาวมากมายที่เกลื่อนฟ้า ส่องแสงนวลตา ยิ่งมองต่ำลงมา ดวงดาวก็เหมือนจะมากขึ้น ใกล้ขึ้น มารวมตัวกันเป็นดวงใหญ่ เสียดแทงนัยน์ตาของหญิงสาว แสงสว่างที่เรื่อเรืองอยู่เบื้องหน้าไกลออกไป แต่ก็ไม่ไกลเกินจะรับรู้และมองเห็น..คิราธาลัย....โรงแรมในเครือศิวาลัย..สำเนียกสุดท้าย ก่อนจะผลอยหลับไป* * * * * * * * * *"เขาเจ็บหนักจนจะตายอยู่แล้ว เป็นเพราะเธอแท้ๆ เธอยังหน้าด้านมาหาเขาอีกหรือ เธอนี่มันน่าทุเรศจริง" เสียงกล่าวหาของหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่ดังลั่นหน้าห้องไอซียูนั้น มันบาดลึกลงไปในใจมากกว่าร่างกายที่ถูกผลักจนกระเด็นออกมากระแทกกับผนังห้องอย่างแรงเสียอีก ไม่วายที่ลอออินทร์จะร้องขอความเห็นใจอีกครั้ง"ขอให้ฉันได้เข้าไปดูเนซักนิดเถอะนะคะ ฉันรับรองว่าจะไม่กวนเขาเลย ขอฉันดูหน้าเขานิดเดียวเท่านั้น" ก่อนที่จะถูกกระชากแขนอย่างแรงอีกครั้ง"นี่เธอพูดไม่รู้เรื่องหรือ ฉันไม่ให้เธอเข้าไปเด็ดขาด" ผู้หญิงคนเดิมคนนั้นกระชากเสียงและกระชากแขนเธอแรงขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่ธาลัยน้องสาวของอเนชา จะค่อยๆแกะมือที่เหนียวหนึบร้อนแรงนั้น ออกไปอย่างช้าๆ ปรายตาคมๆมองหน้าลอออินทร์ด้วยสายตาเย็นชาอย่างยิ่ง"พอเถอะน้ำหนึ่ง ถึงอย่างไร ทำอย่างไรพี่เนก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก""แต่เพราะผู้หญิงคนนี้นะ พี่เธอถึงต้องเป็นแบบนี้" น้ำหนึ่งกล่าวหาอย่างอัดอั้น ทั้งร้อนใจ ทั้งโกรธ"แต่ถึงอย่างไร ผู้หญิงแบบยัยคนนี้ไม่มีค่าอะไรให้เธอต้องเสียเวลาลดตัวมาพูดด้วยหรอก" น้ำเสียงเย็นๆนั้น ส่งผลให้หญิงสาวเจ็บแปลบ แม้ใจจะบอกว่าไม่แคร์ซักนิด แต่ถึงอย่างไรธาลัยก็คือน้องสาวของเขา ของผู้ชายคนนั้น คนที่นอนอยู่ด้านในนั้นอยู่ดีลอออินทร์หันไปทางหญิงชราวัยกลางคนที่เพิ่งเปิดประตูห้องคนป่วยออกมา วิ่งเข้าไปหาทันที "คุณหญิงคะ ขอดิฉันเข้าไปเยี่ยมคุณเนหน่อยเถอะค่ะ ข้อร้องเถอะค่ะ เพียงหนึ่งนาทีก็ได้"คำตอบที่ได้รับทำให้น้ำตาของหญิงสาวร่วงพรู เพราะคำตอบนั้นคือความเงียบงัน มารดาของอเนชาไม่เหลือบแลมาทางหญิงสาวแม้แต่น้อย มองผ่านตัวตนของลอออินทร์ไปราวกับว่าหญิงสาวเป็นเพียงธุลีในอากาศ แต่กับหันไปพูดกับลูกสาวของตนแทน "แม่ไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว อย่าให้หล่อนเข้าไปนะ" ก่อนจะหันไปคว้าแขนของหญิงสาวคนนั้น คนที่ท่านต้องการให้มาเป็นศรีสะใภ้ ประดับบารมีที่โก้หรูและสง่างามของวงศ์ตระกูล "ไปลูกน้ำหนึ่ง กลับบ้านกันก่อน แล้วคืนนี้ค่อยมาเปลี่ยนกันเฝ้ากับยัยธาลัย" จากนั้นจึงจากไป แล้วภาลัยก็เปิดประตูห้องคนป่วยเข้าไปอย่างเย็นชา ปล่อยให้ลอออินทร์ยืนอยู่เพียงผู้เดียวด้านนอกห้อง..อย่างเดียวดายอากาศในวันนั้นค่อนข้างหนาวเย็นทีเดียว เมื่อลอออินทร์ต้องวิ่งผ่านสายฝนที่ปรอยลงมาอย่างแผ่วเบา เดินตัดสนามหญ้าจากอาคารผู้ป่วย เพื่อออกไปเรียกแท๊กซี่กลับห้องพัก แม้ค่าแท๊กซี่อาจจะไม่เหมาะกับคนอย่างเธอ ด้วยอัตราค่าใช้จ่ายที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่วันนี้เธอไม่มีเรี่ยวแรงพอจะเดินไปจนถึงป้ายรถเมล์แน่ๆ แท็กซี่จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เธอมี..และยอมยังเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งสนามด้วยซ้ำ ร่างที่ซวนเซนั้นก็ถูกคนที่วิ่งสวนมาอย่างรีบร้อนเพื่อหลบสายฝนโปรยปรายเฉี่ยวเอา จนกระเป๋าใบโตกระเด็นจากไหล่ไปตกลงที่พื้น"ขอโทษครับ" เสียงนั้นเอ่ยขึ้น ก่อนที่เขาจะเดินไปเก็บกระเป๋ามาส่งให้ คนรับดูเหมือนจะเพิ่งรู้ตัวด้วยซ้ำ ว่ากระเป๋าข้างกายที่ตนสะพายนั้นไม่ได้อยู่ที่ตน "ไม่เป็นไรค่ะ" ลอออินทร์กล่าวอย่างเบาๆก่อนที่จะรับกระเป๋านั้นมาจากมือใหญ่ เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตา คนตัวเล็กๆที่เมื่อครู่รู้สึกแค่เย็นๆเพราะอาบสายฝน วินาทีที่สบตานั้น กลับรู้สึกชาดิกไปทั้งตัว สายตาคมคู่นั้นก่อนที่จะกระชากกระเป๋ามาจากมือเขาอย่างแรงแล้วหันหลังเดินจากไปทันที"คุณนั่นเอง" เขาเดินตามมา "คุณโอเครึเปล่า?" เสียงนั้นยังคงเป็นเสียงเรียบๆ สุภาพและติดจะเย็นชานิดๆ เหมือนเคย เหมือนที่ได้ยิน ได้เห็นทุกครั้งไปครั้งก่อนๆ แค่ความเฉยเมย เย็นชา แต่ครั้งนี้ หญิงสาวรู้สึกได้ ว่ามันมีความสงสาร เวทนา ปนอยู่ด้วย.. หรือว่าเขากำลังสมเพชเธอต่างหากเธอไม่ชอบทุกคนที่เป็นศิวาลัย และเขาก็เป็นคนในตระกูลศิวาลัยคนหนึ่งด้วยเช่นกัน นอกจากอเนชาแล้ว เธอไม่ต้องการพูดกับใครทั้งนั้น เธอจะต้องไปให้พ้น หญิงสาวคิดและออกวิ่งจนสุดแรงที่มี ต้องไปให้พ้น ต้องไปให้พ้น..คิรากรก่อนโลกที่พร่ามัว..จะมืดดับลง * * * * * * * * * *บิดตัวไปมาเพื่อคลายความขบเมื่อย และรับรู้ได้ถึงความเมื่อยล้าที่มากกว่าที่เคยได้รับ หันไปมองรอบตัวจึงรู้ที่มาของความขบเมื่อยทั้งปวง เมื่อมองเห็นว่ารอบตัวนั้นมีเพียงแสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่แผดเผาด้านนอกให้ร้อนจนแทบเดือด แต่เก้าอี้ที่เธอนอนอยู่นั้นอยู่เยื้องเข้ามาด้านใน ที่แดดยังสาดมาไม่ถึง แต่ถึงอย่างไรก็รับรู้ถึงไอความร้อนได้อยู่ดี..นี่เธอนอนหลับที่นี่ทั้งคืนเลยหรือ..คำถามที่ถามไปอย่างนั้นเอง ทุกอย่างประจักแก่สายตาดีอยู่แล้ว แก้วไวท์สองแก้วยังค้างเติ่งอยู่บนพื้น โป๊ยเซียนสีสันเจิดจ้ายังเรียงรายท้าทายแสงแดดที่ริมระเบียง แต่หญิงสาวกลับต้องหยีตาลงเพราะสู้แสงไม่ไหว คราบเย็นยังมีร่องรอยที่หางตา น่าเบื่อจริงๆ นี่เธอฝันอีกแล้วหรือ เมื่อไหร่กันที่ฝันนั้นจะจางไปเสียที เบื่อจริงก่อนที่จะลุกขึ้นมาสะบัดตัวและเก็บแก้วไวท์ขึ้นมา รู้สึกเจ็บคอขึ้นมาตะหงิดๆ เมื่อคืนนอนตากลมทั้งคืนอย่างนี้ ท่าทางจะแย่เสียแล้ว และยิ่งไม่มีผ้าห่มคลุมซักผืนยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ สงสัยเมื่อคืนจะดื่มมากไปหน่อย ไม่บ่อยเท่าไหร่ที่จะผลอยหลับไปเช่นนี้อาบน้ำแต่งตัวใหม่ยังไม่ทันเสร็จด้วยซ้ำไป เมื่อเสียงโทรศัทพ์รัวขึ้นมาถี่ๆติดต่อกันหลายครั้ง..เหลือบตามองชื่อบนหน้าจอ"ว่าไงคะ""อะไรกัน โทรหาตั้งหลายที เมื่อเช้าก็สองที ไม่รับสาย""ไม่มีอะไรคะ สงสัยหลับเพลินไปหน่อย เลยไม่ได้ยิน..พี่อรมีอะไรรึเปล่าคะ""ก็จะโทรมาบอก ว่าเมื่อกี้ ยัยปอยโทรมา บอกว่าจะมาทำงานที่นี่ แต่ขอเวลาอีกหน่อย จะโทรมาขอบใจน่ะ""ขอบใจอะไรกันคะ อ้อนไม่ได้ช่วยอะไรเลย""ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ขอบใจ""ไปขอบใจคุณเพชระของพี่อรเถอะค่ะ ดูท่าไม้นี้จะได้ผล"เสียงหัวเราะของอรอรีพริ้วมาตามสาย พลอยทำให้ใจลอออินทร์เบิกบานไปด้วย "ถ้าได้ผลจริงๆก็ดีสิ เฮ้..เธอไม่สบายหรือเปล่า น้ำเสียงไม่ค่อยดีเลย""ก็.." เงียบไป.."ก็ดีค่ะ""แต่พี่ว่าเธอไม่ค่อยดีนะ ไม่สบายแน่ๆ แล้วมีอะไรอีกหรือเปล่า เห็นว่าเมื่อคืนที่ร้านงานยุ่งเชียว""ก็นิดหน่อยค่ะ""อ้อน.." เสียงเรียกนั้นมีความเมตตา "ถ้าต้องการให้ช่วยเหลือ อย่าเกรงใจ หรือกลัวว่าใครจะเห็นว่าเราเป็นคนอ่อนแอ ทุกคนมีจุดอ่อนทั้งนั้น""...""ถ้ายังหาคนมาทำงานที่ร้านไม่ทัน พี่จะส่งคนจากที่นี่ไปช่วยซักคนสองคน"ฝั่งนั้นวางสายไปแล้ว..แต่หญิงสาวยังคงถือมือถือค้างอยู่ อย่ากลัวว่าใครจะว่าเราอ่อนแอ ก็จุดนี้ไม่ใช่หรือ?ที่ทำให้อรอรีต้องตะเกียกตะกายก้าวไปให้สูง เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเธอเข้มแข็งพอจนต้องห่างไกลกับลูกสาวคนเดียว จนเกิดเป็นรอยร้าวกลายเป็นช่องว่างที่ถมไม่เต็มซักทีแต่ก็นั่นแหล่ะ คงเป็นเพราะอรอรีได้ผ่านวันเวลาอันย่ำแย่นั้นมาแล้ว จึงได้เรียนสิ่งต่างๆได้ดี บทเรียนของคนอื่นๆหรือจะมาสู้บทเรียนที่ต้องเจอเอง..เดินลงมาที่ชั้นล่าง ทุกอย่างดูเรียบร้อยดีเหมือนเดิม กิ่งดาวหรือพี่ดาวของเธอ ทำงานกันมาเนิ่นนานด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เคยมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องให้เธอต้องปวดหัวหรือวุ่นวายใจ ความรักเคารพที่มีต่อกัน จึงเผื่อแผ่ไปถึงลูกชายของกิ่งดาวด้วย ซึ่งสำหรับลอออินทร์แล้ว ลูกของกิ่งดาวก็เปรียบเสมือนหลานของเธอคนหนึ่งแลดูทุกอย่างลงตัวไปหมด หญิงสาวคิดเองในใจ ว่าอยากให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ตลอดไป รายชื่อสิ่งของที่ขาดที่ต้องไปซื้อมาเพิ่มเติมสำหรับร้าน วางอยู่บนโต๊ะทำงานของกิ่งดาว หญิงสาวหยิบมาไล่อ่านดู ไม่มากมายเกินไปนัก ลอออินทร์จึงคิดว่าจะไปซื้อที่ร้านขายส่งรายใหญ่ด้วยตัวเอง เพราะตั้งใจว่าจะแวะที่ซุปเปอร์มาเกตด้วย จึงหยิบกระดาษจดโน๊ตมาเขียนบอกกิ่งดาวไว้ ก่อนจะเดินออกไปกลับมาอีกทีก็บ่ายกว่า จอดรถที่หน้าร้าน ยังไม่ทันได้ร้องเรียกให้กิ่งดาวหรือเด็กในร้านมาช่วยยกของ ใครบางคนก็เดินออกที่รถดึงลังใหญ่ออกมาจากมือของหญิงสาว.."อุ๊ย..อะไรกันคะ""ให้ผมช่วยนะ""เอ่อ..คุณ..""ผม เพชระครับ ผมเคยมาที่ร้านคุณแล้ว แต่คุณอาจจะจำไม่ได้" เขาบอก"อ๋อค่ะ" ลอออินทร์รับคำ "ก็พอจะจำได้นะคะ ว่าแต่ว่าคุณมาทำอะไรคะ"เพชระยิ้มเต็มสีหน้า จนลักยิ้มข้างซ้ายลึกบุ๋มลงไปอย่างน่ามองที่สุด "คุณอรให้ผมมาช่วยงานที่ร้านคุณลอออินทร์คืนนี้ครับ" เขาบอกก่อนจะแบกลังที่เต็มไปด้วยขวดวิสกี้นานาชนิดเข้าไปในร้าน ราวกับว่ากล่องนั้นไร้ซึ่งน้ำหนักโดยสิ้นเชิง ขณะที่หญิงสาวถือถุงใบใหญ่ตามเข้าไป และสมองก็ครุ่นคิดทำงานพร้อมๆกับทุกก้าวที่เดินไปด้วย..พี่อรคิดอะไรนี่ มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ ?..
กะว่าจะอัพบล็อกวันหลัง..นั่งรอลุ้นมิสยูนิเวิร์ส
ไข่มุกจากไทยไม่ติดหนึ่งในสิบห้า..หมดแรงลุ้นเลย
เข็นนิยายมาอัพเล่นฆ่าเวลาดีกว่า..ไม่ลุ้นแม่งแล้ว