|
เปิดกรุดอกไม้ ตอน นาร์ซิสซัส นาร์ซิสซัส
เปิดกรุดอกไม้ครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีตำนานเกี่ยวข้องกับหนุ่มรูปงามผู้หลงเงาของตนเองนั่นคือ นาร์ซิสซัส ค่ะ
นาร์ซิสซัส (Narcissus) หรือ แดฟโฟดิล (Daffodil) เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ส่วนมากจะออกดอกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็มีบางชนิดที่ออกดอกในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเหมือนกันนอกจากนี้นาร์ซิสซัสยังเป็นดอกประจำชาติของเวลส์ และเป็นดอกไม้ประจำตัวของผู้ที่เกิดระหว่างวันที่๑๕ ๒๑ กุมภาพันธ์
ดอกไม้ชนิดนี้มีสรรพคุณทางยาด้วยค่ะคือ ใช้เป็นยาระบาย ทำให้อาเจียน และยังทำให้ง่วงนอนได้แต่ถ้ารับประทานหัวของดอกไม้ชนิดนี้เข้าไปจะมีอันตรายถึงตายได้เชียวค่ะ
ก่อนที่เราจะเล่าถึงตำนานของดอกไม้ชนิดนี้เราต้องมาทำความรู้จักกับเอคโค่ (Echo) กันก่อนค่ะ Echo and Narsissus
เอคโคแต่เดิมแล้วเธอเป็นนางไม้คนโปรดของเทวีอาร์ทิมิส (เทวีแห่งดวงจันฝาแฝดของอพอลโล)ค่ะ อยู่มาวันหนึ่งซุส (เจ้าชู้เป็นที่สุด)ไปทำอีท่าไหนไม่รู้ให้เฮร่า(ขี้หึงเป็นที่สุดของที่สุด)ระแวง นางจึงพยายามจับผิดสามีค่ะแต่ขณะนั้นเอคโคดันชวนคุยโน่นนี่จนนางไม่สามารถจับผิดซุสได้ว่าไปแอบกุ๊กกิ๊กกับนางไม้ตนไหนเฮร่าเลยพาลมาลงกับเอคโคโดยสาปให้นางพูดได้เพียงแค่การย้ำคำของคนอื่นเท่านั้น
ทีนี้กลับมาถึงตัวเอกของเราบ้างค่ะนาร์ซิสซัส นั้นได้ชื่อว่าเป็นชายหนุ่มที่รูปงามที่สุดไม่ว่าใครที่ได้เห็นต้องตกหลุมรัก แต่นาร์ซิสซัสเขาหล่อเลือกได้ค่ะทั้งยังมีนิสัยทะนงตัวอยู่แล้ว เขาเลยไม่สนใจใครเลยสักคน
เอคโคของเราก็ตกหลุมรักนาร์ซิสซัสด้วยเหมือนกันค่ะแต่นางอาภัพตรงที่ไม่สามารถเอ่ยปากฝากรักได้เพราะโดนสาป แต่วันหนึ่งฟ้าก็มีตา เอ๊ยฟ้าเป็นใจให้เอคโคได้มีโอกาสอยู่กับนาร์ซิสซัสสองต่อสองเสียทีแต่อย่างว่าค่ะนางโดนสาปให้พูดตามคนอื่นได้อย่างเดียวพอชายหนุ่มพูดอะไรนางก็ได้แต่พูดตาม นาร์ซิสซัสจึงปฏิเสธอย่างโหดร้าย เอคโคเลยหนีไปเก็บตัวอยู่ในถ้ำใต้หุบเขาและไม่ออกมาอีกเลยจนตัวของนางค่อยๆจางหายไปเหลือเพียงเสียงที่ยังคงสะท้อนท้องอยู่ที่หุบเขาเท่านั้น
ทางนาร์ซิสซัสก็ยังคงปฏิเสธความรักอยู่เนืองๆจนอโฟไดท์(เทวีแห่งความรักและความงาม)กริ้ว นางจึงสาปให้เด็กหนุ่มตกหลุมรักรูปโฉมของตนเอง
Narsissus By Caravaggio
วันหนึ่งนาร์ซิสซัสไปเดิมเล่นริมน้ำเขาเหลือบไปเห็นเงาของตนที่ทอดอยู่ในผืนน้ำจึงตกหลุมรักทันที คราวนี้เด็กหนุ่มไม่เป็นอันกินอันนอนเลยค่ะเขาได้แต่นั่งตรอมใจอยู่ที่ริมน้ำเพราะไม่สามารถเอาเงาของตนเองมาครอบครองได้จนสุดท้ายเขาก็ตรอมใจตายไปในที่สุดณ จุดที่เขาสิ้นชีวิตนั้นกลับมีดอกไม้สีเหลืองดอกน้อยขึ้นมาแทนที่ร่างของเขาดอกไม้จึงได้ชื่อตามชายหนุ่มว่า นาร์ซิสซัส
มีตำนานอีกสำนวนหนึ่งค่ะเรื่องราวเหมือนกับเรื่องของเอคโคเลยค่ะแต่เปลี่ยนคนตกหลุมรักนาร์ซิสซัสจากเอคโคเป็นชายหนุ่มชื่ออไมเนียส (Ameinias) เมื่อเขาหลงรักนาร์ซิสซัส แต่โดนปฏิเสธรักแถมนาร์ซิสซัสยังยื่นดาบไปให้อีก ก่อนที่อไมเนียสจะฆ่าตัวตายได้เอ่ยอ้อนวอนเหล่าเทพเจ้าว่าห้นาร์ซิสซัสได้รู้จักความเจ็บปวดจากความรักบ้างแล้วเรื่องก็จบด้วยความตายของชายหนุ่มเหมือนเรื่องของนาร์ซิสซัสกับเอคโค
สำนวนที่สามนี่เล่าว่านาร์ซิสซัส มีน้องสาวฝาแฝดเขารักน้องสาวของเขามากพอน้องสาวตายไปก็เพ้อเห็นเขาตัวเองในน้ำเป็นเงาของน้องสาวแล้วฆ่าตัวตายอยู่ที่ริมน้ำนั่นเอง
ตำนานนาร์ซิสซัสฉบับสุดท้ายที่ฉีกออกไปจากเนื้อเรื่องเศร้าๆทั้ง๓ สำนวนที่เล่ามาเลยค่ะ เรื่องมันมีอยู่ว่า... ฮาเดสลักพาตัวเพอร์เซโฟนีByNicolò dell'Abate ซุสได้เนรมิตดอกนาร์ซิสซัสขึ้นมาเพื่อช่วยฮาเดสที่ตกหลุมรักเทวีเพอร์เซโฟนีอยู่ ขณะที่เทวีเพอร์เซโฟนีกำลังเก็บดอกไม้ได้เหลือบไปเห็นดอกไม้ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน (ก็คือนาร์ซิสซัสนี่เองค่ะ) ทั้งๆที่บริวารคนอื่นๆของนางไม่ได้มีใครเห็นดอกไม้ชนิดนี้เลยนางจึงเดินออกไปหวังจะเก็บดอกไม้ดอกงาม แต่ทันทีนางอยู่เพียงลำพังฮาเดสก็ออกมาลักพาตัวนางไปครองรักที่ยมโลกทันที
ภาษาคอกไม้ของนาร์ซิสซัสหรือแดฟโฟดิลนี้ก็มีหลากหลายความหมายค่ะในสมัยวิคตอเรียนการส่งตอกไม้ชนิดนี้ให้กันจะหมายถึงอยากจะสานต่อความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นในเชิงชู้สาวแต่ในปัจจุบัน เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพค่ะ บ้างก็บอกว่าหมายถึง การไม่ต้องการสิ่งใดๆตอบแทนนอกจากนี้ยังหมายถึง ความกล้าหาญ ความหวัง หรือเป็น ดอกไม้ของอัศวินดังนั้นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง จึงให้ดอกนาร์ซิสซัสกับผู้ที่บริจาคเงินช่วยเหลือ องค์กรที่ใช้แดฟโฟดิลมาเป็นสัญลักษณ์ ดอกนาร์ซิสซัสยังมีความหมายเกี่ยวเนื่องกับความตายและการเกิดใหม่ด้วยค่ะเพราะมีที่มาจากตำนานสำนวนสุดท้ายนี่เองค่ะ ในพิธีศพของชาวอียิปต์จะนำดอกนาร์ซิสซัสไปวางที่ริมฝีปากดวงตา และจมูกของฟาโรห์ก่อนที่จะนำไปทำมัมมี่ส่วนในศาสนาคริสต์ดอกไม้ชนิดนี้ก็เป็นสัญลักษณ์แสดงการตายและฟื้นคืนของพระเยซูด้วยค่ะ
|
night song
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] |