การฆาตกรรมที่คนทั้งโลกรู้เห็นเป็นใจ
ในวันที่อากาศดีชวนหลับกลับกลายเป็นวันที่ใครบางคนหลับไม่ลง ไม่มีเหตุผลว่าทำไม รู้แต่เพียงว่าในยามวิกาลเช่นนี้ เพื่อนหนึ่งเดียวที่มี กลายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่ให้สัมผัสภาพและเสียงเพียงแผ่วเบาเดซิเบลต่ำ
จนเข็มสั้นก้าวเท้าเข้าสู่เลขสองและเข็มยาวสั่นไหวไม่ยอมหยุด คนที่หลับไม่ลงจึงจำต้องข่มตาให้ปิดเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ แต่ก่อนที่ม่านตาจะถูกกลบด้วยเนื้อบางยืดหยุ่นนั่นทันใดฉากพาสเทลโทนก็รั้งเอาไว้... ไม่อาจหยุดความสนใจได้อีกต่อไป
ฉากสีที่ว่าปรากฏขึ้นพร้อมกับเด็กโตกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน เด็กหญิงโยนบอลพุ่งไปที่เด็กชายก่อนเขาจะตีมันเต็มแรงด้วยไม้ก้านยาว บอลน้อยลอยไกล... ไกล... ไกลไปจนนอกรั้วนั่น
รั้วที่ใช้กั้นเรื่องราวของสองโลกไว้ ซีกแรกคือความไม่รู้ ส่วนอีกซีกคือข้อเท็จจริง เด็กน้อยที่อยู่ในโลกซีกแรกแม้ใคร่รู้เรื่องราวอีกด้านมากเพียงใด แต่ไม่มีใครกล้าก้าวข้ามไป เหตุเพราะความกลัวที่ก่อเกิดในสัญชาตญาณของความเป็น "คน" โดยไม่เคยรู้มาก่อนว่า... คนของอีกโลกที่พวกเขาใคร่รู้จักนั้น ไม่ได้มองว่าพวกเขาก็เป็น "คน"
เรื่องราวดำเนินไปพร้อมกับช่วงเวลาแห่งความสุขและทุกข์ขึ้นลงตามจังหวะ การเป็นไปของชีวิตที่ต้องเติบโตเพื่อเรียนรู้และก้าวต่อไป... แม้จะเป็นก้าวที่ไม่เต็มใจก็ตาม
แต่ใครบ้างจะเต็มใจ หากต้องเติบโตมาเพื่อเรียนรู้ว่าสังขารที่เฝ้าดูแลและหวงแหนนั้น แท้จริงแล้ว มันถูกจับจองเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ใส่ใจว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร จะเจ็บปวดแค่ไหนกับการพรากจากสิ่งที่รัก ทรมานกับการหวังไม่ได้ หรือแม้แต่... ต้องตายจากโลกไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร และทำไมจึงเป็นเช่นนี้
ดังนั้น "เพื่อนมนุษย์" ที่ว่า... แท้จริงแล้วพวกเขามีความเป็นมนุษย์อย่างคำที่เรียกอยู่หรือไม่?
นี่คือความคำนึงที่ดังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลาที่ได้สัมผัสหนังไซไฟเรื่องนี้
Never Let Me Go : ครั้งหนึ่งของชีวิตขอรักเธอ
ถ้าใครได้ดูหนังเรื่องนี้คงเถียงคอเป็นเอ็นว่า "นี่มันหนังเฮฟวี่ดราม่าชัดๆ" เราเองก็ยังเถียงวิกิเบาๆว่า หนังที่ทำเราร้องไห้สะอื้นตัวโยนเนี่ยหรอ... คือ หนังไซไฟ
แต่นี่คือหนังไซไฟจริงๆ ต่างตรงที่ไม่มีแสงสีบาดตา ว๊อบๆแว๊บๆชวนเวียนหัว แบบเรื่องอื่นที่เคยผ่านตาเราๆท่านๆมาก่อน เพราะหนังเรื่องนี้กล่าวถึงเรื่องราวของมนุษย์โคลน ในยุค 70 ซึ่งการโคลนมนุษย์นี้มีมาตั้งแต่ยุค 50 แล้วด้วยซ้ำ แถมเรื่องราวก็ไม่ใช่การพูดถึงกระบวนการผลิตที่น่าอัศจรรย์พรึงเพลิศของวิทยาศาสตร์
แต่กลับสะท้อนเสียงโหยหวนอันเจ็บปวดจากกลุ่มคนที่ไม่มีสิทธิ์จะกำหนดชะตาตัวเองได้ กลุ่มคนที่ต้องทรมานจากความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ที่ขาดจากมนุษยธรรม จนเกิดเป็นคำถามกลับมาให้เราต้องทวนคิดว่า
มนุษย์ทุกคนล้วนต้องตาย แต่ก็ยังกลัวตาย ดังนั้น การโยนความตายให้กับคนที่ไม่อยากตาย จะต่างอะไรกับการ ฆ า ต ก ร ร ม ! แถมเป็นการฆ่าที่คนทั้งโลกต่าง รู้ เห็น เป็น ใจ กันอีกด้วยแล้วแบบนี้...
" เราจะดำรงความเป็นสัตว์ประเสริฐไปได้อีกนานเท่าไหร่ ในเมื่อเราไม่เคยพอจริงๆเสียที "
ขอบคุณข้อมูล wiki teerak ขอบคุณภาพจาก Top Ten Film 2010
Create Date : 20 มกราคม 2556 |
|
11 comments |
Last Update : 20 มกราคม 2556 14:06:21 น. |
Counter : 1166 Pageviews. |
|
|
|
ขัดกับชื่อเรื่องที่ฟังดูโรแมนติกๆ "Never Let Me Go : ครั้งหนึ่งของชีวิตขอรักเธอ" ยังไงก็ไม่รู้
แต่อ่านแล้วน่าสนใจดีจังค่ะ