Group Blog
 
 
ธันวาคม 2557
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
22 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 

My bad guy - หนียังไงก็ใช่เธอ! @ 7 @ ผิดแผน




ค่ำนี้คุณหญิงพรรณรายมีกำหนดการต้องไปร่วมงานระดมทุนช่วยเหลือเด็กกำพร้าตามนโยบายหลักของสมาคมคุณหญิงจึงนัดแนะกับคุณมณีไว้ว่าจะใช้โอกาสนี้ให้วีรภัทร์กับพิริมาได้พบกัน เธออ้างว่าปวดหัวและขอให้พิริมาไปเป็นตัวแทนซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลย แต่มีเรื่องผิดแผนเล็กน้อยตรงที่หญิงสาวขอให้พิณณิศาไปด้วยเพื่อเป็นข้ออ้างเวลาจะขอตัวกลับ

คุณหญิงรู้ทันว่าคนต้นคิดคงเป็นแม่หลานสาวคนเล็กเสียมากกว่า เจ้าหล่อนงอแงขอไปงานกับเธอหลายหนแล้ว เธอไม่เต็มใจนักแต่ก็ไม่อยากขัดใจพิริมาจึงอนุญาตโดยดี

อันที่จริงคุณหญิงอยากให้หลานสาวคนรองไปด้วยมากกว่า หากแต่รู้ดีว่าเกลี้ยกล่อมไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า งานหรูเลิศที่สาวๆ ต้องแต่งตัวเจิดๆ ไปประชันกันนั้นไม่เคยอยู่ในความสนใจของพิศิตา ต่อให้พูดจนปากฉีกถึงรูหูเจ้าหล่อนก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ เธอจึงเลิกบีบบังคับหลานสาวคนนี้ไปโดยปริยาย

นีน่าได้รับคำสั่งให้เป็นผู้ขับรถคอยรับส่งสองสาวและดูแลพวกหล่อนเท่าชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ผู้จัดการคนสนิทแสนจะเต็มใจเพราะได้เปิดหูเปิดตาและกินฟรีแบบไม่ต้องควักเนื้อตัวเองสักแดงเดียว

เมื่อทั้งสามคนเดินทางมาถึงงานพิริมาก็ต้องแยกตัวไปทำหน้าที่แทนผู้เป็นย่าโดยมีนีน่าคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง พิณณิศาเห็นว่าได้จังหวะเหมาะจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำแล้วหายจ้อย ปล่อยให้พี่สาวกับผู้จัดการส่วนตัววุ่นวายอยู่กับงานของผู้เป็นย่าอย่างไม่สนใจ

ในงานคนเยอะเรื่องก็แยะเกินกว่าที่พิริมาจะมีเวลาใส่ใจน้องสาว กว่าเธอจะเสร็จธุระจากการทักทายปราศรัยกับบรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลายก็เล่นเอาเหงือกแห้งกับการส่งยิ้มหวานๆ ให้ทุกคนจนนีน่าอดแซวไม่ได้

“คืนนี้น้องพรีมยอดเยี่ยมไปเลยนะคะ ถ้าคิดจะมาช่วยงานคุณหญิงย่าขา พี่นีน่ารับรองว่าเกิดชัวร์ น้องพรีมต้องเป็นสาวสังคมสงเคราะห์คนดังที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยแน่นอนค่ะ พี่นีน่าขอฟันเฟิร์ม”

“พรีมชอบเป็นนางแบบมากกว่าค่ะ ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกของใครมากมายขนาดนี้ คุณย่าคงเหนื่อยน่าดูเลยแต่ก็ยังไม่คิดจะเลิกทำ พรีมเพิ่งรู้นะคะว่างานนี้ไม่ใช่ว่าดังและรวยเท่านั้นก็ทำได้ มันต้องอาศัยใจรักด้วยจริงๆ”

“อย่างคุณหญิงย่าขาน่ะใจรักค่ะ แต่คนอื่นพี่นีน่าไม่แน่ใจ เห็นแต่ละนางมั้ยคะ ร้านเพชรเคลื่อนที่กันทั้งนั้น ไม่รู้ว่ามางานการกุศลหรือมาอวดร่ำอวดรวยกันแน่” นีน่าบุ้ยใบ้ไปรอบงานซึ่งคำพูดนั้นก็ไม่ได้ผิดไปจากสิ่งที่เห็นเลยสักนิด

พิริมาถอนใจเบาๆ แต่แล้วก็นึกได้ว่าน้องสาวหายตัวไปจึงหันกลับมาจ้องหน้าผู้จัดการส่วนตัวอย่างแตกตื่น

“ยายแพงหายไปไหนคะพี่นีน่า”

“อุ๊ยตาย!” นีน่ายกมือทาบอก สีหน้าตระหนกยิ่งกว่า

“นั่นสิคะน้องพรีม พี่นีน่าลืมน้องแพงไปสนิทใจเลย หายไปไหนของเขานะ ตายๆๆ ถ้าน้องแพงเป็นอะไรไปพี่นีน่าดวงถึงฆาตแน่เลยค่ะน้องพรีมขา”

“คงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่จะก่อเรื่องรึเปล่าพรีมไม่แน่ใจนัก เราแยกย้ายกันตามหาดีกว่านะคะ ถ้าเจอตัวยายแพงแล้วพามาตรงนี้ก็แล้วกัน พรีมกลัวน้องไปก่อเรื่องที่ไหน”

“ต๊าย! หนูพรีม ป้านึกอยู่แล้วว่าหนูต้องมางานนี้” เสียงทักทายด้วยความยินดีของคุณมณีดังขึ้นในจังหวะที่พิริมากับนีน่ากำลังจะแยกย้ายกันไปตามหาพิณณิศา

หญิงสาวยกมือไหว้และแนะนำให้คุณมณีรู้จักผู้จัดการส่วนตัว เพราะอีกฝ่ายเข้ามายืนประชิดและทำท่าจะตะปบเธอเอาไว้หากคิดจะเดินหนีไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณมณี” นีน่าไหว้อย่างอ่อนช้อยพร้อมโปรยยิ้มหวานจ๋อยยิ่งกว่าพิริมาเสียอีก ได้ยินเรื่องลูกชายสามหน่อของคุณมณีจากนางแบบคนสวยแล้วจึงไม่แปลกใจนักที่ได้พบอีกฝ่ายในงานนี้ด้วย

“สวัสดีจ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ว่าแต่มากันสองคนเหรอจ๊ะหนูพรีม”

“ยายแพงก็มาด้วยค่ะ” พิริมาตอบและอดจะมองหาสาวน้อยหน้าตาแฉล้มสดใสในชุดราตรีสั้นสีส้มอ่อนไม่ได้

“โอ...หนูแพงก็มาด้วยเหรอจ๊ะเนี่ย ดีจังวันนี้ตาวีร์ก็มาด้วยนะ หนูพรีมเจอพี่เขารึยังจ๊ะ” คุณมณียิ้มเยื้อน ซ่อนความเสียดายเอาไว้ในสีหน้า ถ้ารู้ก่อนว่าพิณณิศาจะมางานนี้เธอจะได้ลากพีรภัทร์มาด้วย คุณหญิงนะคุณหญิง ไม่ส่งข่าวกันบ้างเลย!

“ยังเลยค่ะคุณป้า พรีมมัวแต่ยุ่งทำหน้าที่แทนคุณย่าอยู่น่ะค่ะ”

“อ้อ เหรอจ๊ะ ลำบากหนูพรีมแย่เลยนะ”

“ไม่ลำบากหรอกค่ะ คุณย่าทำงานหนักกว่าพรีมเยอะเลย”

“น่ารักจริงๆ เลยหนูพรีมเนี่ย ได้ยินแล้วก็ชื่นใจแทนคุณหญิง แล้วนี่มากันยังไงจ๊ะ” คุณมณีหาหนทางสานสัมพันธ์แทนลูกชาย ถึงจะพลาดคู่เล็ก แต่คู่ใหญ่ เธอไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดมือแน่

“มารถพี่นีน่าค่ะ”

ผู้สูงวัยพยักหน้ายิ้มๆ พลางหันไปสบตานีน่า “งั้นเหรอจ๊ะ เดี๋ยวขากลับให้ป้ากับตาวีร์ไปส่งดีกว่า คุณนีน่าจะได้รีบกลับไปพักผ่อน”

นีน่ากะพริบตาปริบๆ แต่ด้วยเป็นคนหัวไวอยู่แล้วจึงเข้าใจท่าทีของคุณมณีได้ทะลุปรุโปร่ง “เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ คุณหญิงคงไม่ว่าอะไรถ้าได้คุณมณีกับลูกชายไปส่งน้องพรีมน้องแพง ดีเหมือนกันนะคะ ตอนนี้นีน่าชักจะรู้สึกมึนๆ ขึ้นมาแล้วละค่ะ” ว่าแล้วก็ทำท่าเซ แถมโชว์มึนให้ดูอีกด้วย

พิริมาเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าและแอบถลึงตาใส่ผู้จัดการส่วนตัวอย่างรู้ทัน “พรีมขับรถไหวค่ะ ให้พี่นีน่านั่งสบายๆ ตอนขากลับก็ได้ ถ้าขับรถกลับบ้านไม่ไหวจริงๆ ก็ค้างด้วยกันซะเลย พรุ่งนี้เราต้องไปอัดรายการที่สตูดิโอแถวบ้านพรีมด้วยนี่คะ เอาแบบนั้นสะดวกกว่า จะได้ไม่รบกวนคุณป้ากับพี่วีร์ด้วยค่ะ”

นีน่าขมวดคิ้ว จำได้ว่าพรุ่งนี้พิริมามีคิวอัดรายการ แต่ไม่ได้อยู่ใกล้บ้านศุภกุลแม้แต่น้อย นั่นแปลว่านางแบบสาวจงใจโกหก และหากหล่อนยังไม่ยอมหยุดเข้าข้างคุณมณีอีก มีหวังพรุ่งนี้โดนหนักแน่ คิดได้ดังนั้นจึงปิดปากให้สนิท ไม่กล้าแย้งสิ่งใดอีก



พิณณิศาออกอาการมึนๆ หลังหยิบเครื่องดื่มจากบริกรมาจิบเหมือนที่คนอื่นเขาทำกันเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นคนแปลกแยก เธอไม่รู้ว่ามันมีส่วนผสมของอะไรบ้าง แต่ก็พอรู้ว่ามีแอลกอฮอล์เจือปนด้วยแน่นอนจึงกลั้นใจดื่มไปสองแก้วเน้นๆ เพื่อพิสูจน์ว่าตนสามารถออกงานได้โดยไม่ขายหน้าผู้เป็นย่า ความจริงรสชาติมันก็ไม่เลวนักแต่ถ้าให้เปรียบเทียบกับน้ำผลไม้ เธอขอเลือกอย่างหลังมากกว่า

สาวน้อยเริ่มรู้สึกว่าพื้นโคลงเคลงเหมือนยืนอยู่บนเรือจึงเดินเซๆ ผ่านคนแปลกหน้าออกมาด้านนอก เธอต้องการอากาศบริสุทธิ์ก่อนที่จะขย้อนอาหารในท้องออกมาจนหมดให้ขายหน้าคนทั้งงาน เพราะมันจะไม่จบแค่นั้น ในฐานะที่เธอเป็นหลานสาวของนายกสมาคมคุณหญิง คงไม่ดีแน่หากให้ทุกคนเห็นว่าเธอเมาและอ้วกกลางงานเลี้ยงเพียงแค่จิบเครื่องดื่มเบาๆ ไปสองแก้วเท่านั้น

ยิ่งเดินพิณณิศาก็ยิ่งรู้สึกว่าโลกตีลังกากลับหลัง เธอหันไปมองคนรอบตัวแต่ก็ไม่รู้จักใครสักคนจึงตัดสินใจว่าต้องช่วยตัวเอง ร่างเล็กเดินหลบคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่แถวหน้างาน นึกว่าคำนวณถูกแล้วเชียวแต่ตามันลายๆ จึงชนเข้ากับหนึ่งในกลุ่มนั้นอย่างจัง ร่างบางเซจนเกือบล้มถ้าไม่ได้มือของใครบางคนช่วยยึดไว้

“ขอโทษค่ะ” เธออ้อมแอ้มบอกพลางสลัดศีรษะไปมา

“ไม่เป็นไรครับ คุณไม่สบายรึเปล่า”

เสียงถามอย่างห่วงใยนั้นทำให้คนตัวเล็กต้องเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเขามีตั้งสามหัว

“ว่าไงครับ เป็นอะไรรึเปล่า” อีกฝ่ายถามซ้ำ

“แพง...มึนหัวค่ะ ขอโทษด้วย” เธอเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด ปัญหามันอยู่ที่เธอกำลังเมาต่างหากล่ะ

“งั้นให้ผมไปส่งดีกว่านะครับ” ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นดวงหน้าหวานใสของคนที่เดินมาชนตัวเอง เขาแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักสาวน้อยผู้นี้มาก่อน แต่ตั้งใจจะทำความรู้จักเธอให้ได้ในคืนนี้แหละ

“แพงมากับพี่สาวค่ะ อยู่ข้างใน” เธอรีบบอก

“แต่ท่าทางคุณจะไม่ไหวนะครับ ให้ผมไปส่งเถอะ” เขาบอกพร้อมยิ้มเก๋ให้หญิงสาว เพื่อนในกลุ่มต่างอมยิ้มอย่างรู้ใจ นทีติดใจสาวน้อยคนนี้เสียแล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ” เธอปฏิเสธอย่างสุภาพ ก็คุณย่าสอนไม่ให้ไว้ใจคนแปลกหน้านี่นา...

“ผมชื่อนทีครับ คุณไว้ใจผมได้” ชายหนุ่มบอกเสียงนุ่ม ยังไม่ยอมปล่อยแขนกลมกลึงให้เป็นอิสระ ตั้งใจว่าคืนนี้ต้องรู้จักบ้านเธอให้ได้ คนอย่างเขาสนใจใครแล้วไม่เคยผิดหวัง

“แต่เราไม่รู้จักกัน ปล่อยแพงเถอะค่ะ แพงจะไปหาพี่สาว” พิณณิศายังคงยืนกรานปฏิเสธ แต่คราวนี้เสียงแข็งขึ้น เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยแขนเธอเสียที ความที่กลัวว่าคนแปลกหน้าจะพาเธอออกไปจากงานทั้งที่ไม่ยินยอมทำให้ร่างเล็กเริ่มดิ้นรน

“ขอโทษด้วย นี่น้องสาวผมเอง” เสียงหนึ่งขัดขึ้น ไม่ต้องอาศัยรูปร่างสูงใหญ่ของเขา แค่น้ำเสียงเย็นเฉียบนี่ก็ทำเอาหลายคนสะดุ้งทีเดียว

วีรภัทร์แตะมือที่ยึดแขนของพิณณิศาไว้อย่างสุภาพ หากนัยน์ตาคมกริบจริงจังและเด็ดขาดพอให้อีกฝ่ายยอมปล่อยมือโดยดี แล้วเขาก็รับร่างเล็กบางเข้ามาประคองไว้แทน

คนกำลังมึนได้ที่เงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่งงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอเขาแล้วรู้สึกดีใจ อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าต้องปลอดภัยแน่เมื่ออยู่ในความคุ้มครองของวีรภัทร์

“ไหนคุณบอกว่ามากับพี่สาวไงครับ คุณเป็นพี่ชายเธอแน่เหรอ” นทีถามอย่างไม่ไว้วางใจ

“คุณสงสัยอะไรในตัวผมงั้นหรือ” วีรภัทร์มองตอบด้วยสายตาเยือกเย็น

“เรารู้จักกันค่ะ และแพง...ไว้ใจเขา” คนกลางเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด

อาจเป็นเพราะคำว่า ‘ไว้ใจ’ ที่ทำให้ใบหน้าถมึงทึงของผู้มาใหม่อ่อนโยนลงนิด แต่ยังเคร่งจัดกับคนแปลกหน้า

นทีอยากจะพูดอะไรสักอย่างที่แสดงถึงความเป็นมิตร เมื่อสาวน้อยยืนยันว่ารู้จักกับหนุ่มหน้าเข้มและอีกฝ่ายก็อ้างว่าเป็นพี่ชายของเธอ แต่เมื่อสบตาดุดันของผู้มาใหม่แล้วเขาก็รู้ว่าจะไม่ได้รับไมตรีตอบแทนจึงปิดปากเสีย

“เรารีบไปกันเถอะค่ะ ป่านนี้พี่พรีมคงเป็นห่วงแพงแย่แล้ว” พิณณิศารบเร้าคนข้างๆ เพราะเกรงจะเกิดเรื่อง

“งั้นเราขอตัวก่อน” วีรภัทร์ใช้น้ำเสียงสุภาพเกินจำเป็น ท่าทางที่แสดงออกก็ดูมีอำนาจ น่าเกรงขาม แล้วเขาก็ช่วยประคองหญิงสาวออกมาข้างนอกเพื่อให้เธอได้รับอากาศบริสุทธิ์ ด้วยพอจะดูออกว่าพิณณิศาเป็นอะไร

“พี่พรีมอยู่ข้างในค่ะ” คนตัวเล็กบอกเสียงเบาเมื่อนั่งรับลมเย็นๆ ได้สักครู่และเริ่มรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว

“ไม่เคยดื่มแล้วดื่มทำไม” นั่นไม่ใช่คำถามแต่เขากำลังอบรมเด็กแก่แดด

สาวน้อยเอียงคอมองคนข้างๆ แก้มใสมีสีเลือดฝาดน่ามองด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไป อุบอิบแก้ตัวเบาๆ “ถ้าไม่หัดไว้ต่อไปแพงก็ดื่มไม่ได้น่ะสิ”

“คิดอะไรไม่เข้าท่า ถ้าฉันไม่มาเจอซะก่อนมันจะเกิดอะไรขึ้นรู้มั้ย”

วีรภัทร์ได้ยินคำแก้ตัวแล้วก็ฉุนกึก ตาคมดุมองเด็กเกเรอย่างใช้ความอดทน เมาแอ๋แบบนี้แล้วยังริจะลองซ้ำอีก

พิณณิศาหน้างอ มองเขาอย่างตัดพ้อ “แพงแค่อยากเรียนรู้เท่านั้น มันผิดด้วยเหรอ”

“ยังจะมาอวดดี ผู้ใหญ่พูดก็หัดฟังบ้าง ถ้าเกิดอะไรขึ้นคนที่เสียใจที่สุดก็คือคุณหญิง หัดคิดถึงคนอื่นบ้างสิ อย่าทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต” เขาตำหนิเสียงเข้ม

แทนที่เธอจะสำนึกและรับฟังคำตักเตือนจากผู้ใหญ่กลับหาข้ออ้างในการทำผิดขึ้นมาเถียง ถ้าเป็นน้องสาวแท้ๆ จะหวดก้นด้วยไม้เรียวให้เข็ดเลย

เธอรู้สึกโกรธแต่เถียงไม่ออก ได้แต่เม้มปาก น้ำตาคลอเบ้าแล้วก็เดินหนีดื้อๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเดินไปไหน รู้แต่ว่าอยากไปให้พ้นผู้ชายใจร้ายคนนี้ เธอแค่ทำผิดนิดเดียวเองทำไมต้องทำเหมือนว่าเธอเป็นอาชญากรด้วย พูดดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องต่อว่ากันถึงขนาดนี้ คนใจร้าย!

“หยุดเดี๋ยวนี้นะแพง” วีรภัทร์เอ่ยด้วยเสียงต่ำลึก ยิ่งเธอเดินหนี เขาก็ยิ่งโมโห แต่เด็กเกเรก็ไม่ได้ทำตามคำสั่ง กลับสาวเท้าให้เร็วกว่าเดิมอีกด้วย

ชายหนุ่มชักจะหมดความอดทนจึงเร่งฝีเท้าตามไป เขาดึงแขนเธอกลับมาส่งผลให้ร่างเล็กปลิวหวือเข้ามาปะทะอกแกร่งอย่างจังแล้วรวบเอวบางไว้โดยอัตโนมัติ มันเป็นเพียงปฏิกิริยาทางร่างกายซึ่งเขาไม่ได้ตั้งใจจะรังแกเด็กไม่รู้จักโตคนนี้เลย แต่จะปล่อยเธอไปก็ไม่ได้ เดี๋ยวได้วิ่งเตลิดออกไปกลางถนนให้รถชนเอาจะแย่กว่านี้มาก

“อะไรอีกล่ะ จะต่อว่าอะไรอีก ปล่อยแพงนะ” เธอทุบกำปั้นลงกับอกเขาอย่างโมโหพร้อมทั้งดิ้นรนเท่าที่มีเรี่ยวแรง แต่ดูเหมือนจะไม่ทำให้อีกฝ่ายสะทกสะท้านแต่อย่างใด

“กลับไปกับฉัน...เดี๋ยวนี้!” เขาบอกเสียงเข้ม “ถ้าพูดกันดีๆ ไม่ฟัง ฉันจะแบกเธอกลับเข้าไปในงาน ไม่เชื่อก็ลองดู”

“คุณไม่กล้าหรอก คนตั้งเยอะ” เธอว่าพลางจ้องหน้าเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“จะลองดูไหมล่ะ?” เขาถามเสียงเครียด โน้มใบหน้าลงมาใกล้เพื่อให้เธอเห็นชัดๆ ไปเลยว่าเจ้าของดวงตาดุดันคู่นี้พร้อมจะทำทุกอย่างหากไม่ยอมฟังกันดีๆ

คนอวดดีชักจะเก่งไม่จริงเมื่อเห็นสายตาดุดันของเขา เธอไม่กล้าหลอกตัวเองว่าชายหนุ่มจะไม่ทำตามที่พูด วีรภัทร์ไม่เหมือนคนชอบพูดเล่น ไม่เลยสักนิด!

แต่ก่อนที่พิณณิศาจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างไม่มีทางเลือกก็มีแสงแฟลชสว่างวาบขึ้นในความมืด วีรภัทร์หันไปมองด้วยความตกใจก่อนจะกดหัวหญิงสาวลงมาซุกที่อกเพื่อหลบซ่อนใบหน้าของเธอจากกล้องตัวหนึ่งที่รัวชัตเตอร์มาทางพวกเขา ถ้าฝ่ายนั้นยอมถอยเรื่องก็จะจบโดยไม่มีอะไรพาดพิงถึงพิณณิศา แต่ถ้าเธอถูกลากเข้ามาปุ๊บ จากนี้ไปชีวิตจะหาความสงบสุขได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อเธอยังต้องทำงานกับเขา

“หยุดได้แล้ว ผมไม่อนุญาตให้คุณถ่ายภาพเรานะ” ชายหนุ่มออกคำสั่งเสียงเข้ม ตวัดนัยน์ตาคมดุจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ

“คุณวีรภัทร์ช่วยตอบหน่อยได้ไหมครับว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใคร ใช่ว่าที่คู่หมั้นที่กำลังเป็นข่าววงในอยู่ตอนนี้รึเปล่า”

คนถือกล้องไม่ยอมหยุดแถมยังตั้งคำถามต่ออีก เขาเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งที่ได้รับเชิญมาร่วมงาน ตอนแรกตั้งใจจะแอบถ่าย แต่เห็นใบหน้าของผู้หญิงไม่ชัดจึงตัดสินใจเข้ามาถ่ายรูปใกล้ๆ ก่อนค่อยขออนุญาตทีหลัง

“ขอโทษด้วย ผมรีบ” ใบหน้าคมคายเรียบจัด ปฏิเสธเสียงเย็นก่อนพาหญิงสาวในอ้อมแขนเดินหนีไปอีกทาง

“ช่วยตอบคำถามหน่อยครับ เธอคือคนที่กำลังเป็นข่าวอยู่ตอนนี้ใช่มั้ย”

นักข่าวหนุ่มยังไม่ยอมแพ้และเดินตามทั้งคู่ไปติดๆ จนกระทั่งเพื่อนร่วมอาชีพที่ยืนอยู่หน้างานเห็นเข้าเลยรีบกรูเข้ามาด้วยความสนใจตามวิสัยเหยี่ยวข่าว

วีรภัทร์ไม่ยอมตอบคำถามแต่พาหญิงสาวเดินออกมาเรียกแท็กซี่ข้างนอกแทนโดยที่เขายังคงกดศีรษะเธอไว้กับอก เพราะต้องการปกป้องพิณณิศาจากสื่อ

หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองใคร ได้แต่ซุกตัวอยู่กับอกของวีรภัทร์นิ่ง ภาพแรกที่นักข่าวได้ไปคงไม่ชัดมาก แต่ถ้าเธอเงยหน้าขึ้นเมื่อไรละก็...เป็นเรื่องแน่!

เมื่อแท็กซี่คันแรกจอด ชายหนุ่มก็ดันคนตัวเล็กเข้าไปในรถก่อนจะรีบตามเข้าไป แต่เขายังคงกอดเธอไว้กับอกเพราะนักข่าวที่ตามมาเล่นขยายวงรอบตัวแท็กซี่อย่างรวดเร็ว

“ผมจะจ่ายให้อย่างงามถ้าคุณพาเราหลบพ้นนักข่าวพวกนี้ได้” ชายหนุ่มบอกเสียงเครียด ขณะมองออกไปนอกรถด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ

“สบายมากครับ ผมขับแท็กซี่มานาน รู้ทางหนีทีไล่ดี” คนขับรถยิ้มกว้าง ก่อนพารถออกตัวซิกแซ็กไปตามถนนอย่างคล่องแคล่วดั่งคำพูด

เมื่อรถออกตัวมาได้สักพักพิณณิศาที่ซุกหน้าอยู่กับอกวีรภัทร์ก็เริ่มขยับตัว ชายหนุ่มคลายอ้อมแขนโดยดี เธอจึงหันกลับไปมองข้างหลัง เห็นแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าตามถนนและตึกรามด้านข้าง รถราวิ่งกันเป็นปกติ ไม่มีรถคันไหนที่ทำท่าว่าจะไล่กวดพวกเธออย่างที่นึกกลัว คนตัวเล็กถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างกัน

“นักข่าวพวกนั้น...แพงทำให้คุณยุ่งยากใช่มั้ยคะ”

ชายหนุ่มนั่งนิ่ง เหลือบเพียงสายตาไปทางคนถาม แม้ในรถจะมืดเพียงใดเขาก็ยังสามารถมองเห็นดวงตากลมโตเป็นประกายที่จ้องมองมาอย่างหวาดหวั่นได้

“รูปแรกคงไม่ชัดเท่าไหร่ แพงไม่เคยออกงานคงไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่คนที่บริษัทอาจจะเดาได้ ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปก็แล้วกัน”

“แล้วคุณล่ะคะ จะตอบคำถามคนอื่นว่ายังไง” เธอถามด้วยความกังวล

“ช่างเถอะ ฉันจะจัดการเอง” เขาตัดบทเรียบๆ ก่อนหันไปบอกแท็กซี่ “ช่วยจอดสวนสาธารณะที่ใกล้ที่สุดนะครับ”

สักครู่รถก็หยุดริมถนน “สวนเบญจสิริครับ ใกล้ที่สุดแล้ว”

ชายหนุ่มจ่ายค่าแท็กซี่ด้วยจำนวนเงินที่มากพอสมควรตามที่ได้บอกไว้ แล้วเขาก็พาคนตัวเล็กไปนั่งที่มุมหนึ่งซึ่งแสงสว่างส่องไปไม่ถึงด้วยมีพุ่มไม้ยืนต้นบดบังเอาไว้ ก่อนจะโทรศัพท์หาน้องชายคนเล็ก

พีรภัทร์เพิ่งอาบน้ำเสร็จในตอนที่โทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อกดรับสายก็ได้ยินเสียงเคร่งเครียดของพี่ชายคนโต

“นายอยู่บ้านใช่มั้ยพีร์?”

“ครับ พี่วีร์มีอะไรรึเปล่า”

“พี่จะไปส่งแพงที่บ้าน นายไปรับแม่ที่งานด้วย อย่าเพิ่งถามอะไร ขอบใจมากนะ แล้วค่อยคุยกัน”

ชายหนุ่มมุ่นคิ้วกับคำสั่งของพี่ชาย จะถามอะไรก็ไม่ทันเพราะฝ่ายนั้นตัดสายไปแล้ว เขาจึงได้แต่รีบแต่งตัวออกไปรับมารดาที่งานด้วยความรู้สึกงงงวย



วีรภัทร์นั่งลงข้างพิณณิศาแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองส่งให้ “ฉันจะไปส่งที่บ้าน โทร. บอกพี่สาวซะ เดี๋ยวจะเป็นห่วง ป่านนี้คงตามหากันให้วุ่น”

คนมีความผิดติดตัวทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย พิริมารับสายในเวลาแค่อึดใจเดียว

“พี่พรีมนี่แพงเองนะ”

“แพงอยู่ที่ไหน พี่เป็นห่วงจะแย่แล้ว มีเรื่องอะไรรึเปล่า” เสียงของพิริมาทั้งโล่งใจและห่วงใยระคนกัน

พิณณิศาได้ยินแล้วยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น อ้อมแอ้มบอกเสียงเบา “แพงกำลังจะกลับบ้านแล้วค่ะ พี่พรีมไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวคุณวีรภัทร์จะไปส่ง เจอกันที่บ้านเลยนะคะ”

“แพงจะกลับกับใครนะ?”

“คุณวีร์ค่ะ ถึงบ้านค่อยคุยกันนะคะ” เธอรีบตัดบทก่อนจะโดนซักไซ้ไล่เลียงไปมากกว่านี้

ดูเหมือนผู้เป็นพี่จะประหลาดใจไม่น้อย อย่าว่าแต่พิริมาเลยเธอเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าคืนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จู่ๆ เธอก็ต้องหลบนักข่าวออกมาจากงานพร้อมวีรภัทร์ ถ้ามีใครบอกก่อนว่าการออกงานครั้งแรกของเธอจะน่าตื่นเต้นแบบนี้ เธอคงนอนดูทีวีอยู่ที่บ้านสบายใจกว่า

สาวน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะที่คนข้างๆ เงียบกริบ สักพักเธอก็พูดเสียงอ่อย สีหน้าจืดจ๋อยหมดฤทธิ์โดยสิ้นเชิง “คุณย่าคงไม่ยอมให้แพงไปไหนอีกแล้วถ้ารู้ว่าแพงแอบดื่ม”

เขาเหลือบมองท่าทางเซื่องซึมของคนตัวเล็กแล้วก็ใจอ่อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น “งั้นก็ไม่ต้องบอก”

“แพงทำไม่สำเร็จแน่ คุณย่าต้องสงสัยถ้าเห็นแพงกลับกับคุณ ไหนจะนักข่าวพวกนั้นอีก ถ้าเรื่องนี้เป็นข่าวคุณย่าก็ต้องจับได้อยู่ดี แพงโกหกไม่ได้”

ปกติพิณณิศาไม่เคยมุสากับคุณหญิงมาก่อน แค่ท่านมองด้วยสายตาสำรวจก็ทำให้หลานสาวคนเล็กผวาและหลุดทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก ยิ่งเรื่องนี้หากลำดับเหตุการณ์แล้วมันก็มีจุดเริ่มต้นจากการที่เธอดื่มจนมึนเป็นเหตุให้วีรภัทร์เข้ามาช่วย ก่อนจะทะเลาะกันและมีนักข่าวมาแอบถ่ายรูป สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการหนีนักข่าวออกมากับเขา ถ้าพรุ่งนี้มีข่าวในหนังสือพิมพ์รับรองว่าคุณหญิงเข้าใจทะลุปรุโปร่งแน่ นั่นแปลว่าเธอไม่มีวันโกหกได้สำเร็จ

“งั้นก็ไม่ต้องพูดอะไร ให้ฉันจัดการเอง ไปเถอะ” เขาว่าพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

พิณณิศาเงยหน้าขึ้นสบตาคมในเงามืด สีหน้ายังดูวุ่นวายใจไม่สร่างจนเขาต้องปลอบโยน

“ไม่เป็นไรหรอก ทุกอย่างจะเรียบร้อย แค่กลับบ้านแล้วเข้านอนซะ ที่เหลือฉันจะคุยกับคุณหญิงเอง”

เธอลุกขึ้นยืนช้าๆ ในขณะที่ยังสบตากับเขาอยู่ เมื่อมองใกล้ๆ ก็ยิ่งเห็นว่านัยน์ตาคมดุที่เคยเห็นและไม่ประทับใจเลยสักนิดในครั้งแรกที่พบ วันนี้กลับดูอ่อนโยน อบอุ่น และให้ความรู้สึกมั่นคงกับเธอได้อย่างน่าประหลาดใจที่สุด รอยยิ้มใสๆ กระจายทั่วใบหน้าเรียวเล็ก

“ความจริงคุณ...พี่วีร์ก็ใจดีเหมือนกันนะคะ” พิณณิศาเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกเขาอย่างห่างเหินให้ใกล้ชิดขึ้น

คนใจดีถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่นึกว่าจะได้รับคำชมจากพิณณิศา เสียงเรียก ‘พี่วีร์’ ก็กระทบใจและชวนฟังอย่างประหลาด ทั้งหมดนั่นทำให้เขารู้สึกว่าความเป็นตัวของตัวเองถูกสั่นคลอน

ใบหน้าคมคายกลับมาเรียบขรึมอีกครั้ง นัยน์ตาอ่อนแสงแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งลึกอ่านยากเช่นเคย เขาไม่ปรารถนาให้ใครอ่านใจออกโดยเฉพาะสาวน้อยที่ไร้เดียงสาจนน่าเป็นห่วงคนนี้

“รีบไปเถอะ”

ร่างสูงเดินนำไปโบกแท็กซี่ที่ริมถนนโดยไม่เหลียวหลัง ในขณะที่พิณณิศาอมยิ้มกับตัวเอง

เธอไม่เข้าใจตัวตนของวีรภัทร์นัก แต่จากการที่เขาปลอบใจว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยทำให้เธอรู้อย่างหนึ่งว่า...เขาไม่ใช่คนใจร้ายเสียทีเดียว



ขณะที่วีรภัทร์นั่งแท็กซี่กลับบ้านศุภกุลไปกับพิณณิศาที่งานเลี้ยงระดมทุนเพื่อเด็กกำพร้าก็มีความวุ่นวายเกิดขึ้น นีน่างงเป็นไก่ตาแตกเมื่อทราบว่าพิณณิศากลับไปแล้ว ด้วยความที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของพิริมา ชายไทยใจหญิงเกินร้อยอย่างหล่อนจำเป็นต้องมีความรู้ (เรื่องชาวบ้าน) รอบตัวเพื่อเป็นฐานข้อมูลให้ตัวเองรู้สึกว่าอัปเดตอยู่ตลอดเวลา

หน้าที่นั้นส่งผลต่อการใช้ชีวิตส่วนตัวทำให้มีนิสัยชอบล้วงลึกกับทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องน้องนุชสุดท้องของบ้านศุภกุล หล่อนเพิกเฉยไม่ได้เด็ดขาด หาไม่แล้วอาจหมดอนาคตไม่รู้ตัว คุณหญิงพรรณรายเป็นหนึ่งคนจริงที่หล่อนมิบังอาจงัดข้อ

“น้องแพงกลับบ้านยังไงคะ ใครไปส่ง น้องพรีมบอกหน่อยซิคะ ถ้าพี่นีน่าพาหลานสาวคุณหญิงย่าขากลับไปไม่ครบ มีหวังน้องพรีมได้หาผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่แน่ๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะคะ คุณหญิงย่าขานี่ขลังจริงอะไรจริง พี่นีน่าไม่กล้าเสี่ยง”

“พี่วีร์ไปส่งค่ะ” พิริมาตอบอย่างไม่สบายใจนัก สงสัยอยู่ครามครันว่าสองคนนั้นทำไมถึงกลับไปด้วยกันได้ เธอสังหรณ์ใจว่าน้องสาวอาจก่อเรื่องเข้า แต่จะเป็นเรื่องอะไรคงต้องไปไต่ถามกันที่บ้านสถานเดียว

“วีร์?” นีน่าทวนพลางครุ่นคิด สักพักก็ทำตาโต ยกมือทาบอก

“อย่าบอกนะคะว่าคุณวีรภัทร์ที่คุณหญิงย่าหมายมั่นปั้นมือจะได้เป็นหลานเขยคนโต แหม...อย่างนี้ก็เข้าทาง แต่เอ๊ะ! แล้วไปไงมาไงสองคนนั่นถึงชิ่งกลับก่อนเราได้ กลิ่นมันทะแม่งๆ นะคะเนี่ยน้องพรีม”

“เรารีบกลับกันเถอะค่ะ พรีมสังหรณ์ใจว่ายายแพงจะเกิดเรื่อง”

พิริมาไม่สนใจจะตอบคำถาม เดินรี่นำนีน่าออกจากงานไปอย่างรวดเร็ว

“กำลังจะกลับกันเหรอจ๊ะหนูพรีม” เสียงทักของคุณมณีดังขึ้น ก่อนที่พิริมากับนีน่าจะเดินพ้นประตูห้องจัดเลี้ยง

“ให้ป้าไปส่งนะ ยังไงป้าก็ต้องไปรับตาวีร์อยู่แล้ว”

หญิงสาวขมวดคิ้ว รู้สึกว่าลางสังหรณ์ของเธอจะเป็นจริงเข้าแล้วจึงหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวด้วยเสียงราบเรียบ “พี่นีน่าไปเถอะค่ะ พรีมกลับกับคุณป้าก็แล้วกัน”

“จะดีเหรอคะน้องพรีม ถ้าคุณหญิงย่าขารู้ว่าพี่นีน่าไม่พาน้องพรีมกลับไปส่งบ้านด้วยตัวเองทั้งที่มีเรื่องอย่างนี้ พี่นีน่ามีสิทธิ์ถูกเชือดคอนะคะ” นีน่าทำท่าปาดคอตัวเอง สายตาละห้อย

“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณนีน่า ฉันจะไปส่งหนูพรีมให้ถึงบ้าน ถ้ามีอะไรฉันรับผิดชอบเอง” คุณมณียืนยันหนักแน่น

“เอางั้นก็ได้ค่ะคุณมณี นีน่าขอฝากน้องพรีมด้วยนะคะ” นีน่าต้องยอมรับอย่างจำใจเพราะตอนนี้หล่อนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมากกว่ากลับบ้านอย่างคาใจ และต้องนอนไม่หลับเพราะความอยากรู้อยากเห็นจนแทบดิ้นตาย แต่เมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องเดินจากไปอยู่นั่นเอง

“ได้ยินว่าหนูแพงกลับไปกับตาวีร์แล้ว หนูพรีมรู้มั้ยจ๊ะ” คุณมณีเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเคียงพิริมาออกมาที่หน้าโรงแรม

เธอได้รับโทรศัพท์จากพีรภัทร์เมื่อห้านาทีก่อน จากนั้นจึงโทร. ไปถามวีรภัทร์และทราบว่าลูกชายคนโตพาหลานสาวคนเล็กของคุณหญิงพรรณรายกลับบ้านแล้ว

“ค่ะ น้องโทร. บอกพรีมแล้ว”

“แล้วหนูพรีมรู้มั้ยจ๊ะว่าทำไมสองคนนั้นถึงกลับไปด้วยกันได้” คำถามนั้นบอกชัดว่าคุณมณีไม่รู้เรื่องด้วย

“ไม่ทราบค่ะ ยายแพงบอกแต่ว่าพี่วีร์ไปส่ง”

“อืม...น่าสงสัยจริง มีเรื่องอะไรรึเปล่านะ” ผู้สูงวัยปรารภกับตัวเอง หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ต่างจากพิริมานัก

“พรีมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ”

“เดี๋ยวเราคงได้รู้ ไปกันเถอะจ้ะ ตาพีร์รออยู่โน่นแน่ะ” เธอแตะแขนพิริมาพลางพยักพเยิดไปทางรถยนต์สีดำมันปลาบที่จอดรออยู่

หญิงสาวชะงักเมื่อรู้ว่าพีรภัทร์เป็นคนขับรถให้คุณมณี แต่แล้วเธอก็เดินตามไปด้วยท่าทีปกติ ไม่แสดงกิริยาใดๆ แม้จะสงสัยอยู่ครามครันว่านี่มันเรื่องอะไรกันนักหนา?

“ไปส่งหนูพรีมที่บ้านเลยนะตาพีร์” คุณมณีบอกลูกชายเมื่อขึ้นมานั่งข้างคนขับ ส่วนพิริมานั่งเบาะตอนหลัง

เขารับคำง่ายๆ เหลือบมองผู้ร่วมเดินทางอีกคนผ่านกระจกมองหลังและบังเอิญเจ้าหล่อนก็กำลังมองจุดเดียวกัน

“สวัสดีค่ะคุณพีร์” หญิงสาวทักทายตามมารยาท แม้จะไม่คุ้นเคยกันแถมไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไร แต่คุณหญิงสั่งสอนเธอมาดีเกินไปจึงไม่อาจแกล้งทำเฉยเมยเหมือนคนหย่อนการอบรมได้

“สวัสดีครับ แปลกจัง วันนี้ไม่มีรถรับส่งมาด้วย” เขาอมยิ้มน้อยๆ

พิริมารู้สึกเหมือนถูกล้อเลียนก็เกิดความไม่พอใจแต่เลือกที่จะไม่ต่อปากต่อคำ ผิดกับน้องสาวคนรองหากเจอสถานการณ์เดียวกันเจ้าหล่อนคงลุยแหลก เธออิจฉาพิศิตาที่กล้าทำอะไรตามใจคิดเสมอ แต่เธอก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เหมือนมีความคาดหวังของผู้เป็นย่ารัดคอไว้ ทั้งการวางตัวและคำพูดจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

“หนูพรีมมากับผู้จัดการส่วนตัวจ้ะ แต่แม่ให้กลับไปแล้ว” คุณมณีตอบแทนหญิงสาวที่นั่งคอแข็งอยู่ด้านหลัง

“เหรอครับ” เขาตอบรับคำพูดมารดาแต่หางตาเหลือบมองอีกคน เห็นท่าทีของเธอแล้วก็อดยิ้มเยาะที่มุมปากไม่ได้ พิริมาวางตัวสูงส่งเหมือนเป็นนางฟ้านางสวรรค์ เขาอยากรู้ว่านางฟ้าโกรธไม่เป็นจริงหรือ?

‘คนบ้า กวนประสาท มารยาทแย่!’

พิริมาให้คำจำกัดความพีรภัทร์อยู่ในใจ เธอไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่ชอบเธอนัก แต่เท่าที่รู้ เธอเองก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเช่นกัน ถ้าไม่ต้องเจอะเจออีกเลยคงจะดีมาก แต่ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ก็ขอเกี่ยวข้องกันให้น้อยที่สุดเป็นดี!



วีรภัทร์กับพิณณิศามาถึงบ้านศุภกุลในเวลาเที่ยงคืนเศษๆ คุณหญิงพรรณรายยังไม่เข้านอนเพราะรอหลานสาวทั้งสองคนกลับถึงบ้านก่อน โดยเฉพาะพิณณิศาเพิ่งออกงานครั้งแรก เธอเป็นห่วงจนนอนไม่หลับ แต่เมื่อเห็นว่าหลานสาวคนเล็กกลับบ้านมาพร้อมวีรภัทร์ ทว่าหลานสาวคนโตกลับไม่ได้มาด้วยกันก็ยิ่งแปลกใจแกมกังวล

“มีเรื่องอะไรรึพ่อวีร์ ทำไมมากับแม่แพงได้ แล้วแม่พรีมกับแม่นีน่าหายไปไหนกัน” เสียงคุณหญิงค่อนข้างสุภาพหากก็แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอต้องการคำตอบที่สมเหตุสมผลสำหรับคำถามนี้

“ยังอยู่ที่งานค่ะคุณย่า”

พิณณิศาชิงตอบก่อนเพราะไม่อยากให้วีรภัทร์ต้องอึดอัดกับการสอบสวนกลายๆ ของผู้เป็นย่า

“อย่างนั้นรึแม่แพง” คุณหญิงหันไปมองหลานสาวที่ก้มหน้านิ่งอยู่ข้างชายหนุ่มด้วยแววตาสำรวจก่อนจะย้อนถามอย่างตำหนิ “ย่ากำลังถามพ่อวีร์อยู่นะ เรามาเกี่ยวอะไรด้วย”

“ผมอาสามาส่งแพงเองครับ เราเกิดเรื่องนิดหน่อย” ชายหนุ่มตอบอย่างระมัดระวัง

คุณหญิงขมวดคิ้ว ในขณะที่พิณณิศาถึงกับสะดุ้งวาบ

“เรื่องอะไรล่ะที่บอกว่านิดหน่อย”

“ผมกำลังคุยกับแพงที่หน้างาน มีนักข่าวเข้ามาแอบถ่ายรูปและขอสัมภาษณ์ แต่ผมคิดว่าไม่เหมาะที่จะให้แพงเป็นข่าวด้วยจึงพาหลบออกมาครับ” เขาบอกเท่าที่คุณหญิงจำเป็นต้องรู้

“แค่นั้นรึ?” ผู้สูงวัยที่ผ่านร้อนหนาวมาหลายสิบรอบย้อนถามเสียงเรียบ

“ผมคิดว่าพรุ่งนี้หนังสือพิมพ์อาจลงข่าวไปในทางที่...ไม่ดีนัก แต่ภาพของแพงคงไม่ชัดมาก ไม่น่าจะมีใครรู้ว่าผู้หญิงในข่าวคือเธอ”

“ถ้ามันไม่มีอะไรทำไมต้องหลบหน้านักข่าวด้วยล่ะ มีอะไรที่เธอยังไม่ได้บอกฉันรึเปล่า” คุณหญิงดักคอด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด สรรพนามเปลี่ยนไปโดยพลัน

“เราอยู่นอกโรงแรมครับ ตรงนั้นมืดมากและแทบไม่มีใคร ภาพที่นักข่าวได้ไปคงดูไม่ดีนัก”

“แล้วเธอพาหลานสาวฉันออกไปทำอะไรในที่มืดๆ แบบนั้นล่ะ” คุณหญิงเขม้นมองวีรภัทร์ด้วยแววตาจับผิด

“เราแค่ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์นอกงานครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”

ผู้สูงวัยนิ่งไปและไม่ได้พูดอะไรอีก ชายหนุ่มจึงถือโอกาสบอกในสิ่งที่อยากพูดให้จบ

“ผมอยากเรียนให้คุณหญิงทราบก่อนที่ข่าวจะออกมา เรื่องที่เราอยู่นอกงานด้วยกันมันไม่มีอะไรเลย แต่เรื่องที่ผมพาแพงหลบนักข่าวอาจเป็นปัญหา ผมทำอะไรลงไปโดยไม่ทันคิดให้รอบคอบ เป็นความผิดของผมเองครับ ผมต้องขอโทษคุณหญิงด้วย”

พิณณิศาก้มหน้านิ่ง ใจเต้นตึกตักด้วยความหวาดหวั่น แทบไม่กล้ากระดิกตัวด้วยซ้ำในตอนที่ฟังผู้เป็นย่ากับวีรภัทร์ตอบโต้กัน แต่พอได้ยินเต็มสองหูว่าเขาขอรับผิดคนเดียวทั้งที่ต้นเหตุมาจากเธอแท้ๆ ก็ยิ่งเสียใจ ความจริงแล้วมันเป็นเพราะเธอเมา เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแต่กลับต้องมาตกเป็นจำเลยของคุณย่า ถ้าเธอกล้าพอที่จะพูดความจริง ถ้าเธอมีความกล้ามากกว่านี้...

“แล้วถ้ามันมีข่าวออกมาไม่ดีจริงๆ เธอคิดจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้”

เสียงเข้มของคุณหญิงดังขึ้นหลังจากเงียบงันไปพักใหญ่ นั่นทำให้ความกล้าอันน้อยนิดที่พิณณิศารวบรวมไว้ปลิวว่อนไปคนละทิศละทาง

“ผมจะปิดปากหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่ลงข่าวนี้ แต่สำหรับฉบับเช้าวันนี้คงไม่ทันแล้วครับ แต่ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรบานปลายเพราะเมื่อไม่มีข่าวต่อเนื่องเรื่องก็จะค่อยๆ เงียบไปเอง”

เขาครุ่นคิดมาตลอดทางว่าจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ และเห็นทางออกเดียวคือวิธีที่เรียนให้คุณหญิงทราบไปแล้วนั่นเอง

“ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเองงั้นรึ?”

อีกฝ่ายหรี่ตามองหนุ่มนักวางแผน น้ำเสียงส่อแววไม่พอใจเมื่อเอ่ยต่อ “แล้วถ้าภาพข่าวมันออกมาชัดเจนว่าเป็นแม่แพงล่ะ เธอก็จะปล่อยให้เรื่องเงียบไปเอง หมายความอย่างนั้นใช่มั้ย?”

“ผมขอโทษครับ”

เป็นครั้งแรกที่วีรภัทร์หลบตาคุณหญิง ชายหนุ่มหวังเพียงให้ภาพของพิณณิศาไม่ชัดเจนมากพอให้นักข่าวระบุได้ว่าเป็นใคร แต่ในกรณีนอกเหนือจากนั้นเขาไม่มีแผนสำรอง

พิณณิศามองผู้เป็นย่ากับชายหนุ่มสลับกันไปมาด้วยความหวาดวิตก เรื่องมันยุ่งยากเกินกว่าวิธีแก้ปัญหาของเขาจะจัดการได้ใช่ไหม?

เสียงรถยนต์แล่นมาจอดหน้ามุขท่ามกลางความเงียบงันชวนอึดอัดภายในห้องโถง พิณณิศาใจเต้นแรง ภาวนาให้เป็นพิริมา เธอรู้ว่าคุณหญิงมักจะคล้อยตามสิ่งที่พี่สาวคนโตพูดเสมอ และคราวนี้เธอหวังว่าพี่สาวจะช่วยได้

พิริมาเดินเคียงคุณมณีเข้ามาก่อนโดยมีพีรภัทร์ตามหลังมาติดๆ หญิงสาวเห็นสีหน้าผู้เป็นย่าแล้วก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องแน่ เช่นเดียวกับคุณมณีที่มีสีหน้าเจื่อนลงทุกขณะ พอจะคาดเดาได้ว่าเรื่องที่เกิด ‘ดี’ หรือ ‘ร้าย’

“มีเรื่องอะไรกันเหรอคะคุณหญิง ดิฉันได้ยินว่าตาวีร์มาส่งน้องแพง” คุณมณีพยายามทำใจดีสู้เสือ ก่อนหันไปทางพิณณิศา “น้องแพงเป็นอะไรรึเปล่าลูก”

คนตัวเล็กฝืนยิ้ม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าของเธอดีขึ้นเลย “มีเรื่องนิดหน่อยค่ะคุณป้า”

“ถ้าคิดว่านี่เป็นแค่เรื่อง ‘นิดหน่อย’ ละก็เห็นทีย่าคงต้องอบรมสั่งสอนเราเสียใหม่นะแม่แพง”

เสียงของคุณหญิงเฉียบขาดและเยือกเย็นจนพิณณิศาสะดุ้งเฮือก

พิริมานิ่วหน้า มองผู้เป็นย่าอย่างไม่เข้าใจและคุณหญิงก็มองมาที่เธอพอดี

“พาน้องขึ้นไปข้างบนแม่พรีม ย่ามีเรื่องต้องคุยกับคุณมณี ไม่ต้องลงมาถ้าย่าไม่ตาม” หญิงชราบอกหลานสาวคนโปรดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดที่พิริมาไม่เคยได้ยินมาก่อน

จากที่คิดจะทักท้วงหญิงสาวก็เปลี่ยนใจ พยักหน้ากับพิณณิศาที่นั่งหน้าซีดและมองเธอด้วยสายตาอ้อนวอนอยู่ข้างวีรภัทร์

“ไปแพง ขึ้นไปข้างบนกับพี่”

“แต่ว่าพี่พรีมคะ...” น้องสาวได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความสิ้นหวังเมื่อพี่สาวไม่ยอมช่วยเธอเหมือนทุกครั้ง

“รีบไปเถอะแพง”

พิริมาปรามไม่ให้น้องเล็กดื้อดึง เวลานี้ไม่เหมาะจะพูดอะไร ควรรอให้ผู้เป็นย่าใจเย็นลงก่อนแล้วอยากอ้อนวอนสิ่งใดก็ค่อยทำ

คนอายุน้อยที่สุดในห้องได้แต่เม้มปาก คอตก นัยน์ตาเศร้า ก่อนจะหันไปมองวีรภัทร์อย่างเสียใจ

ชายหนุ่มเหลือบมองหลานสาวคนเล็กของคุณหญิงแล้วพยักหน้าให้เธอทำตามคำสั่ง พิณณิศาจึงเดินไปหาพิริมาและขึ้นชั้นบนด้วยกันอย่างไม่มีทางเลือก



เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องนอนของพี่สาวคนโตแล้วพิณณิศาก็ครวญด้วยเสียงร้อนใจ “ทำยังไงดีคะพี่พรีม เรื่องนี้แพงเป็นคนก่อขึ้นเอง ไม่เกี่ยวกับพี่วีร์เลย”

“มันเรื่องอะไรกันแพง คุณย่าโมโหหนักเลยนะ ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ”

พี่สาวกดไหล่คนเป็นน้องให้นั่งลงคุยกันที่ปลายเตียง ก่อนจะบีบมืออีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ

เมื่อความกดดันยามอยู่ต่อหน้าผู้เป็นย่าคลายลง พิณณิศาก็เริ่มปล่อยโฮ โผเข้ากอดพี่สาวอย่างหาที่พึ่งพิง พิริมาโอบกอดน้องสาวไว้อย่างปลอบประโลม ปล่อยให้น้องร้องไห้จนพอใจ ก่อนจะเริ่มไต่ถามเอาความจริง และพิณณิศาก็บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้พิริมาฟังโดยละเอียดเมื่อได้ร้องไห้จนอารมณ์เริ่มสงบลงแล้ว

“ถ้าคุณย่ารู้ว่าทำไมแพงกับพี่วีร์ถึงไปอยู่ด้วยกันในที่แบบนั้นก็คงไม่โมโหพี่วีร์ใช่มั้ยคะ แพงควรบอกความจริงแล้วให้คุณย่าลงโทษ พี่วีร์ไม่เกี่ยวเลย” เสียงคนเล่ายังสั่นเครือในตอนที่ตั้งคำถาม

พิริมาลูบผมน้องสาวอย่างเบามือ เธอรู้ว่าสิ่งที่พิณณิศาทำไม่ถูกต้องและผู้เป็นย่าคงไม่ชอบใจแน่ แต่หญิงสาวไม่มีนิสัยชอบซ้ำเติมคนที่ทำพลาดและสำนึกผิดแล้วจึงเลือกที่จะปลอบใจมากกว่าตำหนิ “รอดูไปก่อนดีกว่านะแพง พี่ว่าเรื่องคงไม่ร้ายแรงอะไรหรอก คุณย่าเองก็ชอบพี่วีร์มากไม่ใช่เหรอ แพงเคยบอกพี่นี่นา”

“แต่ท่าทางของคุณย่าวันนี้น่ากลัวจริงๆ นะพี่พรีม ไม่รู้พี่วีร์จะโดนอะไรบ้าง” น้องสาวท้วงเสียงละห้อย

“พี่วีร์เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาคงจัดการได้ไม่ต้องห่วงหรอก เท่าที่ฟังมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่ อีกอย่างสิ่งที่เขาทำก็เพื่อปกป้องแพงจากเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย คุณย่าต้องเข้าใจแน่ แต่ถ้าพี่วีร์จัดการไม่ได้ รอให้คุณย่าใจเย็นก่อนแล้วพี่จะช่วยพูดให้ ตอนนี้แพงไปอาบน้ำแล้วก็นอนดีกว่านะ”

“แต่ว่า...”

“ไม่ต้องห่วงมากหรอก พี่วีร์คงมีทางออกไว้แล้ว ถ้าเขาไม่ฉลาดพอคงเป็นเจ้านายคนไม่ได้”

“แพงไม่ได้...เอ่อ...ค่ะ แพงจะไปอาบน้ำ”

พิณณิศาหันหลังวิ่งกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง ปฏิเสธไม่ออกว่ากำลังเป็นห่วงคนที่ต้องมาซวยเพราะความเกเรของเธอ ถ้าเธอเชื่อเขา กลับเข้าไปในงานตั้งแต่แรกก็คงไม่เกิดเรื่อง



“เอาละ คุณมณี บอกฉันหน่อยซิว่าควรจัดการเรื่องนี้ยังไง?” คุณหญิงตั้งคำถามเมื่อทุกคนรู้เรื่องทั้งหมดจากปากของวีรภัทร์แล้ว

“แล้วแต่คุณหญิงจะเห็นสมควรเถอะค่ะ ทางดิฉันไม่มีอะไรขัดข้อง”

อีกฝ่ายตอบทันที ไม่ถามความเห็นใคร ด้วยไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างเธอกับคุณหญิงต้องมีรอยร้าวแม้แต่นิดเดียว

“ผมบอกวิธีจัดการไปแล้วและคิดว่านั่นคือวิธีที่ดีที่สุดครับ”

วีรภัทร์ขัดคอมารดาด้วยเสียงจริงจัง ไม่สนว่าแม่จะถลึงตาปรามแล้วปรามอีกจนตาแทบถลน

“ดีที่สุดงั้นรึ?” คุณหญิงย้อนเสียงสูง สีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“ตาวีร์! ไม่ต้องพูดอะไร อยู่เฉยๆ ให้แม่จัดการเอง“ คุณมณีตีแขนลูกชายและเอ็ดเสียงเขียว

“หมายความว่าชื่อเสียงของแม่แพงจะเป็นยังไงก็ช่างงั้นรึ?” คุณหญิงคาดคั้น อยากให้วีรภัทร์พูดออกมาให้เคลียร์ว่าไม่ใส่ใจจริงๆ

“ผมคิดว่าเรื่องคงไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้นครับ”

ผู้เป็นแม่หยิกแขนลูกชายยิกๆ ให้เงียบปาก กำลังจะแก้ตัวแทน แต่คุณหญิงขัดขึ้นก่อน

“หลังจากที่ข่าวออกไปแล้วเธอคิดหรือว่าคนอื่นจะลืมมันง่ายๆ ยังไงแม่แพงก็ต้องเสียหายอยู่ดี”

“แล้วคุณหญิงคิดว่าผมควรจัดการยังไงครับ ประกาศหมั้นแล้วก็แต่งงานกับพิณณิศาเพื่อรับผิดชอบชื่อเสียงของเธออย่างงั้นเหรอ” วีรภัทร์ประชด

คุณมณีอ้าปากค้าง แทบลมจับกับความอวดดีของลูกชายคนโต

หญิงชราพยักหน้าหงึกหงัก หรี่ตาลึกจ้องมองผู้ชายจองหองที่มองตอบเธออย่างแน่วแน่

“เธอคิดว่าหลานสาวของฉันไม่คู่ควรจะได้รับการปกป้องเช่นนั้นรึ?”

“ผมคิดว่าเธอควรได้รับการปกป้องครับ แต่ไม่ใช่วิธีนี้” เขายังยืนยันเจตนาเดิม

“เธอคิดว่าวิธีของเธอจะปกป้องหลานสาวฉันได้ดีกว่างั้นสิ?”

“ผมขอโทษจริงๆ ครับ แต่ผมคิดว่าแบบนี้ดีสำหรับเราทั้งสองฝ่าย”

เขาวางสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดและมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม

“เธอหมายความว่าจะทำทุกอย่างให้ฉันพอใจ ยกเว้นการแต่งงานกับแม่แพง ฉันเข้าใจแบบนี้ถูกไหม?”

“ครับ” เขายอมรับตรงๆ

นั่นแหละ คือสิ่งที่เขาพยายามทำในตอนนี้

“เอ่อ...คุณหญิงคะ ดิฉันว่าเราจัดการปิดข่าวก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกทีดีมั้ยคะ” คุณมณีรวบรวมความกล้าขัดคอขึ้น

“ทำตามที่ลูกชายคุณบอกเถอะ ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว เอาละ นี่ก็ดึกมากแล้วฉันจะไปพักผ่อนเสียที พวกคุณเองก็ควรกลับบ้านเหมือนกัน” คุณหญิงว่าพลางลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นชั้นบนโดยไม่รอส่งแขก

คุณมณีจนใจจะตามขึ้นไปขอโทษขอโพยแทนลูกชายเพราะอีกฝ่ายเดินหนีแถมยังไล่ส่งกันซึ่งหน้า พอรู้ว่าทำอะไรไม่ได้แล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ตวัดตาเขียวปัดพุ่งไปที่ลูกชายคนโตอย่างโมโห

“แม่ครับ...”

“กลับบ้าน!” เธอบอกเสียงเขียว ไม่ยอมฟังว่าเขาจะพูดอะไรด้วยซ้ำ สะบัดหน้าเดินนำออกไปก่อนใคร

พีรภัทร์ตบไหล่พี่ชายอย่างให้กำลังใจ “เรากลับกันเถอะครับพี่วีร์ ไม่นานแม่ก็หายโกรธเองแหละ”

วีรภัทร์ไม่ตอบ ได้แต่ถอนใจหนักหน่วง เดินเคียงน้องชายออกไปเงียบๆ

นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด การแต่งงานระหว่างเขากับพิณณิศาเป็นไปไม่ได้ เขาจะไม่ยอมให้เหตุการณ์ในคืนนี้ผูกมัดเขาและเธอไว้ด้วยกันตลอดชีวิต นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาปกป้องเธอจากสื่อ









 

Create Date : 22 ธันวาคม 2557
0 comments
Last Update : 22 ธันวาคม 2557 23:47:58 น.
Counter : 434 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


nawapat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




...เขียนเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็หยุด สนองนี้ดมันไปตามอารมณ์ ^^"...
Friends' blogs
[Add nawapat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.