บทกลอนนี้ เป็นบทกลอนที่ คุณลุง เป็นคนแต่งให้คุณตาในวันฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2550 จำได้ว่าคุณลุงนำกระดาษแผ่นหนึงมาให้ แล้วก็บอกว่าให้หลานเป็นคนอ่าน ครั้งแรก หยิบมาดู ก็ตอบรับไปว่า "ได้คะ" คิดๆ ว่าเคยอ่านพวกบทความมาบ้าง คงไม่ยากมาก แต่พอได้อ่าน ไม่กี่ประโยค น้ำตาก็ไหลออกมา แล้วก็เดินไปบอกแม่ว่า มันเศร้าจัง พอแม่เห็นกระดาษแผ่นนั้น ก็ยิ่งเศร้ากันไปใหญ่ ก็เลยขอถ่ายสำเนากลอนบทนี้เก็บไว้ คุณตา (ปกติแถวบ้านจะเรียกตาว่า "พ่อเฒ่า" )ตอนอายุ 86 ปี ด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งก่อนเสียก็รู้ก่อนแค่ 6 เดือน แต่สภาพจิตใจท่านดีมากๆ ให้กำลังใจลูกๆ ตลอด แล้วตอนท่านเสียก็ไปอย่างสงบโดยไม่มีอาการทุกทรมานให้เห็นเลย แม่จะเป็นคนดูแลท่านจนกระทั่งวันสุดท้าย ได้ไปร่วมงานที่ ตจว . (ตรัง) ได้เห็นประเพณีเกี่ยวกับงานศพ ที่ต่างกับ กรุงเทพฯ มากๆ ก็เลยอยากเขียนเป็นเรื่องเล่าไว้ใน Blog เพื่อเป็นการบอกเล่า ประเพณีดีๆ ที่ลูกหลานได้จัดให้ คุณตาเป็นครั้งสุดท้าย ......อยากเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่เสร็จงานใหม่ๆ แต่ไม่มีเวลาเลย เพิ่งจะมีเวลาก็ 2-3 วันนี้แหละ เรื่องอาจจะยาวนิดหนึง เพราะพยายามเก็บรายละเอียด ให้ได้มากที่สุด เพราะอย่างน้อย งานพวกนี้ไม่นานลูกหลาน ก็ต้องทำให้คนในครอบครัวของเรา ... ถึงแม้มันจะยุ่งยากเต็มที แต่ก็เป็นสิ่งที่คนข้างหลังควรจะทำให้เป็นที่สุด ---------------------------------------------------------------- ที่บ้านจะไม่นิยมนำศพไปไว้ที่วัด โดยจะตั้งศพสวดอธิธรรมในบ้านของผู้ตายเอง ที่สำคัญ จะไม่มีการปิดประตูบ้าน (ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด) พวกญาติ หลานๆ ก็จะนั่งคุยกันบ้าง หรือหากิจกรรมทำ กันจนเช้า หรือไม่ก็พลัดกันไปนอน เพราะประตูบ้านปิดไม่ได้ เคยคิดเล่น ๆ ว่า ตจว. แบบนี้ เงียบมากๆ กลัวโจร - วิวัฒนาการของ โลงศพ ก็เปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนจะมีแต่โลงร้อน ก็คือ ฉีดฟอมาลีน สภาพศพ ก็จะดูไม่ดีมากนัก แม่บอกว่า โลงที่ใช้เป็น โลงติดแอร์ ก็คือ ฐานจะเป็นเครื่องทำความเย็น (เหมือนตู้เย็น ) มีปลั๊กเสียบด้วย ไปเช่ามาจาก เทศบาล ราคา ประมาณ 5000 บาท (อิฉันก็เดินสุ่มส่าม สะดุดปลั๊กไฟหลุดหลายที กลัวตาจะลุกขึ้นมาด่ามาก ๆ -*-)สภาพศพ ตอนเปิดดู ดูเหมือนคนนอนหลับเลย (ปกติคนอื่นไม่กล้าดู แต่กะญาติๆ ไม่กลัว ดูได้ )- อีกอย่างที่สำคัญ ปกติ บ้านเป็นตึกแถวธรรมดา ไม่มีที่มากมาย ก็เลยถามแม่ว่า ทำไมไม่ตั้งโลงตามแนวบ้าน แม่บอกว่า ไม่ได้ โลงจะต้องตั้งให้หันมาทางด้านหน้าบ้าน คือเห็นชื่อผู้ตาย จากด้านนอก ( ไม่รู้ว่าทำไม พอดีลืมที่แม่บอกไปแล้ว )งานศพของคน ตจว. เป็นการรวมญาติกันทีเดียว บางคนแม่บอกว่า ไม่เคยเจอกันเลย ได้ยินเฉพาะชื่อ ว่าเป็นญาติกัน คนเยอะยิ่งกว่างานแต่งงานหรืองานไหน เลยก็ว่าได้ ไหว้กันมือเป็นระวิง ปล. หน้าแม่ดูเศร้ามากๆๆ ( แม่ดูแลตา มา 30 ปีพอดี เด็ก พอเริ่มจำความได้ ก็เห็นตาอยู่บ้านนี้แล้ว )ของใช้ที่ต้องเตรียมก็เยอะมาก ๆ มีของชำร่วย ที่ไว้แจกในงาน มีหมากพลู มีของถวายสังฆทาน ฯลฯจำได้ว่าตอนไปไหว้ศพคุณตาครั้งแรก จะมีชุดข้าว น้ำ ที่นำไปไหว้ครั้งแรก แต่ ไม่ยักจะมีการเปลี่ยน แต่จะเห็นอีกชุดหนึ่ง ที่เป็นใหม่ ไม่รู้เหมือนกันว่า ข้าวถ้วยแรก ทำไมถึงไม่เปลี่ยน ช่วง 3 วันแรก หลังจากพระฉันท์เพล ก็มีการถวายสังทาน วุ่นวายพอสมควร ปัญหาคือ ละแวกบ้านมี 3 วัด ซึ่งแต่ละวัดจะมี พระอยู่จำวัด อยู่ที่ละ 3-4 รูป เวลา นินมต์ ก็ต้องไปตะเวน รับ วัดนี้ 1 อีกวัด 2 แล้วแต่ละวัด ไม่ค่อยใกล้กันสะด้วย โดยทางเจ้าภาพ ต้องเป็นคนขับรถ รับ - ส่ง หลังๆ ต้องนิมนต์แบบ ล๊อคคิวกันเลย -*-ส่วนอาหารก็จะมีการจัดไว้เป็นชุด ของพระแต่ละรูป ( หลังเหลือจากพระ ก็เอามากินต่อ เค้าบอกว่าจะได้บุญ (เค้า... ไม่รู้ว่าใครเหมือนกัน))ต้องเตรียมหมากพลู ไว้ 15 คำ หรือ 9 คำ หว่าจำไมได้ แต่ไม่รู้ว่าเตรียมไว้ทำไม ลักษณะของงาน ตจว. งานศพจะมีการเลี้ยงคนที่มางานกันแบบเต็มที ยิ่งกว่างานมงคลเสียอีก แม่บอกว่า ไม่ว่าแขกจะมาช่วงเวลาไหน จะต้องได้กินข้าว เวลาเลี้ยงข้าว คือตั้งแต่ หลังพระฉันท์เพล จนกระทั่ง เช้าเลย ฉะนั้นต้องจ้างแม่ครั่วไว้ตลอด 7 วันที่มีงาน กับข้าว เช้า เที่ยง เย็น ก็จะเป็นคนละเมนูกันหมด ลูกๆ หลาน ก็มีหน้าทีเป็นลูกมือบ้าง ช่วยๆ กัน ค่ากับข้าวต่อวัน เป็นหลักหมื่นทีเดียว งานศพ จะเลี้ยงตั้งแต่สวดวันแรก เมนูก็หลากหลาย จนกระทั่งก่อนวัน ฌาปนกิจ จะเรียกว่า "วันเข้างาน" คือจะมีการเลี้ยงกันแบบยิ่งใหญ่เลย น้องๆ โต๊ะจีนเลย ช่วงกลางคืน หลังจากฟังพระสวด ก็จะมีการกรวดน้ำ ก็จะมีแขกมานั่งฟังพระสวดหน้าบ้านกันทุกคืน ส่วนใหญ่งานศพแถวๆ บ้านเขาก็จะมากันทุกวันหลังจากกินข้าวเสร็จ ก็จะมีการเลี้ยง " น้ำชา " ก็คือชาจีนใส่กา + ถั่วคั่ว เป็นอาหารยอดนิยมในงานศพมากๆ บางทีก็มีกาแฟ เสริฟตบท้าย เพราะจะมีการนั่งเป็นกลุ่มๆ คุยกันเรื่อยๆเปื่อย เจ้าภาพจะเลี้ยงอย่างดี เพราะว่า จะได้นั่งเป็นเพื่อนกัน ในงานศพด้วย เพราะว่าเจ้าภาพก็ไม่สามารถปิดบ้านได้ ก็ต้องเปิดประตูเฝ้ากัน สิ่งที่ได้เห็นในงานศพที่ ตจว. คือ ชาวบ้าน ญาติ ไม่คนรู้จักจะมาช่วยกัน ตั้งแต่เช้า ยันเลิกเลย แม่บอกว่า เวลามีงานคนอื่น เราก็ไปแบบนี้ ดูได้ว่างานบ้านไหนคนมาช่วยเยอะ ก็บ่งบอกว่า เป็นคนอย่างงัย แต่ถ้างานใครไม่มีคนช่วยหรือคนมางานน้อย ก็คงพอรู้ว่าเป็นอย่างไรกับข้าวก็โดยทั่วไป มีของคาว ของหวาน ก็พวก แดงผัดต่างๆ แล้วก็ขนม น้ำอัดลม แต่มีเมนูหนึงแปลกดี มีชื่อเรียกว่า "เกายุก" ไม่รู้เหมือนกันว่าแปลว่าอะไร แต่เป็น หมู เอามาผัดกับเต้าหู้ยี้ ใส่เผือกหรือเต้าหู้ น้องชายบอกว่ามันเป็น วัฒนธรรม ของคน จังหวัด ตรัง ไม่ว่าจะเป็นงานมงคล หรืองานศพ มันจะมีเมนู คู่งานเสมอ แต่ เมนูนี้ เห็นหลายงานแล้ว แต่รสชาติ ก็อร่อยโคดๆๆๆๆๆเชื่อไม๊ว่า สองกระทะ ที่เห็น คืนเดียวนะคร้าบ พี่น้อง คนเยอะมากๆๆๆๆๆๆบรรยากาศของคนที่มาในงานก็จะนั่งโต๊ะเหมือนกินโต๊ะจีนเลย บรรยากาศต่างกับใน กรุงเทพมากๆ พอดีหลาน เอาเจ้าตัวนี้มาให้เล่น เลยถ่ายไว้ สวยเชียว ไม่เห็นหลายปีมากๆ ตอนเด้ก ๆ เรียกตัวนี้ "แมงจู้จี้ " ฮาดี กิจกรรมหลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ถ้าไม่ให้หลับ ก็ต้องหาไรเล่น ดูจากรูกันเองนะคะว่าเล่นไร ....แต่งานศพ กะของพวกนี้คู่กัน เคยได้ยินว่า เขาจะเล่นกันในงาน เพราะว่าจะได้อยู่เป็นเพื่อนศพ ( ไม่แน่ใจว่าตำรวจจับป่าว ) แต่เห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วว่า เวลามีงานศพ ก็จะมีวงกิจกรรมพวกนี้ คู่กัน บางโต๊ะ โอ้ว......... ปล. คุณตำรวจอย่างเพิ่งจับน้า เพราะเขาเล่นกันตาละบาทเอง หนุก ๆ แก้ง่วงงานนี้น้องชายบวชหน้าไฟให้คุณตา ด้วย บวช 7 วัน ใหน บวชแล้วก็บวชให้แม่กะเตี่ยไปเลยทีเดียว มีเรื่องเล่า ขำๆ นิดหน่อย หลังจากเป็นนาคแล้ว ต้องไปทำพิธีที่วัดที่มีโบสถ์พอดีวัดที่ไปบวชไม่มีก็เลยไปยืมสถานทีอีกวัด พระท่านก็บอกว่าพรุ่งนี้ให้เตรียม ข้าวตอก ไรสักอย่างมาทำพิธี บังเอิญไปเจอ อีกครอบครัวกำลังบวชลูกชายพอดีแล้วเขาก็เตรียมของไว้แล้ว แม่ก็เลยขอพ่วงเขาไปเลย สรุปว่า เครื่องที่พิธีชุดเดียว บวช 3 รูปเลย ประหยัดทั้งเวลา ทั้งข้าวของก็ไม่ต้องเตรียม เคยถามแม่ว่า บวชน่าไฟกะบวชพระธรรมดาเหมือนกันไม๊ แม่บอกว่า เหมือนกันแหละ พ่อแม่ ได้บุญเหมือนกัน แต่ถ้าบวชเณรแม่จะได้รับบุญคนเดียว แต่ถ้าบวชพระ บุพการีได้ทั้งคู่ ......พอถึงวันฌาปนกิจ จะต้องเคลื่อนย้ายศพไปตอน 11 โมง เพราะว่าประชุมเพลิงตอน บ่าย 3 โมง แม่ก็จะจุดธูปบอกตา จำได้ว่า จุดเสร็จ แม่ร้องให้ใหญ่เลย ปกติไม่เคยเห็นแม่ร้องให้เลย เพิ่งครั้งแรก ธูปกับเทียนที่อยู่หน้าโลงศพจะต้องเอาไปวัดด้วย แล้วที่สำคัญต้องไม่ดับ ก็หวั่นใจอยู่ว่า อยู่ในรถจะดับไม๊เนี้ย เพื่อนบ้านมาช่วยเยอะมากๆ ตอนยกโลงไปยังรถรับศพ น่ากลัวมากๆ เลย กลัวจะล่วงลงมา -*-ก่อนจะยกโลงศพขึ้นบนรถเคลื่นนย้าย พระท่านจะทำพิธีอะไรก็ไม่รู้ น้องชายบอกว่า เป็นการฝาก พระแม่ธรณี แล้วนำน้ำมนต์บางส่วนไปพรมในบ้าน และ บริเวณจุดตั้งศพ หลังจากนั้นต้องมีการสวดบ้านอีก 3 วัน เสร็จแล้วยกโลงศพขึ้นบนรถเคลื่อนย้าย จำได้ แม่ กะพวกลุงๆ น้าๆๆ ก็ขึ้นไปอยู่บนรถ พร้อมกับโลงศพด้วย สังเกตว่า คนที่มาช่วยในงานวันสุดท้ายจะมีผ้าขาวม้ากันทุกคน คาดเอว แล้วก็ จะต้องเอาไปไว้ด้านหน้ารถ ตรง ที่ปัดน้ำฝนด้วย ทุกคนเลยที่มาในงาน ตอนแรกก็สงสัยว่า ต้องมีผ้าขาวม้าทำไมแก้เคล็ดไรหรือเปล่า แต่เตี่ยบอกว่า เขาให้เป็นสินน้ำใจ คือ สมัยก่อนไม่รู้จะให้อะไรตอบแทนคนที่มาช่วยงานก็เลยให้เป็นผ้าขาวม้าจะได้ใช้กันด้วย ( เพิ่งรู้นะเนี้ย )หลังจากนั้นก็ไปวัดกัน รถขบวนยาวมากๆๆขอบคุณคุณจราจร ขอบคุณเพื่อนบ้านทุกคน ๆ ที่มาช่วยงาน ทุกวัน ไปถึงก็ยังมีพิธีอะไรอีกมากมาย ไม่ได้เก็บภาพ เพราะจำได้ว่า บรรยากาศไม่น่าถ่ายรูปเลย เศร้ามากๆๆ มีช่วงหนึงขนลุกสุด ตอนที่ต้องยกโลงขึ้นเมน พวกลุง แม่ น้า ยาย ก็มานั่งล้อมแล้วก็กรวดน้ำ ท่องบทสวด ขณะยกโลง พวกหลาน ญาติทั้งหมด ตอนนี้แหละ เสียงร้องให้ เศร้าสุดๆ ลุงที่ว่าเข้มแข็ง ยังร้องให้โฮออกมาเลย ช่วงที่เพลิงกำลังลุก ลุงก็บอกให้พวกเรา ท่องบทสวดบุชาไฟอีกรอบ ก็ไม่รู้หรอกท่องอย่างงัยก็ยกมือไหว้ตามๆ กันไป หลังจากไฟดับ ก็กลับบ้านกัน แต่ ! บังเอิญ ดันพูดชวนคนอื่นว่า ไปๆๆ กลับ แล้วก็มีป้าทักว่าห้ามชวน โบราณเขาไม่ให้ชวนกันกลับบ้าน เวลาอยู่ในวัด เพราะอาจจะได้คนอื่นตามไปด้วย แป่ว .... ให้เดินตามกันไปเสร้จกับงานของคุณตา ถึงแม้ว่า ไม่ได้อยู่กับท่านตลอด เพระมาเรียนที่กรุงเทพตั้งแต่เด็ก แต่ทุกครั้งกลับบ้านไป ก็นึกภาพท่านนั่งรอหลานๆ ได้เป็นอย่างดี คุณตาเป็นคน ไม่ค่อยพูด อะไรก็ได้ ไม่เคยด่า ไม่เคยตี ไม่เคยบ่น สักคำ ขอให้คุณตา ไปสู่สวรรค์ .... รักคุณตามากๆ คะ