นี่คือเรื่องจริง..ที่เล่าให้ใครต่อใครฟังก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องจริงเรื่องบางเรื่อง..หากใครไม่เคยเจอก็คงไม่รู้๑.ถ้าใครยังจำได้ ว่าครั้งนึงฉันเคยบอกว่าแม่ของฉันฆ่าตัวตาย ท่านฆ่าตัวตายด้วยการทานยาฆ่าแมลงลงไป แม้จะล้างท้องได้ทัน แต่ว่าเราทุกคนเพิ่งรู้ว่าแม่ของฉันนั้น ท่านเป็นโรคมะเร็งปอดอยู่แล้ว ไม่มีใครรู้รื่องนี้มาก่อน บางที..ตัวท่านเองก็อาจจะไม่รู้มาก่อนเหมือนกันก็ได้ยาฆ่าแมลงสีเขียวแก่แกมน้ำเงิน กลายเป็นเพียงสีน้ำเงินอ่อนๆเมื่อถูกผสมลงในน้ำให้เจือจางลง เพื่อที่จะดื่มลงได้อย่างง่ายๆไม่ฝืดคอจนเกินไป ..ถูกล้างออกจากท้องได้อย่างทันท่วงที และร่างกายของท่านก็อ่อนแอเกินว่าจะทนรับไหวเกือบครึ่งเดือนของความทรมานจากการพยายามฆ่าตัวตายครั้งนั้น..บวกกับปอดที่อ่อนแอมากๆอยู่แล้ว ยิ่งอ่อนแอมากขึ้นไปอีก แม่ของฉันต้องนอนซมอยู่แต่บนที่นอนเกือบตลอดเวลา และต้องมีคนคอยช่วยพุงเสมอเมื่อเวลาที่ต้องถ่ายหนัก ถ่ายเบานั้นคือข้อมูลที่ฉันเพิ่งทราบทีหลัง..๒.ครั้งแรกที่ฉันได้รับโทรศัพท์ว่าเกิดอะไรขึ้น..ฉันตกใจมาก เตรียมที่จะจองตั๋วรถทัวร์เพื่อกลับบ้านในบ่ายวันรุ่งขึ้นทันที..แต่ก่อนจะถึงยามนั้น เพียงรุ่งเช้า เสียงอ่อนระโหยโรยแรงก็ดังมาตามสาย"ทำงานไปเถอะลูก แม่ดีขึ้นแล้ว..ไม่ต้องมาหรอก" แล้วหลังจากวันนั้น ฉันก็โทรหาแม่อยู่เรื่อยๆ แม่บอกเสมอว่าทุกอย่างดีขึ้น ท่านสบายดีแต่นั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ๓.สิบกว่าวันผ่านไป.."แม่สบายดีไหม" ฉันโทรถามเป็นครั้งแรกที่ท่านเอ่ยประโยคที่ต่างไปจากเดิม "กลับมาบ้านหน่อยได้ไหม คิดถึงจังทั้งสองคนเลย" สองคนนั้นก็คือฉันและบุษ..พี่สาวของฉัน๔.บ่ายสามจากสถานีรถบัสภูเก็ตสู่ขนส่งสายใต้กรุงเทพฯ แล้วมุ่งหน้าสู่จันทบุรี..เราสองคนพี่น้องนั่งเอาหัวชนกันบนรถบัส ยิ้มให้กัน.."นี่..เอ็งว่า ระหว่างตัวเองกับเค้า แม่จะกอดใครกันก่อน" เสียงถามเจือรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าใครเป็นคนถามใครกันแน่๕.กลับมาถึงบ้านไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง ฉันก็ต้องเปลี่ยนความคิดทั้งหมด แม่ไม่ได้ดีขึ้นเลยซักนิด แม่นอนอยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้านหลังเก่าที่เราพ่อแม่ลูกเคยอยู่อาศัยเพื่อรับลม..แม่บอกว่าชอบ..เย็นดีร่างกายที่มีน้ำมีนวลกลับผ่ายผอมจะกระดูกปูดโปน เบ้าตาลึกกลวงโบ๋ และน้ำเสียงที่พยายามเปล่งออกมาอย่างช้าๆ..ฉันเพิ่งรู้ว่าแม่ต้องพยายามแค่ไหน ในการโทรศัพท์คุยกับเราสองพี่น้องในแต่ละครั้ง.."หิวข้าวจัง" ประโยคนั้นในสิบห้านาทีถัดมา..บุษป้อนข้าวไปได้สามคำ แม่ก็บอกว่า "อิ่มแล้ว ขอน้ำหน่อย"บุษป้อนน้ำไปนิดหน่อย..จากนั้นจึงขึ้นไปจัดเสื้อผ้าที่หอบมาออกจากกระเป๋าไม่ถึงสิบนาที..เสียงของแม่ก็ดังมาอีก "หิวข้าวจัง" คราวนี้เป็นตาของฉันบ้างที่ต้องประคองหัวของแม่ขึ้นมาบนตักแล้วป้อนข้าวป้อนน้ำ..ทานไปได้สองคำก็อิ่มอีกห้านาทีต่อมาก็เหมือนเดิมอีก...จนฉันเริ่มหงุดหงิด ขึ้นไปถามน้องชายที่บนบ้าน "นี่..แม่เขาป่วยหนักและเป็นอย่างนี้ทุกวันเหรอ""เพิ่งวันนี้แหล่ะ ที่ดูวุ่นวาย เรียกร้องจะเอาโน่นเอานี่ทั้งวัน" น้องชายของฉันตอบ ไม่ทันขาดคำ เสียงแม่ก็ดังมาจากข้างล่างอีก"ธี..ลงมาหาแม่หน่อย" น้องชายมองหน้าฉัน แล้วรีบลงบ้านไปหาทันทีแม่กลายเป็นช่างเรียกร้องอย่างที่ไม่เคยเป็น..แค่เวลาที่เรามาถึงไม่กี่ชั่วโมง.. ก็กอดกับแม่เสียมากครั้ง กว่าที่เคยกอดมาตลอดชีวิตเสียอีก๖.เวลาอีกนานเท่าไหร่ฉันก็ไม่แน่ใจนัก เสียงตะโกนของน้องชายฉันทำให้เราทั้งบ้านแตกตื่น เมื่อวิ่งลงมาก็เห็นร่างผอมซีดเซียวนอนอยู่ในอ้อมกอดของพ่อ น้องชายนั่งอยู่ด้านข้าง ฉันและพี่สาวเข้าไปสมทบ คนหนึ่งกุมมืออีกคนกุมข้อเท้าร่างนั้นกระตุกๆอยู่สองสามที..ปากของท่านพะงาบๆขึ้นเหมือนจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ไม่มีเสียง แล้วแววตาดำก็ลอยสูงขึ้นจนตาขาวกลับลงมา แขนขาอ่อนแรงแล้วเงียบงันไป ท่ามกลางเสียงร้องไห้ระงม ที่ไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใครมุ้งสีขาวถูกนำมาคุมร่างไร้ชีวิต ไร้จิตวิญญาณนั้น..พ่อขับรถออกไปตามสัปเหร่อของวัดมาช่วยฉีดฟอร์มาลีน ฉัน บุษ ธี ตา..ลุง ป้า น้า อา และคนข้างบ้านอีกหลายคนถูกปลุกและเรียกในยามค่ำคืน นั่งเรียงรายอยู่ใต้ถุนบ้าน เสียงพูดเสียงคุยเซ็งแซ่ ทั้งเสียงร้องไห้ เสียงปลอบประโลมใจ..แต่สำหรับลูกสาวสองคนและลูกชายหนึ่งคนเสียงดังรอบตัวนั้น..ไม่ดังเข้าไปถึงหัวใจเลยซักนิดเมื่อลุงในหมู่บ้านที่ทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อของวัดเป็นประจำมาถึง.."ลุง..อย่าเพิ่งฉีดยานะ บางทีแม่อาจจะแค่หลับไปก็ได้ รอก่อน เผื่อฟื้น" นั่นคือคำขอทั้งน้ำตาของฉัน กับความหวังที่ริบหรี่ของเรา พี่สาวและน้องชายที่ช่วยกันถูเท้าที่เย็นชืดของแม่ให้อบอุ่นขึ้นไม่จริงหรอก แม่ยังไม่ตายแน่ๆ"ก็ได้" ลุงสัปเหร่อบอกด้วยน้ำเสียงเห็นใจ "แต่ต้องมัดตราสังค์ก่อนนะ เพราะถ้าแม่เอ็งตายจริงๆ เดี๋ยวมือมันจะแข็ง แล้วจะมัดสายสินธ์ไม่ได้"๗.ปาฏิหารย์ไม่มีจริง...ใกล้รุ่งสาง..เข็มฉีดยาอันใหญ่ถูกแทงลงไปที่กลางท้องข้างๆสะดือของแม่..เข็มที่ลุงคนนั้นต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการกดน้ำยาลงไปในตัวของแม่ เพราะเนื้อที่ปราศจากชีวิตปราศจกจิตวิญญาณมาหลายชั่วโมง เกือบครึ่งคืนนั้นเริ่มแข็งและดื้อฝีเข็ม ไม่จริง..ฉันไม่เชื่อ แม่ไม่มีวันตาย มันเป็นแค่ฝันไป..ฉันพยายามคิดอย่างนั้น แต่สิ่งที่อยุ่ตรงหน้าคือความจริงญาติๆต่างวุ่นวาย เสียงสั่งว่าใครต้องทำอะไรบ้าง ใครต้องเป็นคนไปเอาโลงมาใส่ศพ ใครต้องเป็นคนไปตลาดเพื่อซื้อของมาทำกับข้าวที่วัดสำหรับงานศพ ใครต้องไปบอกข่าวกับญาติคนอื่นๆ ที่ยังไม่รู้ข่าว ใครต้องทำอะไร...ฉันไม่รู้รู้แต่ว่า..หูอื้อตาลายไปหมดขอนั่งพักซักครู่เถอะ..ใจจะขาดแล้ว"นังทิมมันป่วยหนักจะตายอยู่แล้ว ลุกเดินขี้เยี่ยวเองยังยาก" เสียงป้าข้างบ้านพูดขึ้น "แต่มันไม่ยอมตาย มันคงรอพวกเอ็งกลับมาดูใจนั่นแหล่ะ" พร้อมสรุปให้เสร็จสรรพถ้าเรามาเร็วกว่านี้ก็ดีสิ..แม่จะได้มีเวลาดูใจนานๆ..ฉันคิดอ้อ..ไม่สิ..ฉันจะไม่กลับมาเลย แม่จะได้รอดูใจไปตลอดชีวิต แม่จะได้ไม่ตาย..ถ้าเราไม่มา แม่ก็คงไม่ตายใชไหม?๘.คำถามที่ได้ยินทุกชั่วโมง นาที วินาที ก็คือ..แม่ของฉันเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา..ถึงขนาดต้องทานยาเพื่อปลิดชีวิตตัวเอง..คำถามนี้มีมาตั้งแต่หลังจากที่แม่นอนอยู่โรงพยาบาลจนถึงวันนี้..วันที่แม่นอนอยู่ในวัดไม่มีคำตอบในคำถามนั้น..แม้ในความเป็นจริงของโลกใบนี้..ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น..ย่อมมีเหตุและมีผลของมันเสมอแต่ใช่ว่า..เราจะต้องปล่าวประกาศให้คนทั้งโลกได้ล่วงรู้ปล่อยให้สิ่งนั้น..ตายไปพร้อมกับวิญญาณอันแหลกสลายของแม่เถิด๙.อากาศร้อนอบอ้าว..เมื่อฉันก้าวขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายบุษ..พี่สาวของฉัน ออกจากลานวัดเพื่อกลับบ้าน โดยมีรูปขนาดใหญ่ของแม่อยู่ในอ้อมกอด เสียงสั่งของป้าข้างบ้านดังแว่วตามมา"เวลาเอารูปแม่ไปไว้ที่บ้าน ตลอดทางจากวัดจนถึงบ้าน อย่าหันกลับมามองข้างหลังนะลูกนะ เดี๋ยวแม่เขาจะอาลัยอาวรณ์ ไม่ยอมจากไป"แม้ไม่ได้หันกลับไปดู ฉันก็รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเบื้องหลัง..แสงไฟที่ลุกโชติช่วงบนเตาเผาของวัดเล็กๆบ้านนอก ณ ลานกว้างขวางหลังวัด สถานที่ที่ไม่สามารถเรียกว่าเมรุได้เต็มปากด้วยซ้ำ มันเป็นแท่นปูนสี่เหลี่ยมที่ถูกทำขึ้นเพื่อวางโลงศพเท่านั้น ข้างๆโลงเป็นลังเล็กๆสองลัง ที่ฉันและพี่สาวเก็บเสื้อผ้าชุดเก่งของแม่ใส่ลงไป พร้อมด้วยจานชามพลาสติก ช้อน ส้อม น้ำปลา ฯลฯ คนเก่าคนแก่มีความเชื่อว่า..เมื่อเผามันไปพร้อมกับศพคนตาย คนที่จากไปจะได้มีทุนรอนเพื่อไปสู่ชาติภพหน้า..ไฟที่ลุกไหม้ไปตามโลงไม้ เปลวที่แดงแกมส้มลุกลามกัดกินไปตามร่างกายที่มีเลือดเนื้อ หากแต่ปราศจากวิญญาณที่จะรับรู้..แม่จะร้อนไหมนะ..แม่จะเจ็บไหมนะท่ามกลางอากาศที่ร้อนจับใจ..ฉันหนาวไปถึงกระดูก ต่อไปนี้ไม่มีแม่บนโลกใบนี้อีกแล้วข้อความนี้ตัดมาจากตรงนี้ค่ะ..คลิกเลยถ้าอยากรู้ฤดูนั้นที่ฉันรัก :: ฝนร้อนหรือฝนหนาว๑๐.นานแล้ว..ที่เราสามคนไม่เคยได้นอนด้วยกัน..เราสามคนพี่น้อง ในคืนแห่งวันสุดท้ายที่ปลดปล่อยร่างของแม่ให้เป็นอิสระ ร่างถูกเผากลายเป็นฝุ่นธุลีล่องลอยกลับคืนสู่อากาศที่เราใช้หายใจต่อชีวิตแม้ร้อนอบอ้าว..และเราสามคนก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆอีกแล้ว แต่เราก็พร้อมใจกันที่จะนอนในที่นอนอันเดียวกัน ภายใต้ผ้านวมผืนใหญ่ที่คลุมโปง ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทั้งสามคน..ขณะที่พ่อยังคงนั่งดื่มเบียร์และร้องไห้เงียบๆกับทุกสิ่งสุกอย่างที่เกิดขึ้น..คู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านทั้งสุข ทุกข์ หัวเราะ ร้องไห้มาด้วยกัน..ที่นอกชานบ้าน"กลัวผีแม่ไหม"น้องชายถาม ฉันรู้สึกว่าขนตัวเองลุกชัน ทั้งๆที่ไม่ควรกลัว แต่ฉันก็หลอกตัวเองไม่ได้ กลัวจับใจเลยทีเดียว"มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง" น้องชายฉันพูดต่อ ..แล้วเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงที่แม่ฉันต้องนอนป่วยอยู่ก็พร่างพรูออกมามากมาย..ว่าแม่ต้องทรมานขนาดไหน.."ทำไมแม่ถึงกินยาฆ่าตัวตาย ฮึ้.." บุษ พี่สาวฉันถาม..แล้วน้องชายก็เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ขึ้น..แม่เขาเคยขู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่โกรธหรือน้อยใจ ว่าจะฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่เคยทำจริงเสียที ..๑๑."เชื่อกันไหม..ว่าจะมีคนมารับคนก่อนตายจริงๆ ..."นี่คือคำถามเด็ดที่ฉันต้องขนลุกซู่อีกครั้ง และหนาวไปหมดทั้งตัวแม้จะอยู่ใต้ผ้าห่มที่หนักและหนาขนาดนั้น..แม้แต่ในขณะที่กำลังพิมพ์เพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็เช่นกัน"วันนั้น..ก่อนที่แม่จะกินยาอ่ะ..ป้าข้างบ้านเขาบอกว่าเขาได้ยินเสียงตะโกนของแม่มาตลอดทางเลย..""ตะโกนว่าอะไรเหรอ" บุษถาม"ตะโกนบอกว่า..มึงอย่าตามกูมานะ มึงอย่าตามกูมานะ..ตอนแรกเค้าคิดว่าแม่เมา เพราะตะโกนเสียงดังลั่น มือแกก็ถือมีดมาด้วยเล่มนึง แล้วก็กวัดแกว่ง ฟันหน้าฟันหลังมาตลอดทาง" น้องชายของฉันบอก แล้วเล่าต่อไปว่าเมื่อแม่เดินมาจนถึงบ้าน..น้องชายของฉันจึงเห็นว่า แม่นั้นไม่ได้เมาแม้แต่นิดเดียว..แต่ก็ยังตะโกนด่าใครบางคนอยู่ดี แล้วหันมาถามน้องชายของฉันว่าเห็นใครไหม เมื่อธีบอกว่าไม่เห็น แม่จึงชี้ไปที่กอกล้วยที่ปลูกอยู่ที่ข้างบ้านเราแล้วบอกว่า"ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันอยู่ตรงนั้น..มันจะมารับแม่ไปอยู่ด้วย"น้องชายของฉันมองไปเห็นแต่ความว่างเปล่า ได้แต่ส่ายหน้า แล้วคิดว่า..วันนี้ไม่เมาแต่สงสัยเพ้อเจ้อเสียมากกว่า จึงไม่ได้สนใจ...ขึ้นบ้านไปด้วยความเบื่อหน่าย เสียงทะเลาะเบาะแว้งของพ่อกับแม่ดังขึ้นอีกแล้ว..เป็นประจำอย่างนี้เรื่อยมาทั้งในช่วงก่อนหน้านี้..และดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด๑๒.ยามดึกราวเที่ยงคืนกว่าๆ..ธีรู้สึกตัวขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงแม่ลุกขึ้นและลงบันไดไป แต่เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย เพราะบ่อยครั้งที่เมื่อแม่ทะเลาะกับพ่อ แม่ก็จะหนีไปนอนบ้านของพี่ชายแม่ ซึ่งเป็นลุงของเรา..บ้านที่อยู่ถัดไปจากเพื่อนเราแค่ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรเช้ามืด..เมื่อตื่นขึ้นมา เขาเห็นแม่เดินออกมาจากทางท้ายไร่พร้อมมีดในมือ จึงตะโกนถามว่า "แม่ไปไหนมาทั้งคืน"คำตอบที่ได้รับคือ.."มันจะมารับแม่ไป แต่แม่ไม่ไป..แม่ไปนอนที่โคนต้นลำไยที่ท้ายไร่มา.."บ้ารึเปล่า..เขาคิด สวนลำไยท้ายไร่ที่รกร้าง..เปลี่ยว ยามดึก ..ใครนอนได้ก็บ้าแล้ว..น้องชายฉันไม่ทันคิดอะไรมากมาย..นึกว่าแม่พูดประชดไปอย่างนั้นเอง..สงสัยไปนอนบ้านลุงนั่นแหล่ะ..จวบจนเกิดเรื่องขึ้น...ป้าสะใภ้มาดูแลในช่วงที่แม่ฉันป่วย จึงได้พูดคุยกัน น้องชายของฉันจึงรู้ว่า..คืนนั้นแม่ไม่ได้ไปนอนที่บ้านลุง แสดงว่าแม่ไปนอนที่โคนลำใยจริงๆ แล้วสายของวันนั้น แม่ก็ทานยาเพื่อปลิดชีพตัวเองทำไม..ทำไม๑๓.เรื่องลี้ลับมีจริงไหม มีชายคนหนึ่งมารอรับแม่ของฉันไป..ก่อนวันนั้น..จริงไหม..นั่นเป็นเรื่องที่หลายคนสงสัย..และพูดกันไปต่างๆ นานาฉันไม่รู้..ฉันไม่กล้าคิดฉันกลัวเกินกว่าจะวิเคราะห์หาคำตอบ..๑๔.แม่จากไปนานหลายปีแล้ว..กับความสงสัยที่มืดดำแต่ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงเรื่องเล่าของน้องชายเรื่องนั้น..ฉันก็ยังรู้สึกขนลุกอยู่เสมอ๑๕.ไม่มีใครรู้ว่า..วันพรุ่งนี้หรือวันหน้าวันไหนใครบางคนจะโผล่มารอรับคุณอยู่..ตรงหน้า..ตรงนั้นเมื่อวานนี้คอมพ์เครื่องที่มีข้อมูลเรื่องที่แต่งไว้ รูปภาพและอื่นๆ ถูกส่งเข้าศูนย์ซ่อมอีกครั้ง เลยไปยืมคอมพ์พี่สาวคนที่บ้านมาใช้เพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะหลอน..เรื่องนี้จึงถูกเขียนขึ้นสดๆร้อนๆ เมื่อกี้นี้เอง เรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกอย่างเป็นเรื่องจริงล้วนๆ เพียงแต่สรรพนาม และลำดับเหตการณ์ อาจจะไม่ถูกต้องตรงเป๊ะๆ แต่อารมณ์ความรู้สึกเป็นแบบนั้นจริงๆบอกตามตรง..ว่าอยากหาภาพหลอนๆมาประกอบรีวิวบล็อก แต่แค่เขียนเรื่องนี้กว่าจะจบ มือก็สั่นๆ ตัวร้อนๆชอบกล ตั้งใจท่องเวปหาภาพหลอนๆมาประกอบ เมื่อเจอแล้วแต่ใจไม่แข็งพอ ไม่กล้าคลิ๊กเข้าไปดู จึงมีแต่ตัวหนังสือล้วนๆ ไม่ว่ากันนะคะ เห็นใจคนกลัวผีขึ้นสมองเถอะค่ะ..ได้โปรด.. เพิ่มเติมรายละเลียด..ส่วนบล็อกต่อไปในวันจันทร์ที่ 20 กรกฏาคม หัวข้อดังต่อไปนี้ค่ะ"ดึกแล้ว..." ใครสนใจเข้าร่วมโครงการสามารถเข้าร่วมได้เลยกฏกติกามารยาทดังนี้ค่ะ-ลงชื่อบอกกล่าวกันไว้-เขียนเรื่องอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ และอัพบลอคในหมวดงานเขียน/บทประพันธ์-อัพบลอคในวันจันทร์ที่ 20 กรกฏาคมนี้ เวลาใดก็ได้ -เมื่ออัพบลอคแล้ว กรุณามาแจ้งอีกครั้งในบลอคของคนใดคนหนึ่ง และเราจะทำการรวบรวมลิงค์อีกทีค่ะรายชื่อผู้ร่วมโครงการBeCoffeeนางสาวดุ่บดั่บแพนด้ามหาภัยกะว่าก๋าภาวันต์Unravelnikandapauloinmemoirปีศาจความฝันส้มแช่อิ่มกองฟอน
รายชื่อผู้ร่วมโครงการBeCoffeeนางสาวดุ่บดั่บแพนด้ามหาภัยกะว่าก๋าภาวันต์Unravelnikandapauloinmemoirปีศาจความฝันส้มแช่อิ่มกองฟอน