Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2557
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
19 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
พระจันทร์ร้อยเล่ห์ - 3 - Next Bride




ศศธรเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งรออยู่ภายในห้องพักด้วยสีหน้าครุ่นคิด หลังวางสายจากมารดาแล้วและฝ่ายนั้นก็อึ้งกิมกี่ไปโดยไม่โต้แย้งสิ่งใด เธอรู้ดีว่านั่นไม่ใช่การยอมรับ แต่ที่ยังไม่โวยวายเอาตอนนี้เพราะผู้เป็นแม่กำลังช็อกอยู่ต่างหากล่ะ ให้มีเวลารวบรวมสติได้เมื่อไรเถอะ รายการซักไซ้ไล่เลียงคงได้เริ่มต้นอย่างจริงจัง แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะฉวยโอกาสนี้ตัดบทก่อนที่คุณนายจะตั้งหลักได้

ว่ากันว่ารุกก่อนได้เปรียบ ดังนั้นเธอเองก็ไม่ควรจะวางเฉยกับเรื่องนี้ ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะสละโสดก่อนเบญจเพสยังลุกโชนดังถ่านกล้า แต่การลงเอยกับผู้ชายที่มารดาแนะนำให้ ไม่ใช่ทางเลือกที่เธอต้องการ

แน่ละ ขืนให้ใครรู้ว่าเธอต้องแต่งงานกับผู้ชายที่แม่หาให้ ได้ขายหน้าแย่ สวยสามร้อยหกสิบองศาอย่างเธอต้องเลือกผู้ชายที่จะมาเป็นคู่ชีวิตด้วยตัวเองเท่านั้น!

ไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับมันสมองเจ้าเล่ห์ระดับอัจฉริยะอย่างเธอในการหาวิธีทำความรู้จักกับหนุ่มในฝันให้มากขึ้น ริมฝีปากอิ่มสวยคลี่ยิ้มพึงใจหลังจากใช้เวลาขบคิดเพียงน้อยนิด แล้วใบหน้าสว่างไสวชวนมองก็ถูกปรับโหมดเสียใหม่ เดินกลับเข้าไปในห้องพักฟื้นช้าๆ ด้วยท่าทีเศร้าหมองอย่างแนบเนียน

ชานนท์ที่นั่งรออย่างกระวนกระวายใจภายใต้ท่าทีสงบนิ่งพยายามซุกซ่อนความยินดีในสีหน้าเมื่อหญิงสาวเสร็จธุระ เพราะนั่นแปลว่าเขากำลังจะได้ไปชะอำเสียที หากไม่รีบออกเดินทางมีสิทธิ์ไปไม่ทันอวยพรคู่บ่าวสาวก่อนเข้าหอแน่ แต่สีหน้าหม่นหมองและท่าทีเหงาหงอยของสาวสวยทำให้เขารู้สึกถึงความยุ่งยากใจที่กำลังจะตามมาได้ตงิดๆ

“ขอบคุณมากค่ะ”

หญิงสาวส่งคืนมือถือให้เจ้าของพร้อมช้อนดวงตาสวยเศร้าขึ้นมองเขา การทำแบบนี้มักจะใช้ได้ผลกับผู้ชายทุกคน ยกเว้นภรัณยูกับภวัต แต่นอกนั้นแล้วเธอคิดว่าไม่น่าจะพลาด

ก็ดูแต่ไอ้แท็กซี่หื่นนั่นสิ เธอแลหางตาไปมองที่ไหน ขนาดไม่ได้ทำอะไรยังเกือบได้เป็นนางเอกหนังโป๊!

ชายหนุ่มรับโทรศัพท์คืน คิดว่าควรได้เวลาปลีกตัวจากไปเสียที แต่จะไปเลยก็ใช่ที่ ตามมารยาทแล้วควรต้องถามสักนิดว่าหญิงสาวต้องการความช่วยเหลือใดอีกหรือไม่ แม้เขาจะคิดว่าเท่าที่ทำไปวันนี้นับว่ามากพอแล้วก็เถอะนะ

“คุณโอเครึเปล่าครับ ติดต่อญาติได้ไหม”

เธอคิดอยู่แล้วว่าคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนแปลกหน้าในสถานการณ์อันตรายย่อมมีน้ำใจมากพอจะถามคำถามนี้ ดังนั้นคำตอบจึงถูกเตรียมไว้แล้ว

“ฉันไม่มีญาติที่เมืองไทย ไม่รู้เหมือนกันว่าควรติดต่อใคร”

ครอบครัวของเธอย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกาตั้งนานแล้ว ไม่มีญาติพี่น้องที่แผ่นดินไทยเหลืออยู่จริงๆ แม้ครอบครัวของภรัณยูจะสนิทสนมเสมือนญาติ หากก็ไม่ใช่ญาติแท้ๆ ไม่ได้โกหกนะ แค่บอกไม่หมด...

เขานิ่วหน้า ขมวดคิ้วมุ่น ตั้งข้อสังเกตอย่างมีเหตุผล “แล้วเมื่อกี้คุณโทร. หาใครครับ เห็นคุยกันนานสองนาน ผมนึกว่าคุณติดต่อญาติได้แล้ว”

“มัมน่ะค่ะ เราย้ายไปอยู่อเมริกาทั้งครอบครัว ฉันมาเที่ยวเอ่อ...ก็ไม่เชิงค่ะ ตั้งใจมางานแต่งของคนรู้จัก แต่ตอนนี้ติดต่อไม่ได้เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน ของใช้สำคัญก็ติดไปกับแท็กซี่บ้านั่น แล้วตอนนี้ฉันก็ไม่มีอะไรติดตัวซักอย่าง”

ติดต่อภรัณยูไม่ได้จริงๆ นะ ก็เธอยังไม่ได้ติดต่อเขานี่ อันนี้ก็ไม่ได้โกหกเหมือนกัน...

ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออกสักพัก สุดท้ายก็ตัดสินใจถาม “แล้วคุณต้องการให้ผมช่วยอะไรรึเปล่าครับ”

ดวงตาคู่สวยฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมาชั่วครู่แต่ก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่ทันเห็น

“คุณเป็นคนช่วยฉันไว้จากไอ้แท็กซี่หื่นนั่น แถมยังพาส่งโรงพยาบาลอีก ฉันติดค้างคุณมากจริงๆ ไม่รู้จะชดใช้ยังไงหมด...”

เขาโบกมืออย่างรวดเร็ว พูดยาวแทบไม่หายใจด้วยกลัวจะถูกสาวเจ้าขัดจังหวะ “ไม่เป็นไรครับ ผมทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น เอาอย่างนี้ดีกว่านะ คุณเก็บเบอร์โทร. ของผมไว้ก็แล้วกัน วันนี้ผมต้องรีบไปธุระ หากคุณต้องการความช่วยเหลืออะไรก็โทร. หาผมแล้วกันนะครับ”

ชายหนุ่มก้มลงจดตัวเลขบนกระดาษอย่างรวดเร็วแล้วยื่นให้หญิงสาว สีหน้าหม่นเศร้าของเธอทำให้เขาใจอ่อนมากเกินควร ทั้งที่ปกติแล้วไม่ชอบแจกเบอร์สาวๆ หวงพอๆ กับความเป็นส่วนตัวนั่นเลยทีเดียว แต่สุดท้ายวันนี้ก็ต้องแหกกฎเหล็กของตัวเองจนได้

ศศธรมองกระดาษแผ่นเล็กในมือด้วยความตื่นเต้นยินดีที่ซ่อนเกือบไม่มิด “ขอบคุณมากนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ พักผ่อนเยอะๆ นะ ผมขอตัวก่อน” ชานนท์บอกด้วยรอยยิ้มที่พยายามปั้นให้ดูจริงใจ

เขาเต็มใจช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนอยู่แล้ว แต่ไม่ยินดีนักหากคนคนนั้นเป็นสาวสวยชนิดหาตัวจับยากอย่างผู้หญิงตรงหน้า เขาไม่อยากให้ชีวิตที่สงบสุขอย่างทุกวันนี้ต้องวุ่นวายเพราะ ‘ผู้หญิง’

เขากำลังจะผลักบานประตูออกไปแล้ว แต่หญิงสาวเพิ่งจะนึกได้จึงร้องห้ามเสียงหลง “เดี๋ยวค่ะ!”

ชายหนุ่มชะงักกึก มองสีหน้าตื่นตระหนกของเธองงๆ “ครับ?”

“เอ่อ...แล้วฉันจะเรียกคุณว่ายังไงคะ” เธอถามด้วยความรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย

เขามีสีหน้าครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะตอบเรียบๆ “เรียกผมว่า ‘นนท์’ ก็ได้ครับ”

สาวสวยอมยิ้ม ทวนชื่อเขาผ่านริมฝีปากอิ่มโดยไม่มีเสียง ในที่สุดก็ได้รู้ว่าเขาชื่ออะไร เสียงประตูปิดลงฉุดเธอกลับมาที่ห้องพักฟื้นอีกครั้ง หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ สีหน้าฉงนปนขัดใจเล็กๆ

ไม่ยุติธรรมนะ เธอยังไม่ได้บอกชื่อกับเขาเลยนี่!

ตั้งสติได้ก็ถลาไปที่ประตูโดยเร็ว มองซ้ายมองขวาหาร่างสูงสง่าโดดเด่นของหนุ่มในฝัน ได้ยินเสียงลิฟต์ดังขึ้นจึงหันไปมอง เห็นเป้าหมายก้าวเข้าไปด้านในและกำลังกดปิด เธอขยับขาจะออกวิ่งแต่ประตูลิฟต์ปิดลงแล้วจึงได้แต่ถอนใจอย่างเสียดายแกมผิดหวัง

เขาไม่ใส่ใจจะถามชื่อของเธอเลยด้วยซ้ำ...



“ตารัณ!” น้ำเสียงเข้มงวดของคุณเดือนเต็มดังขึ้น

ภรัณยูสะดุ้งเฮือก สบสายตาคาดคั้นคู่นั้นด้วยความงุนงง แล้วคุณนายก็ก้าวฉับๆ เข้าไปหาว่าที่เจ้าบ่าวด้วยใบหน้าถมึงทึง ดวงตาวาวโรจน์ฉายแสงร้อนแรงไม่คิดจะผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น

“อามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ตามมานี่เลยนะ ให้ไว!”

ชายหนุ่มยกมือขึ้นตั้งใจทำความเคารพเพื่อนของมารดาที่นับถือเสมือนญาติแท้ๆ ตามประเพณีอันงดงามของไทย แต่เป็นอันต้องปล่อยค้างกลางอากาศเนื่องจากอีกฝ่ายเดินผ่านไปด้วยสีหน้าเมินเฉย ไม่แม้แต่จะชำเลืองหางตาแลอาการมึนงงของเขา ชายหนุ่มจึงหันไปขอคำตอบจากแม่ที่เพิ่งก้าวลงจากรถตู้ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนแทน

คุณวิภาดายิ้มแหย พยักหน้าหงึกๆ “ตามไปก่อนเถอะรัณ เดี๋ยวระเบิดลงกลางงานแต่งจะยิ่งแย่นะ”

คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น ใบหน้าคมขรึมจึงติดแววมึนงงไม่หายขณะก้าวตามคุณนายออกไปคุยกันที่ริมหาด

คุณวิภาดามองตามเพื่อนรักกับบุตรชายคนโตออกไปด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ก่อนหันมาส่งยิ้มให้แขกหนุ่มที่คุณนายหิ้วข้ามน้ำข้ามทะเลมาฝากลูกสาวถึงแผ่นดินไทย “เดี๋ยวตามนิดไปที่ห้องพักเลยนะจ๊ะเร”

นิดรีบเข้าไปรับกระเป๋าเดินทางของชายหนุ่มลูกครึ่งใบหน้าหล่อเหลาที่ส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้เธอ

“ไม่เป็นไรครับ ผมถือเองได้ นำไปที่ห้องพักเลยดีกว่า” เรมอนบอกด้วยภาษาไทยที่ชัดแจ๋วจนนิดถึงกับทำหน้าฉงน แต่เขาไม่ใส่ใจนัก หันมากล่าวขอบคุณเจ้าของบ้านแทน

ผู้สูงวัยส่งยิ้มอ่อนโยนให้ “ไม่เป็นไรจ้ะ จะมาขอบคุณอะไรกัน คนกันเองทั้งนั้น ไปพักก่อนเถอะนะ เย็นนี้มีงานเลี้ยงรอคอยอยู่”

พูดจบก็หันไปพยักหน้ากับนิด “ไปนิด พาคุณเรไปห้องพักที”

คุณกรมองเรมอนที่เดินตามนิดเข้าไปภายในบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่ด้วยความรู้สึกชื่นชม “นี่ถ้ามีลูกสาวอีกซักคนจะยกให้พ่อหนุ่มเรมอนนี่ซะเลย สุภาพ เรียบร้อย ผิดกับไอ้เจ้าวัตของเราลิบลับ”

ผู้เป็นภรรยาหัวเราะปลงๆ “แต่ฉันว่าทั้งคุณทั้งยายเดือนท่าทางจะได้กินแห้วกันนะคะ คุณไม่เห็นเหรอ เรทำหน้าเหมือนคนอกหักหนีมาพักร้อนที่เมืองไทยอย่างนั้นแหละ ฉันว่าเขาคงยังไม่พร้อมที่จะรักใครหรอก”

คุณกรมองภรรยาด้วยสีหน้าทึ่งจัด “นี่คุณช่างสังเกตขนาดนี้เลยเหรอ”

“อุ๊ย...คุณก็ ไม่ต้องสังเกตอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เข้าไปข้างในกันเถอะ ฉันอยากไปดูหนูมุกว่าพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าสาวรึยัง วันนี้ฉันมีความสุขมากๆ จะยกโทษให้ยายเดือนซักวันก็แล้วกัน สมแล้วที่เป็นแม่ลูกกับหนูวันจันทร์ ลูกจะแสบเหมือนใครถ้าไม่ใช่แม่ เฮ้อ...”

คุณกรโอบเอวภรรยาเข้าไปในบ้านพร้อมเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจกับความคิดนั้น วันนี้เขาเองก็คงมีความสุขมากเหมือนกันสินะ เพราะไม่ว่าผู้เป็นภรรยาจะพูดจะคุยอะไรก็ฟังเข้าหูไปซะหมด



เสียงรอสายแบบที่ศศธรเคยคิดว่าออริจินัลสุดขั้วโลกและควรจะโละทิ้งไปตั้งนานแล้วดังอยู่สักพักก็มีคนกดรับและตอบกลับห้วนๆ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงกำลังอยู่ในโหมดไหน หญิงสาวอมยิ้มอย่างนึกขำ

“พี่รัณนี่วันจันทร์เองนะคะ วันแต่งงานของตัวเองแท้ๆ ยังอารมณ์บูดได้อีก เหลือเชื่อจริงๆ”

“อยู่ที่ไหนกันแน่ฮึวันจันทร์ รู้มั้ยว่าคุณอากำลังจะทำให้พี่ประสาทเสียแล้วนะ” เสียงต่อว่าขุ่นเคืองดังมาตามสาย

“อุ๊ย...ทำไมน้ำเสียงเจ้าบ่าวถึงได้ฟังหงุดหงิดขนาดนั้นคะพี่รัณขา ว่าแต่มัมทำอะไรเหรอคะ คงไม่ใช่เค้นคอถามหาว่าที่ลูกเขยใช่มะ?” เย้าแหย่ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

เธอแน่ใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดว่าผู้เป็นมารดาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากได้สติแล้ว ก็คงไม่แคล้วตามหาความจริงกับคนใกล้ตัวของเธอนั่นแหละ

“แล้วใครกันที่เป็นผู้ชายโชคร้ายคนนั้น”

เขาไม่ตอบหากย้อนถามเสียงเรียบด้วยคำถามที่ทำให้หญิงสาวปล่อยหัวเราะคิก

“โหย...พี่รัณน่ะ พูดไม่น่าฟังเลยนะคะ ใครได้วันจันทร์เป็นแฟนโชคดีจะตาย ไม่เห็นจะเป็นโชคร้ายตรงไหนเลย”

“โชคดีน้อยน่ะสิ แล้วตกลงตอนนี้อยู่ที่ไหนฮึ วันแต่งงานพี่ทั้งทีใจคอจะโผล่มาแบบนางเอกละครเลยรึไง” ท่าทางเขาจะไม่ขำด้วย เพราะน้ำเสียงยังแฝงแววตำหนิแกมประชดไม่ลดระดับ

“ยังไงคะ โผล่ไปแบบนางเอกละครเนี่ย” หญิงสาวถามอย่างสงสัย ไม่เข้าใจมุกนี้จริงๆ

“ก็โผล่มาในนาทีสุดท้ายแล้วแย่งซีนทุกคนไปหมดน่ะสิ” เขาเฉลยเสียงห้วน

เธอเลยปล่อยหัวเราะอีกยกใหญ่จนกระทั่งได้ยินเสียงปรามดุๆ

“วันจันทร์...”

“โอเคค่ะพี่รัณขา โซซอรี่จริงๆ ก็วันจันทร์ขำนี่คะ วันนี้เจอเรื่องตื่นเต้นแทบช็อกตาย มาฟังมุกตลกของพี่รัณแล้วก็สบายใจขึ้นหน่อย แต่แทนที่จะห่วงวันจันทร์มั่ง ที่ไหนได้ ทั้งมัมทั้งพี่รัณเอาแต่บ่น ไม่ถามเลยว่าทำไมวันจันทร์ถึงหายไป ห่วงน้องนุ่งมั่งมั้ยเนี่ย”

พออารมณ์ขบขันถูกเบรกเธอจึงย้อนเข้าให้บ้าง ชุดใหญ่เหมือนกัน ไม่ยอมแพ้หรอก!

ชายหนุ่มเงียบไปสักพักจึงได้ยินคำถามใหม่ที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงซึ่งบอกให้รู้ว่าห่วงใยจริงๆ

“นั่นสิ แล้วเราหายไปไหนมาทั้งวัน มีเรื่องอะไรรึเปล่า พี่โทร. ไปก็ปิดมือถือหนี”

หญิงสาวย่นจมูกกับโทรศัพท์ของโรงพยาบาลพลางส่ายหน้าเซ็ง “ใครปิดมือถือหนีกันล่ะพี่รัณ มันถูกฉกไปพร้อมกระเป๋า และไอ้แท็กซี่หื่นนั่นก็แทบจะเอาชีวิตที่เหลือของวันจันทร์ไปย่ำยีให้ตายทั้งเป็นด้วยต่างหาก”

ว่าฉุนๆ ก่อนจะบรรยายเหตุการณ์ระทึกขวัญแบบละเอียดยิบไม่มีการตัดต่อ มีแต่ใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปให้ได้อารมณ์ยิ่งขึ้น ด้วยฉากสำคัญที่สุดเธอแทบจะไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว โชคยังดีที่มีพลเมืองดีเข้ามาช่วยเหลือไว้ได้ทัน และเธอคิดว่านั่นคือโชคดีที่สุดในชีวิต ไม่อย่างนั้นตอนนี้เธออาจไม่ได้มานั่งจ้อกับภรัณยูอย่างนี้หรอก

เมื่อเล่าจบก็ได้ยินพี่ชายถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยลึกซึ้ง

“แล้วไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมวันจันทร์ ให้วัตไปรับไหม คืนนี้พี่คง...”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ” เธอรีบแทรกก่อนที่เขาจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ

“วันจันทร์แค่จะบอกว่าตอนนี้หมดตัวแล้วจริงๆ คงไปงานแต่งพี่รัณไม่ทันเลยโทร. มาอวยพรค่ะ ขอให้พี่รัณกับคุณมุกมีความสุขมากๆ นะคะ ฝากบอกคุณมุกด้วยว่าวันจันทร์ยินดีด้วยจริงๆ เสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมงานในวันนี้ ขอโทษด้วยนะคะ”

หญิงสาวอวยพรผ่านเครื่องมือสื่อสารที่กลายเป็นปัจจัยห้าของคนยุคนี้ และนั่นคือจุดประสงค์แรกในการโทร. หาพี่ชาย

“งั้นเสร็จงานเลี้ยงพี่จะให้วัตกับน้ำหวานไปส่งคุณอาไปหาเราที่โรงพยาบาลนะ ถ้ารู้เรื่องนี้คงเป็นห่วงแย่”

ศศธรทำตาโต รีบร้องห้ามเสียงหลง “อ๊ะ! อย่าเชียวนะคะพี่รัณขา อย่าให้มัมรู้ว่าวันจันทร์อยู่ที่ไหนเชียว แล้วก็ไม่ต้องบอกมัมเรื่องวันนี้นะคะ วันจันทร์ไม่อยากถูกมัมจับยัดกระเป๋าหิ้วกลับอเมริกาในทันที เบื่อผู้ชายที่มัมพามาแนะนำจะแย่แล้ว วันจันทร์จะเลือกผู้ชายที่วันจันทร์ชอบเท่านั้นค่ะ”

และนี่คืออีกหนึ่งจุดประสงค์ของเธอ

“อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่เรมอนท่าทางใช้ได้เลยนะ รูปหล่อเหมือนนายแบบเลยละ เห็นแล้วจะเสียดาย ไม่ลองมารู้จักเขาก่อนล่ะ”

น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของพี่ชายทำให้เธอเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมานิดๆ

“พี่รัณอย่ามาดูถูกสาวสวยสามร้อยหกสิบองศาอย่างวันจันทร์นะคะ นี่ขนาดเห็นแวบๆ ผู้ชายคนนั้นยังตามมาช่วยวันจันทร์จนรอดพ้นจากไอ้แท็กซี่ตัณหากลับ ถ้าเขาได้อยู่ใกล้ชิดกับวันจันทร์ทุกวันหัวใจต้องหวั่นไหวแน่ๆ วันจันทร์รับรองค่ะ”

“พูดเป็นนิยายน้ำเน่าไปได้นะเรา รู้จักเขาดีแล้วเหรอ สนิทสนมถึงขั้นที่เขาจะแวะเวียนมาหาเราบ่อยๆ เชียว มั่นใจในตัวเองมากไปรึเปล่าฮึ แล้วอะไรนะ สวยสามร้อยหกสิบองศามันคืออะไรกันแน่”

“โอ๊ย...พี่รัณไม่เข้าใจวัยรุ่นเลย สวยสามร้อยหกสิบองศาก็สวยทุกมุมไงคะ เฮ้อ...วันจันทร์ไม่พูดกับพี่รัณแล้ว คุยกันคนละภาษาทุกที มีแต่คุณมุกเท่านั้นแหละที่ตาบอดไปหลงรักตาแก่หัวโบราณอย่างพี่รัณได้ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะคะ วันจันทร์ไม่ได้ไปร่วมงานแต่งของพี่รัณ ไม่ไปเจอผู้ชายที่มัมอุตส่าห์หิ้วข้ามทวีปมาฝาก แล้วก็จะหลบหน้าไปซักพัก ไม่ต้องตามหาให้เหนื่อย แต่ช่วยบอกมัมด้วยว่าวันจันทร์จะพาว่าที่ลูกเขยบินข้ามประเทศไปกราบก่อนเบญจเพสให้ได้โดยไม่ต้องพึ่งมัม โอเคนะคะ”

“เดี๋ยวๆ วันจันทร์...”

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินเมื่อสั่งการยาวเหยียดตามจุดประสงค์ที่วางไว้โดยไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายแย้งแล้วเธอก็วางหูโทรศัพท์ลงบนแป้น หากวางไม่สนิทอย่างจงใจเพื่อตัดโอกาสพี่ชายโดยสิ้นเชิง

ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ

เธอต้องรู้จักผู้ชายที่ชื่อ ‘นนท์’ ให้มากกว่านี้ให้ได้!



ก่อนเดินทางไปชะอำในเย็นนั้นชานนท์ก็แจ้งทางโรงพยาบาลให้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายทุกอย่างของหญิงสาวได้ที่เขา เพราะคิดว่าเธอกำลังตกที่นั่งลำบากและคงไม่สามารถรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูงได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาด้วยที่เลือกโรงพยาบาลเอกชนให้เธอ

เมื่อเข้ามานั่งในรถก็เหลือบเห็นซองเอกสารที่เอาติดตัวมาด้วยแต่ส่งไม่ถึงมือผู้รับ สีหน้าของเขาเรียบขรึมและดูเป็นกังวลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ตัดใจถอยรถออกจากซอง มุ่งหน้าสู่ชะอำโดยไม่เหลียวแลเอกสารนั่นอีกเลย

เมื่อจอดรถคู่ใจลงหน้าบ้านพักตากอากาศที่เหมือนจะคุ้นเคยอยู่ในความทรงจำอันเลือนรางของตัวเอง เข็มนาฬิกาบนหน้าปัดก็บอกว่าตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มเศษๆ แล้ว เกือบห้าปีเต็มที่เขาไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย แม้ถนนหนทางจะเปลี่ยนไปมากแต่เขายังพอจำได้รางๆ ว่าต้องขับผ่านถนนเส้นไหนบ้างจึงสามารถพาตัวเองมาถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่ต้องโทร. เช็กกับเจ้าของบ้าน

เสียงเพลงแผ่วหวานล่องลอยมาพร้อมกับลมทะเลที่หอบพาเอากลิ่นดอกไม้สดหลากหลายชนิดและกลิ่นไอทะเลเค็มๆ โชยมาเตะจมูก ให้ความรู้สึกสดชื่นแกมหวานละมุนได้อย่างลงตัว

ภาพบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองและเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วเคล้าเสียงหัวเราะต่อกระซิกของแขกน้อยชีวิตที่มาร่วมเป็นสักขีพยานแห่งความรักให้คู่บ่าวสาวซึ่งยืนหันหน้าเข้าหากันภายใต้ซุ้มดอกไม้เล็กๆ ที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามสำหรับพิธีแต่งงานแบบเรียบง่ายในค่ำคืนนี้ทำให้คนมองอยู่ห่างๆ ถึงกับเปิดยิ้มกว้างออกมาได้

ร่างสูงเดินเข้าไปสมทบกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างช้าๆ และเงียบกริบ เฝ้ามองพิธีแต่งงานของเพื่อนรักเพียงคนเดียวที่ยังติดต่อกันอยู่ในระหว่างห้าปีที่เขากันตัวเองออกจากสังคมเดิมแล้วหลบไปใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่อันแสนสงบด้วยเหตุผลบางประการ

เสียงพูดคุยหัวเราะฟังชัดเจนขึ้นทุกขณะ สาวๆ ที่เขาไม่คุ้นหน้าสามสี่คนยืนอออยู่ด้านหลังของเจ้าสาวซึ่งหันหลังให้กับทุกคนแม้กระทั่งเจ้าบ่าวสุดหล่อเองยังถูกเมิน น้ำเสียงแหลมๆ ฟังดูตื่นเต้นของสาวๆ กลุ่มนั้นทำให้เขาเริ่มปวดหัว แต่จำต้องพาตัวเองเข้าไปให้ถึงตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเพื่อแสดงความยินดีกับพวกเขาในค่ำคืนสุดพิเศษนี้

“มุกๆ ทางนี้ๆ ส่งให้ฉันนะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นและเป็นเสียงที่เขาฟังรู้เรื่องที่สุดแล้ว ณ ขณะนั้น จากนั้นเสียงหวีดร้องก็ดังขึ้นพร้อมกันในจังหวะที่เจ้าสาวยืดแขนขึ้น

เขายืนอยู่ห่างพวกเธอตั้งเป็นเมตรยังอดส่ายหน้าด้วยความรำคาญนิดๆ ไม่ได้ จะตื่นเต้นอะไรนักหนากับแค่การโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาว

อะไรสักอย่างเหมือนจะหล่นลงมาใส่ศีรษะในจังหวะที่เขาเงยหน้าขึ้น และมันก็เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่เขาต้องยกมือขึ้น ‘รับ’ ก่อนที่ตัวเองจะได้หัวร้างข้างแตกเพราะไอ้เจ้าวัตถุประหลาดนั่น

‘หมับ!’

คล้ายกับว่าทุกสรรพเสียงจะถูกดูดกลืนไปพร้อมกับคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งแล้วหายไป ดวงตาทุกคู่หันมาจ้องชายหนุ่มเป็นตาเดียวโดยเฉพาะสาวๆ กลุ่มนั้น

ชานนท์ก้มมองช่อบูเก้สีขาวในมืออย่างงงงัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับทุกคน เป็นตอนนั้นเองที่เขารู้ตัวว่าคิดผิดอย่างมหันต์ที่เอื้อมมือคว้า ‘มัน’ ไว้ นึกอยากย้อนเวลากลับไปและหากสามารถทำได้จริงเขาจะปล่อยให้ตัวเองหัวแตกเลือดสาดไปเลย ถึงยังไงก็ต้องดีกว่าการถูกสาวๆ กลุ่มนี้มองด้วยสายตากล่าวหาแน่ๆ ละ

“อ้าว นนท์มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?” เสียงทักทายด้วยความยินดีของเจ้าบ่าวทำให้เวลาเริ่มหมุนไปอีกครั้ง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยกเว้นแต่คนที่ถูกเรียกชื่อ

ชายหนุ่มส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้กับแขกที่เขาไม่คุ้นหน้า มือหนึ่งยังถือช่อดอกกุหลาบขาวไว้ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี ในขณะที่อีกมือยื่นไปทักทายเพื่อนรักที่เดินจูงมือเจ้าสาวคนสวยเข้ามาหา

“ว่าไง นึกว่านายจะเบี้ยวซะแล้ว เล่นมาเอาซะป่านนี้” ภรัณยูทักทายด้วยสีหน้าชื่นมื่นเปี่ยมสุข

“มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ ยินดีด้วยนะ” เขาอมยิ้มเขินๆ ขณะมองสีหน้ายิ้มแย้มของเจ้าสาวที่ติดแววล้อเลียนให้จับได้

“นี่มุกนะนนท์” ภรัณยูแนะนำให้เพื่อนรู้จักเจ้าสาวของเขาก่อนจะหันไปทำตาเชื่อมกับหญิงสาว “นี่นนท์เป็นเพื่อนของผมครับ”

“สวัสดีค่ะคุณนนท์ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” มุกตาภาทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส รัศมีแห่งความสุขเปล่งประกายรอบตัวเธอ

“เช่นกันครับคุณมุก ขอแสดงความยินดีด้วย คุณทำได้ยังไง ผมรู้สึกทึ่งจริงๆ” เขาแซวด้วยรอยยิ้มขี้เล่นเป็นกันเอง และนั่นก็ทำให้ใบหน้าคมเข้มแลดูอ่อนเยาว์และสว่างไสวราวเด็กหนุ่ม ชวนมองไปอีกแบบ

เจ้าสาวเงยหน้าสบตาคนยืนข้างๆ แก้มเนียนร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหันเมื่ออีกฝ่ายก้มมองหน้าเธอคล้ายรอคอยคำตอบอยู่เช่นกัน ด้วยความขัดเขินจึงบอกปัดด้วยน้ำเสียงรื่นเริง “ก็ลองถามคุณรัณดูสิคะ”

ภรัณยูเห็นหญิงสาวแก้มแดงจัดก็นึกเอ็นดู วันนี้มุกตาภาคงเผชิญกับหลากหลายความรู้สึกมากพอแล้ว

“เจ้าสาวเราเขินหน้าแดงใหญ่แล้วนนท์ ว่าแต่นายมาคนเดียวเหรอ”

ชานนท์อมยิ้ม “จะให้ควงใครมาล่ะ คุณจิตก็บินไปเที่ยวยุโรปแล้ว ส่วนคุณอุ่นก็เห็นจะไม่ไหว รายนั้นไม่ชอบนั่งรถไกลๆ ขืนพามาด้วยก็บ่นจนเราหูชาน่ะสิ”

“ก็คนที่ควรจะรับดอกไม้ช่อนี้น่ะสิคะ รู้มั้ยว่าเพื่อนฉันต้องแอบแช่งคุณอยู่แน่ๆ ที่มาชุบมือเปิบเอาวินาทีสุดท้ายแบบนี้” มุกตาภาได้ทีจึงขอเอาคืนเล็กน้อย

คนถูกกล่าวหามองช่อดอกไม้ในมือสลับกับสีหน้าล้อเลียนของเจ้าสาวก็อดยิ้มขันไม่ได้ “งั้นฝากคุณมุกเอาดอกไม้ช่อนี้ไปโยนใหม่อีกทีสิครับ รับรองว่าผมจะยืนไกลๆ ไม่ล้ำเส้นพวกเธออีกแน่ๆ”

มุกตาภาหัวเราะเสียงใส “คงไม่ได้แล้วละค่ะ เดี๋ยวจะไม่ขลัง ว่ากันว่าผู้หญิงโสดที่รับช่อดอกไม้ของเจ้าสาวได้จะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป ฉันว่าคุณเอาไปมอบให้ว่าที่เจ้าสาวของคุณจะดีกว่ามั้ยคะ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะ”

“งั้นคงต้องเก็บไว้กับตัวแล้วละครับ คงไม่มีใครอยากเป็นเจ้าสาวของผมแน่ๆ” ชายหนุ่มว่าพลางหัวเราะเสียงแปร่งโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต

“เพื่อนฉันยังโสดกันทุกคนเลยนะคะ คุณอยากมอบให้ใครเป็นพิเศษรึเปล่าล่ะ ฉันเชียร์เต็มที่เลย” หญิงสาวยังคงเย้าแหย่อย่างเป็นกันเอง

ชานนท์วางสีหน้าไม่ถูก รู้สึกสยองมากกว่าจะยินดีกับคำแนะนำของหญิงสาว

“พอแล้วครับมุก เพื่อนผมกลัวจนหน้าเหลือสองนิ้วแค่นั้นเอง”

ชานนท์มองเพื่อนกับเจ้าสาวที่ยืนหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนานก็รู้สึกเคืองขึ้นมาตงิดๆ

เจ้าบ่าวเห็นตาคมขุ่นของเพื่อนจึงหยุดหัวเราะแล้วหันไปหาเจ้าสาว “คุณไปคุยกับเพื่อนเถอะครับ ผมจะพานนท์ไปทักทายคุณพ่อคุณแม่ทางโน้นหน่อย พอเรียนจบแล้วก็ไม่ค่อยได้เจอกันเลย”

“เชิญตามสบายนะคะคุณนนท์ ขอบคุณที่มาร่วมงานค่ะ อ้อ แต่ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่บอกฉันได้เลยนะคะ จะได้ช่วยปูทางให้” หญิงสาวบอกยิ้มๆ ขณะมองช่อดอกไม้ในมือเขา

ชานนท์ก้มมองของที่อยู่ในมือด้วยสีหน้าพิลึก เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกทีหญิงสาวก็เดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนๆ แล้ว เขาส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มคาดโทษแต่ไม่จริงจังนัก ก่อนจะถอนสายตากลับมามองเพื่อนยิ้มๆ “มิน่าล่ะ ร้ายแต่ก็น่ารักแบบนี้นี่เองถึงได้เอานายอยู่”

เจ้าบ่าวหัวเราะ ยกมือพาดไหล่หนาของเพื่อนที่มีความสูงในระดับพอฟัดพอเหวี่ยงกัน “แน่นอนอยู่แล้ว”

ชานนท์อมยิ้มในหน้าพลางโคลงศีรษะด้วยความอัศจรรย์ใจ หากเป็นเมื่อก่อนโดนแซวแบบนี้เขาคงได้สายตาดุจัดจากภรัณยูตอบมาแทนเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแน่ๆ และนั่นก็ทำให้เขาประจักษ์แก่ใจ

ความรักเปลี่ยนเพื่อนของเขาไปแล้วจริงๆ...



“ถึงว่าหน้าตาคุ้นๆ ที่แท้ก็ตานนท์นี่เอง เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ไม่เจอซะนาน ดูคมเข้มขึ้นนะเนี่ย” คุณวิภาดาทักทายด้วยน้ำเสียงปรานีเมื่อภรัณยูพาแขกที่เดินทางมาเป็นคนสุดท้ายและแย่งซีนสาวๆ ในนาทีอันสำคัญเข้ามาทักทาย

ชานนท์ยิ้มรับด้วยสีหน้าแจ่มใส ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่เคารพรวมถึงบุคคลที่เขาไม่รู้จักอย่างคุณนายเดือนเต็มก็ไม่ได้รับการละเว้นประเพณีปฏิบัติที่สืบเนื่องกันมาช้านาน

ครอบครัวของภรัณยูรู้จักชานนท์เป็นอย่างดีอยู่แล้วเพียงแต่หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้พบเจอกันเลยจึงมีเรื่องให้ถามไถ่และพูดคุยมากมายจนคล้ายเวลาจะเดินเร็วขึ้นเป็นพิเศษ เขาอยู่ร่วมสังสรรค์ตามธรรมเนียมในค่ำคืนของการเฉลิมฉลองจนถึงฤกษ์ส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอจึงได้ขอตัวกลับ

แม้จะได้รับการคะยั้นคะยอจากเจ้าของบ้านให้ค้างคืนเสียที่นี่ แต่เขาก็ให้เหตุผลว่ามีธุระต้องกลับไปจัดการที่กรุงเทพฯ จึงหลุดพ้นจากแรงเชียร์ของคุณวิภาดาออกมาได้

ชายหนุ่มเหลือบมองช่อดอกกุหลาบตูมสีขาวด้วยความขบขัน ขณะที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้างกันนั้นคือซองเอกสารที่เขาพยายามไม่ใส่ใจ แต่เมื่อเห็นมันอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมาอย่างหนักหน่วง

เขาคงต้องกลับไป ‘ที่นั่น’ จริงๆ สินะ...










Create Date : 19 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2557 13:00:08 น. 0 comments
Counter : 526 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nawapat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




...เขียนเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็หยุด สนองนี้ดมันไปตามอารมณ์ ^^"...
Friends' blogs
[Add nawapat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.