น.พ.กฤษดา ศิรามพุช ชี้แจงเรื่องการดื่มน้ำเย็นว่า #น้ำเย็นเป็นน้ำที่ดีที่สุดสำหรับร่างกายของเรา
น.พ.กฤษดา ศิรามพุช ชี้แจงเรื่องการดื่มน้ำเย็นว่า #น้ำเย็นเป็นน้ำที่ดีที่สุดสำหรับร่างกายของเรา
 cr: เจ้าของภาพ
 cr:เจ้าของภาพ
น.พ.กฤษดา ศิรามพุช ชี้แจงเรื่องการดื่มน้ำเย็นว่า #น้ำเย็นเป็นน้ำที่ดีที่สุดสำหรับร่างกายของเรา เป็นน้ำอมฤตที่ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่ใช่ผู้ร้ายที่ทำให้เป็นมะเร็งอย่างที่เขาว่ากัน และ#ยิ่งดื่มยิ่งผอม น้ำเย็นไม่สามารถไปจับไขมันในร่างกายเราได้ เพราะอุณหภูมิคนเราอุ่นถึง 37 องศาเซลเซียส น้ำมันจะจับตัวเป็นก้อนแข็งที่ อุณหภูมิต่ำ 3-4 องศาเซลเซียส น้ำเย็นกลับช่วยเผาผลาญไขมัน เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานถึง 9 Kcal เพื่อทำให้น้ำเย็นที่ดื่มลงไป 1 แก้ว อุ่นขึ้นจนเท่ากับอุณหภูมิของร่างกาย น้ำเย็นเป็นอันตรายถึงขั้นเป็นมะเร็งจริงหรือ? ดื่มน้ำเย็น กับ น้ำอุ่น แตกต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่ากัน ? มีการแชร์ข้อมูลในโซเชียลเน็ตเวิร์คมากมาย ว่าการดื่มน้ำเย็นอันตราย บางข้อมูลถึงกับว่าอาจทำให้เป็นมะเร็ง โดยอ้างว่า น้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่เพิ่งกินเข้าไปจับตัวเป็นไข ส่งผลให้การย่อยอาหารช้าลง ถ้าคราบไขมันทำปฏิกิริยากับกรด จะแตกตัวแล้วถูกดูดซึมไปที่ลำไส้ ไขมันที่แตกตัวนี้จะดูดซึมเร็วกว่าอาหารทั่วไป แล้วจะเคลือบลำไส้ไว้ ต่อไปจะแปรสภาพเป็นไขมันก้อนๆ และเป็นจุดกำเนิด "มะเร็ง" แล้วจึงสรุปว่า ควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหารดีกว่าน้ำเย็น ? ข้อมูลที่ว่านี้มันจริงหรือเท็จ? นพ.กฤษดา ศิรามพุช แห่ง อายุรวัฒน์คลินิกเวชกรรม อธิบายว่า ความจริงการดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร ไม่เป็นอันตราย เพราะไม่ได้ทำให้ไขมันจับตัวเป็นไข เป็นก้อนขนาดนั้น เนื่องจากอุณหภูมิร่างกายคนเราปกติอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส น้ำที่เราดื่มเข้าไปถึงจะเย็น แต่ร่างกายเราร้อนอยู่แล้ว ก็จะเปลี่ยนให้เป็นน้ำอุ่นเท่าร่างกายอยู่ดี ไขมันจะจับกันเป็นก้อนแข็ง ต้องอยู่ในอุณหภูมิ 3-4 องศาเซลเซียส เหมือนอยู่ในตู้เย็น กรณีนี้จึงเป็นข้อความเท็จ ถ้าถามว่า เราควรจะดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นดี ? ขอตอบว่าน้ำเย็นจะช่วยเติมน้ำให้ร่างกายได้ดีกว่าน้ำอุ่น เพราะว่าน้ำเย็นดูดซึมได้เร็วกว่า ตรงนี้เป็นข้อมูลจากสถาบันวิทยาศาสตร์การกีฬาของสหรัฐ บอกไว้ว่า น้ำที่ควรจะดื่มถ้าอยากให้สดชื่น และออกกำลังกายได้อึดขึ้น ควรเป็นน้ำเย็นอุณหภูมิประมาณ 15 - 22 องศาเซลเซียส หรือพูดง่ายๆว่า ให้ดื่มน้ำที่เย็นกว่าอุณหภูมิร่างกาย ไม่เคยมีงานวิจัยฉบับไหนเลย ที่บอกว่าดื่มน้ำเย็นแล้วจะเป็นมะเร็ง ข้อมูลในลักษณะนี้มีการแชร์กันไปทั่ว แม้แต่ในต่างประเทศ ดูเหมือนจะเป็นวิชาการ แต่กลับไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มารับรอง แต่ทำให้คนกลัวกันมาก ดังนั้นคนที่ได้รับข้อความจะต้องใช้วิจารณญาณให้ดี การดื่มน้ำเย็นเป็นผลดีด้วยซ้ำ เพราะจะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เนื่องจากร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำอุ่นขึ้น โดยน้ำ 1 แก้ว จะช่วยเผาผลาญไขมันประมาณ 9 กิโลแคลอรี ถ้าเราดื่มน้ำ 8 แก้วก็จะเผาผลาญไขมันได้ถึง 70 กิโลแคลอรีเลยทีเดียว นั่นก็หมายความว่า ยิ่งดื่มน้ำมาก ก็จะยิ่งช่วยลดความอ้วน แต่ในคนที่กำลังลดความอ้วน ลดปริมาณอาหารแต่ลืมดื่มน้ำ ต้องระวัง เพราะน้ำหนักจะไม่ลง เพราะน้ำคือตัวช่วยทำให้ไขมันสลายเร็วขึ้นนั่นเอง ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า การดื่มน้ำมากๆ ไตจะทำงานหนักไปหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า น้ำจะเป็นอันตรายต่อร่างกายนั้น ต้องดื่มมากเป็น 10 ลิตร ส่วนคนทั่วไปดื่มน้ำอย่างเก่งสัก 5 ลิตร ก็ไม่เป็นอะไร ดังนั้นไม่ว่าจะดื่มน้ำเย็น น้ำร้อน หรือน้ำอุณหภูมิปกติ ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร หลักการง่ายๆ คือ น้ำเย็น ควรดื่มเวลาออกกำลังกาย จะดูดซึมเร็ว แต่มีข้อควรระวังในผู้หญิงที่มีประจำเดือน ไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะอาจทำให้ปวดท้องมากขึ้น ส่วนน้ำอุ่น ควรดื่มเพื่อกระตุ้นลำไส้ ทำให้ลำไส้บีบตัวดี เช่น เวลาท้องเสีย เจ็บคอ เป็นหวัด นพ.กฤษดา บอกว่า ใครที่ไม่อยากแก่ ต้องดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น เนื่องจากผิวที่แก่เกิดจากการขาดน้ำ การดื่มน้ำมากๆ ยังช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย โดยเฉพาะในผู้ชายอาจทำให้น้ำไปเลี้ยงอสุจิไม่พอ ทำให้อสุจิไม่แข็งแรง และเซ็กซ์เสื่อมได้ ! ในคนที่มีอาการคล้ายจะเป็นหวัด เช่น ปากแห้ง ตาแห้ง อย่าเพิ่งกินยา ให้ดื่มน้ำมากๆ สักพักจะหายได้ โดยไม่ต้องพึ่งยา และเคล็ดสำหรับคนดื่มเหล้า คือ ถ้ากลัวว่าจะแฮงก์ควรดื่มน้ำตามเข้าไปประมาณ 4 เท่าของเหล้าที่ดื่มก็จะช่วยได้ แต่ละวันเราควรดื่มน้ำมากน้อยแค่ไหน? นพ.กฤษดา บอกว่า ควรดื่มน้ำตามน้ำหนักตัว คือ ดื่มน้ำ 1 ออนซ์ ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ก็ต้องดื่มน้ำ 60 ออนซ์? โดยน้ำ 1 ออนซ์ประมาณเท่ากับ 30 ซีซี คนน้ำหนัก 60 กิโลกรัม ก็ต้องดื่มน้ำอย่างต่ำประมาณ 1,800 ซีซี เรียบเรียงโดย ชีวอโรคยา อ้างอิงข้อมูลจาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์ อายุรวัฒน์นานาชาติ ขอบคุณภาพจาก pixabay Health Blog newyorknurse
| Create Date : 07 พฤษภาคม 2568 |
| Last Update : 29 พฤษภาคม 2568 19:20:57 น. |
|
0 comments
|
| Counter : 359 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
|
|