Group Blog
 
 
ธันวาคม 2557
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 

My bad guy - หนียังไงก็ใช่เธอ! @ 5 @ มารคอหอย




พิศิตาถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตูหน้าห้องในเช้าวันหยุด พองัวเงียตื่นมาเปิดประตูก็ได้รับรายงานจากเด็กในบ้านว่าคุณหญิงย่าสั่งให้รีบลงไปข้างล่างเพราะมีแขกมารอพบ

หญิงสาวขมวดคิ้วงงๆ ร้อยวันพันปีเธอไม่เคยมีแขกมาขอพบที่บ้าน เนื่องจากขี้เกียจจะต้อนรับขับสู้จึงไม่เคยชวนใครมาแม้แต่เพื่อนสนิท นี่ถ้าไม่ติดคุณหญิงย่าขอไว้ ป่านนี้เธอคงซื้อคอนโดมิเนียมอยู่ข้างนอกสบายไปแล้ว

หญิงสาวปิดปากหาว ก่อนจะฉวยผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำก็รีบลงไปพบแขกด้วยความสงสัย เมื่อเดินใกล้จะถึงห้องโถงเสียงคุณหญิงพรรณรายก็ดังแว่วมาให้ได้ยินเลยเงี่ยหูแอบฟังอย่างตั้งใจ

“ขยันจริงนะพ่อคุณ ขนาดวันหยุดยังอุตส่าห์ไปทำงานอีก”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับคุณหญิง แต่งานนี้ค่อนข้างเร่งผมเลยต้องทำให้เสร็จตามกำหนด ไม่อย่างนั้นอาจทำความเสียหายให้บริษัทได้”

เสียงห้าวเจือกระแสออดอ้อนที่โต้ตอบนั้นยิ่งทำให้พิศิตางงเต้กเข้าไปใหญ่ รีบปรากฏตัวโดยเร็ว พอคุณหญิงเห็นเข้าก็ร้องทักปนตำหนิ

“มาพอดีเลยแม่พลอย พี่เขามารอตั้งนานแล้วทำไมนัดไม่เป็นนัดนะ พ่อธีร์บอกว่านัดกับเราจะไปดูพื้นที่ก่อสร้าง แล้วนี่ทำไมยังแต่งชุดอยู่กับบ้านอีก”

พิศิตาเห็นหน้าแขกของตนชัดก็อ้าปากจะโต้เถียง เธอไม่เคยนัดแนะอะไรกับอีตาบ้านี่ แต่ก็ไม่ทันเพราะ ‘อีตาบ้า’ ชิงพูดขึ้นก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหญิง วันนี้เป็นวันหยุดไปสายๆ หน่อยก็ได้ อย่าดุคุณพลอยเลย เป็นความผิดของผมเองที่มาเช้าไปหน่อย” หนุ่มหล่อฉีกยิ้มกว้างขวางอย่างน่าหาอะไรมายัดปากให้กรามค้าง

หญิงสาวถลึงตาตอบพร้อมสวนกลับทันควัน “ใครไปนัดอะไรกับคุณตอนไหนไม่ทราบ ฉัน...”

“ยังไม่รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก พี่เขามารอตั้งนานสองนานแล้ว นี่ต้องให้ย่าสอนมารยาทอีกกี่ครั้งถึงจะจำ รีบไปเดี๋ยวนี้เลยแล้วก็ลงมารับของเช้าด้วย ย่าจะให้เด็กตั้งโต๊ะรอ พ่อธีร์ก็ทานด้วยกันก่อนนะ แล้วค่อยไปทำงาน” คุณหญิงเอ็ดหลานสาวต่อหน้าแขก ท่าทางจริงจังจนพิศิตาต้องหุบปากสนิท

หญิงสาวได้แต่กลอกตา ทำหน้าเซ็ง คุณย่าของเธอคงจะหลงเสน่ห์หมอนี่เข้าอีกคนแล้ว เฮอะ เหลือเชื่อเลย!

พิศิตาเดินหน้ามุ่ยกลับขึ้นไปบนห้องอย่างไม่สบอารมณ์ก็สวนทางกับพิริมาที่ชั้นสอง

“เป็นอะไรไปพลอยหน้าตึงแต่เช้าเชียว”

“จะลงไปข้างล่างเหรอพรีม อย่าเพิ่งลงไปเลยนะ สายๆ ค่อยลงไปดีกว่า” น้องสาวรีบห้ามเสียงหลง เธอจำใจต้องไปกับธีรภัทร์วันนี้เพราะงานล่าช้ามามากแล้ว แต่เรื่องจะยอมให้หมอนั่นทำคะแนนกับพี่สาวของเธอน่ะ ฝันไปก่อนเถอะ

“ทำไมล่ะ” พิริมาทำหน้างง

“คือว่า...คือว่า...คือ...”

“คือว่าอะไรเหรอพี่พลอย แพงหิวมากเลยตอนนี้ ถ้าพี่พรีมลงไปไม่ได้แล้วแพงลงไปได้มั้ยอะ” พิณณิศาโผล่มาพร้อมรอยยิ้มสดใส

พิศิตาเห็นหน้าน้องสาวคนเล็กก็ยิ่งปวดหัวหนักเข้าไปอีก จะให้พิณณิศากับธีรภัทร์เจอกันไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเท่านั้นเอง ฉะนั้นเธอต้องขัดขวางให้ถึงที่สุด

“คือ...คืออย่างนี้นะพรีม ยายแพง เอ่อ...คือพลอยหากุญแจรถไม่เจอ จะให้ลุงกล้าเอารถออกมาล้างหน่อย ไปช่วยพลอยหาหน่อยสิ นะเร็วๆ เข้า”

คิดเรื่องมุสามาอ้างได้อย่างฉิวเฉียดแล้วกึ่งลากกึ่งจูงสองสาวให้ตามเข้ามาในห้องตัวเอง รีบปิดประตู ทำทีเป็นวุ่นวายหากุญแจรถโดยอาศัยจังหวะที่อีกสองสาวกำลังงง หยิบกระเป๋าสะพายคู่ใจมาแสร้งทำเป็นควานหาให้ควั่ก

“เร็วเข้าสิ ช่วยๆ กันหาหน่อย อย่ามัวแต่ยืนดูเฉยๆ” กระตุ้นให้ทั้งสองคนช่วยแล้วพอสบโอกาสก็รีบหยิบกุญแจรถที่อยู่ในกระเป๋าสะพายมาหย่อนลงกระเป๋ากางเกงทันที

“แน่ใจนะว่าไม่ได้อยู่ในกระเป๋าสะพาย” พิริมามองหน้าน้องสาวเพื่อรอคำยืนยัน

“แน่สิ หาแล้วไม่เจอเลย” ว่าแล้วพิศิตาก็เทของในกระเป๋าลงบนเตียงให้พี่สาวดู

“ลืมไว้ที่รถรึเปล่าพี่พลอย”

“ไม่มี๊...ไม่มีเลย พี่ไปดูมาแล้ว แพงลองหาในลิ้นชักข้างเตียงให้พี่หน่อยนะ พรีมลองหาที่ชั้นวางหนังสือก็แล้วกัน”

เจ้าของห้องจัดแจงแบ่งจุดค้นหาแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า กวาดสายตาอย่างรวดเร็วเพื่อหาชุดที่จะใส่ไปข้างนอกวันนี้ เธอไม่มีเวลามากจึงหยิบได้เสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนตัวเก่งเท่านั้น

“ไม่เห็นมีเลยพี่พลอย หาที่รถดีแล้วเหรอ” พิณณิศาว่าพร้อมทั้งรื้อข้าวของกระจายไปหมด

“เอ๊ะ หรือว่าจะอยู่ที่รถจริงๆ น้า...” คนแผนสูงว่าพลางโกยของที่ตัวเองเป็นคนเทออกมาจากกระเป๋าสะพายใส่กลับเข้าไปใหม่แบบลวกๆ

“พี่ว่าพี่ลองไปดูที่รถอีกทีดีกว่า แพงกับพรีมช่วยหาในห้องให้หน่อยนะ”

ว่าแล้วก็ยัดเสื้อผ้าที่หยิบได้ลงกระเป๋าแล้วแวบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยที่อีกสองสาวก็ยังคงช่วยกันค้นหากุญแจรถของพิศิตาจนแทบจะทุกซอกทุกมุมของห้อง

สาวเจ้าเล่ห์รีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำชั้นล่าง ก่อนวิ่งแจ้นไปหาธีรภัทร์ที่ห้องโถงด้วยสปีดเร็วกว่านรก

“อ้าว มาแล้ว ทำไมช้านักนะแม่พลอย” คุณหญิงเอ็ดหลานสาวที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพลางส่ายหน้าอ่อนระอาเมื่อเห็นการแต่งตัวของเจ้าหล่อน

“พลอยพร้อมแล้วค่ะ เราไปกันเลยนะ” พิศิตาบอกคุณหญิงแล้วหันไปพยักหน้าเร็วๆ เร่งเร้าชายหนุ่ม

ธีรภัทร์ทำหน้าเลิ่กลั่ก พูดไม่ออกเพราะตั้งใจจะอยู่รอพบพิริมาก่อนแล้วค่อยออกไปทำงาน แต่นี่มัน...ผิดแผน!

“รีบลุกสิคุณ จะได้รีบไปรีบกลับ” หญิงสาวบอกเสียงขุ่นเมื่อเห็นเขายังนั่งนิ่งอยู่

“ผมว่าเราน่าจะทานอะไรก่อนค่อยไปนะ” เขาพยายามจะถ่วงเวลาให้นานที่สุด

“นั่นสิแม่พลอย ย่าว่ารับของเช้าก่อนค่อยไปไม่ดีหรือ”

“ไม่ดีกว่าค่ะคุณย่า พลอยอยากรีบทำงานให้เสร็จๆ ไปมากกว่า ตกลงคุณจะไปไม่ไป?” พิศิตาหันมาถามธีรภัทร์อย่างเอาเรื่อง

ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงจำใจต้องตามหญิงสาวออกไปโดยไม่ลืมร่ำลาคุณหญิงเสียก่อนตามธรรมเนียมไทยที่เขาว่าไปลามาไหว้

“ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วยคุณ” เขาบ่นเคืองๆ เมื่อเดินมาถึงรถที่จอดอยู่หน้ามุข

“แล้วจะรอให้คุณเกี้ยวพี่สาวฉันเสร็จก่อนหรือไง ที่ยอมไปด้วยวันนี้ก็นับว่าดีแล้วนะ ฉันไม่เคยนัดอะไรกับคุณไว้ซะหน่อย” หญิงสาวสวนกลับด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง

นี่มันวันหยุดของเธอ เรื่องอะไรต้องออกมาทำงานกับหมอนี่ด้วย ซวยจริงๆ!

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ น่าจะทานอะไรซะก่อน นี่ยังเช้าอยู่เลย”

เนื่องจากพิศิตารู้ทันเขาทุกอย่าง ชายหนุ่มจึงทำได้แค่เพียงบ่นเล็กน้อยเท่านั้น เขาอุตส่าห์แหกขี้ตาตื่นแต่เช้าในวันหยุดมาบ้านศุภกุลก็เพราะหวังจะได้พบหน้าพิริมาสักหน่อย แต่ก็ต้องรับประทานแห้วเป็นมื้อเช้าจนได้ เห็นชัดเลยว่าพิศิตาไม่ชอบขี้หน้าเขาเอาจริงๆ หรือว่าเขาควรจะจีบเธอให้มาเป็นพวกเสียก่อน แล้วค่อยสานสัมพันธ์กับพิริมาต่อ

ธีรภัทร์แอบชำเลืองมองมารคอหอยตัวแม่ที่นั่งหน้าตูมข้างคนขับโดยไม่สนใจเขาเลย แล้วคำตอบก็ชัดแจ๋ว

ยากว่ะ! รอให้น้ำท่วมหลังเป็ด ความหวังนี้อาจเป็นจริงก็ได้ เฮ้อ!



พิริมาเดินลงมาชั้นล่างหลังจากที่เธอกับพิณณิศาแทบจะพลิกห้องพิศิตาเพื่อหากุญแจรถแล้วแต่ก็ไม่เจอ ได้ยินเสียงรถแล่นออกไปจึงถามผู้เป็นย่า

“นั่นเสียงรถใครออกไปแต่เช้าคะคุณย่า แล้วนี่พลอยหากุญแจรถเจอรึเปล่าคะ”

“พูดเรื่องอะไรกันน่ะแม่พรีม แม่พลอยหากุญแจรถอะไร ย่าไม่เห็นรู้เรื่อง นั่นรถพ่อธีร์ เขามารับแม่พลอยไปดูงานที่ทำด้วยกัน เห็นเขาว่านัดกันไว้ แม่พลอยนี่ก็ไม่ไหวเลย นัดเขาไว้แต่ไม่เห็นเตรียมตัวอะไรสักอย่าง ปล่อยให้เขาคอยเป็นนานสองนาน เฮ้อ...ย่าละกลุ้มใจ” คุณหญิงบ่นอย่างคนไม่รู้เรื่องอะไร

พิริมากับพิณณิศาหันมามองตากับปริบๆ พอเรียงลำดับความเป็นมาในหัวแล้วก็ทำให้ทั้งสองถึงบางอ้อ

“พี่พลอยนี่ร้ายกาจจริงๆ กะจะเป็นศัตรูกับแพงแบบซึ่งหน้าเลยนะเนี่ย พี่พรีมดูสิคะ” น้องเล็กหันไปฟ้องพี่สาวอย่างขัดเคือง

“อะไร เป็นศัตรูอะไรกันรึแม่แพง” คุณหญิงถามงงๆ เธอคงพลาดอะไรไปสักอย่างแน่แล้ว

พิริมากลั้นหัวเราะกับท่าทางหัวเสียของน้องสาวคนเล็กและแผนกำจัดศัตรูของพิศิตา

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณย่า เราไปทานข้าวกันดีกว่านะคะ พรีมชักหิวแล้ว”

“เอ้อ แม่พรีม ย่าขอถามอะไรหน่อยนะ อย่าหาว่าย่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย” คุณหญิงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงไม่มั่นใจนัก

“ถามมาเถอะค่ะ ถ้าคุณย่าถาม พรีมก็จะตอบ” พิริมายิ้มอย่างเอาใจ

“เรื่องของแม่พรีมกับพ่อธีร์น่ะ มันยังไงกัน ย่าว่าเขาสนใจแม่พรีมเป็นพิเศษนะ ย่าเข้าใจถูกรึเปล่า”

“อันนี้คุณย่าต้องถามคุณธีร์เองแล้วละค่ะ จะถามความรู้สึกเขาแล้วมาถามพรีมได้ยังไงคะ” หญิงสาวตอบขันๆ ราวกับไม่รู้เจตนาของผู้เป็นย่า

“แพงตอบแทนเองค่ะ พี่ธีร์สนใจพี่พรีมจริงๆ เขาเป็นคนเก่งนะคะ หน้าตาก็ดี ความสามารถก็เด่น ครอบครัวก็โอเค ตกลงคุณย่าว่าไงคะ”

พิณณิศาถือโอกาสช่วยธีรภัทร์ทำคะแนนซะเลย เพราะพิศิตาเริ่มปฏิบัติการขัดขวางแล้ว เธอเองก็ต้องเริ่มปฏิบัติการเชียร์ด้วยเช่นกัน

“อะไรกันแม่แพง อยู่ส่วนเด็กเถอะเราน่ะ ย่ากำลังคุยกับพี่สาวเราอยู่ จะไปไหนก็ไปไป๊” คุณหญิงหันมาเอ็ดหลานสาวคนเล็กค่าที่รู้มากเกินเด็ก

คนรู้มากย่นจมูก ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาพลางบ่นงึมงำ “ก็ทีพี่พลอยยังยุ่งได้เลย เรื่องอะไรแพงจะยอม คอยดูเถอะ ยังไงก็ไม่มีวันยอมให้อีตาลุงหน้ายักษ์ขี้เก๊กนั่นมาเป็นพี่เขยเด็ดขาด”

“แม่แพงนี่จริงๆ ว่ายังไงล่ะแม่พรีม น้องเรายืนยันหนักแน่นอย่างนั้นแล้ว”

“คุณย่าก็ไปฟังยายแพงเพ้อเจ้อ คุณธีร์ยังไม่ได้พูดอะไรเลย แล้ว

จะให้พรีมว่าอะไรได้ล่ะคะ”

“อ้อ แปลว่าถ้าเขาว่าอะไรมาเราก็ไม่ขัดข้องละสิ”

“คุณย่าขา ไปกันใหญ่แล้ว เรื่องมันยังไม่ไปถึงไหนเลย อย่าบอกนะคะว่าคุณย่าหลงเสน่ห์คุณธีร์เหมือนยายแพง”

“ตายแล้วแม่พรีม พูดอะไรน่ะ ย่าแค่เห็นว่าพ่อธีร์เขาก็มีอะไรๆ คู่ควรกับหลานย่าทุกอย่าง ถ้าหากว่าแม่พรีมชอบพอกับเขา ย่าก็ไม่ขัดข้อง แต่ถ้ายังไม่ได้ตัดสินใจย่าก็อยากให้ลองคิดดูอีกที ย่าว่า...”

“คุณวีรภัทร์ก็ถูกใจคุณย่าใช่มั้ยล่ะคะ” พิริมาแทรกขึ้นอย่างรู้ทันจนคุณหญิงต้องค้อนขวับ

“ทำมาเป็นรู้ใจ แล้วว่ายังไงล่ะ รู้ทันย่าแล้วนี่ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ตกลงเราจะเอายังไง”

“โธ่...คุณย่าขาคุณย่าไม่คิดว่ามันออกจะเร็วไปหน่อยเหรอคะ พรีมเพิ่งเจอพวกเขาแค่ไม่กี่ครั้งจะให้คิดอะไรได้ อีกอย่าง ใช่ว่าพวกเขาจะคิดอะไรกับพรีมซะเมื่อไหร่ รอให้ผู้ชายเขาเอ่ยปากก่อนพรีมค่อยคิดก็ยังไม่สายนี่คะ คุณย่าอย่าเป็นกังวลให้มากเลยค่ะ ให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินดีกว่านะคะ”

คุณหญิงไม่รู้จะแย้งยังไงจึงได้แต่เงียบเสีย แต่เธอยังไม่ยอมแพ้เท่านี้หรอก ถึงอย่างไรก็ต้องได้เห็นหลานสาวเป็นฝั่งเป็นฝาในเร็ววัน ไม่อย่างนั้นเธอคงนอนตายตาไม่หลับแน่ คิดดังนั้นแล้วก็รีบโทร. นัดคุณมณีออกมาพบกันที่ร้านกาแฟใกล้บ้าน



“ดิฉันมีเรื่องสำคัญจะปรึกษาคุณหญิงอยู่ทีเดียว ดีใจจริงๆ ค่ะที่คุณหญิงนัดออกมาพบวันนี้” คุณมณีว่าพลางจิบกาแฟย้อมใจ คิดว่าอีกฝ่ายคงต้องการพูดกับเธอในเรื่องเดียวกันแน่นอน และเพราะเรื่องนี้ดูคล้ายจะมีอุปสรรคเล็กน้อยจนเธอต้องตัดสินใจบางอย่าง ซึ่งก็ทำให้ตัวเองไม่สบายใจนัก

“ดูท่าทางพ่อธีร์ของคุณจะสนใจแม่พรีมของฉันนะ” คุณหญิงมองหน้าคู่สนทนาอย่างจริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ

“เอ้อ นั่นสิคะ ดิฉันลองเลียบๆ เคียงๆ ดูแล้วก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ผู้อ่อนวัยกว่าบอกอย่างอึดอัด ก่อนจะว่าต่อไป “แต่ถ้าคุณหญิงยืนยันจะให้หนูพรีมออกเรือนก่อนใคร ดิฉันก็ยังยืนยันค่ะว่าอยากจะขอหนูพรีมให้ตาวีร์”

“แล้วพ่อธีร์จะไม่เสียใจหรือคุณมณี ทางแม่พรีมน่ะแกบอกว่ายังไม่คิดอะไรกับใคร แต่ทางคุณ...ฉันก็ไม่แน่ใจ” คุณหญิงพูดอย่างเป็นกังวล

“อย่าห่วงเลยค่ะคุณหญิง ดิฉันเชื่อว่าตาธีร์ยังไม่คิดจริงจังอะไรกับเรื่องนี้มากนัก เขารักอิสระจะตายไป คิดว่าคงยังไม่พร้อมจะแต่งงานง่ายๆ ถ้าคุณหญิงบอกว่าหนูพรีมยังไม่ได้คิดอะไรกับใคร เราก็ให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ แต่ว่า...” คุณมณีหยุดพูดเอาดื้อๆ

“แต่ว่าอะไรรึคุณมณี”

“แต่ว่าเราต้องยื่นมือเข้าไปช่วยให้ทุกอย่างลงเอยได้เร็วขึ้นน่ะสิคะ”

คุณมณีพูดอย่างจริงจัง สีหน้าบอกชัดว่าเรื่องนี้ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน เธอไม่รังเกียจที่จะให้พิริมามาเป็นสะใภ้รอง แต่กลัวใจลูกชายคนรองมากกว่าว่าจะเบื่อหลานสาวคุณหญิงเสียก่อน เธอจึงยืนกรานความตั้งใจเดิมที่จะให้วีรภัทร์กับพิริมาได้ลงเอยกัน

คุณหญิงมองหน้าผู้อ่อนวัยกว่าอย่างครุ่นคิด อึดใจใหญ่ๆ ก็พยักหน้าเห็นพ้องว่าเรื่องนี้จำเป็นที่เธอต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

“เอาไงก็เอา เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่”



รถสปอร์ตคันหรูหักเลี้ยวเข้าไปในร้านอาหารริมถนนบรรยากาศค่อนข้างดีโดยไม่บอกล่วงหน้า ทำให้คนที่นั่งข้างๆ ต้องหันไปจ้องคนขับอย่างสงสัยแกมขุ่นเคือง

“จอดทำไม?”

“ก็ผมหิวนี่ เก้าโมงครึ่งเข้าไปแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย คุณเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน ลงมาเถอะน่า ไปหาอะไรรองท้องก่อน สเต๊กร้านนี้อร่อยนะคุณ ผมผ่านทางนี้เมื่อไหร่ต้องแวะตลอด” ชายหนุ่มว่าอย่างอารมณ์ดี แม้ความน่าจะเป็นในการผูกมิตรกับพิศิตาจะติดลบ แต่คนอย่างนายธีรภัทร์ก็ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว

“สเต๊กเนี่ยนะ?” หญิงสาวกลอกตา ทำหน้าเซ็งอย่างไม่เกรงใจ บอกให้รู้ว่ารสนิยมไม่ต้องกันอย่างแรง

“งั้นคุณอยากทานอะไรล่ะ บอกมาสิ ผมจะพาไป” เขากอดอกพูดอย่างใจเย็น พยายามใช้สติมากกว่าอารมณ์

“ไหนๆ มาแล้วก็เข้าไปสิ ไม่ต้องมาแกล้งเอาใจฉันหรอก เพราะฉันเห็นธาตุแท้ของคุณหมดแล้ว ถึงยังไงฉันก็ไม่มีวันเห็นด้วยที่จะให้คุณมาเป็นพี่เขย” พูดจบเธอก็เดินเข้าไปในร้านหน้าตาเฉย ทิ้งให้ธีรภัทร์ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจอยู่คนเดียว

“เด็กบ้า ไม่สวยแล้วยังทำตัวไม่น่ารักอีก” เขาบ่นเพื่อระบายความหงุดหงิดเท่านั้น อันที่จริงแม้พิศิตาไม่จัดว่าเป็นสาวสวยสะดุดตาเท่าพี่สาว แต่เธอก็มีใบหน้าคล้ายคลึงกับพิริมาอยู่มาก จะต่างกันหน่อยก็ตรงที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลานี้ไม่ได้แต่งเติมสีสันใดๆ ลงไปเพิ่มความงดงามเท่านั้น

หลังจากเล่นสงครามประสาทในร้านอาหารและมาต่อในรถอีกพักใหญ่ สองหนุ่มสาวก็เดินทางถึงสถานที่ปลูกสร้างเรือนหอขนาดสามไร่เศษแถบชานเมือง ที่ดินถูกปรับให้เรียบเสมอกันล้อมรอบด้วยรั้วไม้แบบชั่วคราวเพื่อแบ่งกั้นเขตแดน ตัวบ้านถูกออกแบบด้วยสไตล์ไทยโมเดิร์นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เครื่องมือและวัสดุในการก่อสร้างพร้อมสรรพถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ คนงานหลายสิบชีวิตต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างขะมักเขม้น

“เอ้าคุณสวมไว้ซะ เดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นจะมาโทษผมอีก” ธีรภัทร์ยื่นหมวกนิรภัยให้หญิงสาว สีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่เคยพยายามผูกมิตรกับเธอมาก่อน

“ขอบคุณ” พิศิตารับหมวกมาสวม ก่อนจะเดินตามสถาปนิกเข้าไปในตัวบ้านเพื่อเก็บรายละเอียดต่างๆ เท่าที่มองเห็น

ชายหนุ่มเดินนำขึ้นไปชั้นสองด้านปีกซ้ายพร้อมอธิบายคร่าวๆ “ทางนี้เป็นทิศตะวันออก จะมีห้องนอนใหญ่ห้องเดียว ปีกขวาเป็นห้องนอนเล็กอีกสองห้อง ส่วนตรงกลางเป็นพื้นที่โล่ง คุณต้องเป็นคนนำเสนอไอเดียว่าจะตกแต่งยังไง พื้นที่ตรงนี้สามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์ตอนเช้าได้ด้วย ถ้านั่นจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”

“ฉันเห็นแล้ว” หญิงสาวตอบหน้าตาเฉย ไม่ได้ซาบซึ้งกับข้อมูลที่เขาพยายามบอกเพื่อช่วยให้งานของเธอง่ายขึ้นเลยสักนิด

สถาปนิกหนุ่มเม้มปากแน่น ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ปกติเขาเคยเอาใจใครมากขนาดนี้ที่ไหน เธอควรจะซึ้งใจหรืออย่างน้อยก็น่าจะขอบคุณสักคำ ผู้หญิงอวดดี!

พิศิตาเก็บรายละเอียดของพื้นที่ใช้สอยทั้งหมดบนชั้นสองไว้ในหน่วยความจำของสมองอย่างคร่าวๆ เพราะเธอรู้ว่าจำรายละเอียดสำคัญทั้งหมดไม่ได้แน่เนื่องจากวันนี้ไม่ได้เอากล้องมาด้วย แต่ธีรภัทร์เป็นคนออกแบบ เขาต้องมีพิมพ์เขียวและรายละเอียดที่เธอต้องการแน่

“ขอสำเนาพิมพ์เขียวของคุณได้ไหม”

“จะเอาไปทำไม?”

“ดูขนาดของพื้นที่และรายละเอียดของทิศทางรอบด้าน นั่นจะช่วยฉันได้มาก”

“โทร. หาผมก็ได้ ถ้าคุณต้องการรายละเอียดหรือสงสัยอะไร”

“ฉันต้องการพิมพ์เขียว” เธอย้ำเสียงดังฟังชัด พอหันมาสบตาคมเข้มของอีกฝ่ายจึงไหวไหล่แล้วพูดต่อ “ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนจะโทร. ไปก็แล้วกัน ฉันไม่ดองงานเพียงเพราะไม่ถูกชะตากับเพื่อนร่วมงานแน่ ฉันเป็นมืออาชีพพอ”

เขาพยักหน้าหงึกหงักพลางถอนใจ “เดี๋ยวขากลับผมจะเอาให้ ลงไปดูชั้นล่างกันไหม”

“ดี” เธอตอบสั้นแล้วตามลงไปโดยง่าย เท่าที่สังเกตคร่าวๆ หญิงสาวต้องยอมรับว่าเขาทำงานเรียบร้อยกว่าที่คิด

“พื้นที่ชั้นล่างทั้งหมดแบ่งเป็นห้องครัวกับห้องรับแขก คุณต้องออกแบบตกแต่งห้องรับแขกที่กว้างมากๆ เพราะคุณปกรณ์ต้องการให้บ้านดูโล่งและมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ไม่ดูอึดอัดเหมือนบ้านในเมืองใหญ่”

“รู้แล้ว” คนปากไวสวนขึ้นทันควัน นั่นเป็นข้อมูลที่ลูกค้ารีเควสมาตั้งแต่ตัดสินใจว่าจ้างเธอให้ทำงานนี้

“เรื่องของคุณสิ ผมกำลังทำหน้าที่ของผม คุณมีคำถามรึเปล่า?” เขาตอบโต้อย่างหมดความอดทน ความพยายามที่จะผูกมิตรกับพิศิตาเริ่มน้อยลงทุกที

“ตอนนี้ยัง ไว้ฉันศึกษาแบบก่อน ถ้ามีคำถามจะโทร. หาคุณก็แล้วกัน ใครใช้ให้คุณไม่นัดล่วงหน้าล่ะ ฉันไม่ได้เตรียมอะไรมาด้วย ถามไปตอนนี้ก็เท่านั้นแหละ เสียเวลา”

“ยังกับว่าคุณจะอยู่บ้านรอผมงั้นแหละ” เขาย้อนอย่างรู้ทัน

“ช่วยไม่ได้นี่ ก็คุณอยากเบี้ยวนัดฉันก่อนทำไม” พิศิตาโต้เสียงห้วนขณะสบตาอีกฝ่ายอย่างกล่าวโทษ

“โอเคๆ ผมผิดเองที่เห็นผู้หญิงสำคัญกว่างาน พอใจแล้วใช่มั้ย?”

เขายอมรับให้จบเรื่อง อันที่จริงเธอก็พูดถูกเหมือนกัน เขาเป็นคนผิดนัดก่อน แต่ครั้งแรกนั่นเธอมาสาย ถือว่าผิดคนละครึ่ง

หญิงสาวหรี่ตาอย่างไม่ไว้ใจ เพราะไม่นึกว่าธีรภัทร์จะยอมรับผิดง่ายดายขนาดนี้

“ผมรู้น่าว่าอะไรถูกผิด”

“ช่างเถอะ ไม่สำคัญหรอก ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังคำแก้ตัวของคุณ” เธอโบกมือตัดบทแล้วเดินหนีเร็วๆ โชคร้ายที่ไปสะดุดกับเศษวัสดุเหลือใช้จากการก่อสร้างที่กองระเกะระกะอยู่แล้วก็ล้มคะมำลงทั้งตัวพร้อมเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ ข้อมือข้างซ้ายยันไว้กับพื้นเพื่อไม่ให้หน้าตัวเองจูบกับซีเมนต์แข็งๆ แล้วผลที่ตามมาก็คืออาการเจ็บแปล๊บที่ข้อมือข้างนั้น

ธีรภัทร์ใจหายวาบ รีบวิ่งเข้าไปดูหญิงสาวทันที “เป็นอะไรรึเปล่าคุณ เดินชนเข้าไปได้ยังไงของกองโตขนาดนี้ ซุ่มซ่ามจริง”

เสียงบ่นของเขาดังอยู่ข้างหูแต่หญิงสาวไม่สามารถจะพูดอะไรได้ ตอนแรกแค่ตกใจกับเจ็บข้อมือ แต่ตอนนี้รู้สึกปวดหนึบที่ข้อเท้าด้วย และเมื่อทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ขาซ้ายก็ต้องร้องลั่น

“เจ็บตรงไหน” เขารีบถาม สีหน้าเป็นกังวล

“ข้อเท้าฉัน เจ็บ...เดินไม่ไหว” เธอครางพร้อมนิ่วหน้า

“มานั่งตรงนี้ก่อน”

เขาช่วยประคองเธอไปนั่งอีกด้านของห้องซึ่งมีเก้าอี้วางอยู่ตัวหนึ่ง

“โอ๊ย...ก็บอกแล้วไงว่าเจ็บ ฉันเดินไม่ไหวหรอก ขาฉันจะหักมั้ยเนี่ย” หญิงสาวบ่นอย่างลืมตัว

ธีรภัทร์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดความอดทน ก่อนย่อเข่าลงช้อนตัวหญิงสาวขึ้นอุ้มโดยไม่สนใจว่าเธอจะต่อต้านหรือโวยวายยังไง

“นี่คุณปล่อยฉันลงนะ จะทำบ้าอะไรเนี่ย?”

“ก็คุณบอกเดินไม่ไหวแล้วจะให้ผมทำยังไง อยู่นิ่งๆ เถอะเดี๋ยวตกลงไปเจ็บตัวอีก คราวนี้อาจไม่ใช่แค่ขานะที่หัก”

ไม่ใช่คำขู่ของเขาได้ผล แต่เป็นเพราะเธอเดินเองไม่ไหวจริงๆ จึงยอมหุบปากชั่วคราว

“ไหนดูซิ”

เขาจับข้อเท้าเธอไว้มั่น หญิงสาวพยายามจะสลัดเท้าให้หลุดจากการเกาะกุมแต่เธอต้องยอมแพ้เมื่อพบว่ามันไม่คุ้มกันเลยกับความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทุกรูขุมขน

“อยู่เฉยๆ เถอะน่า เดี๋ยวผมดูให้” เขาดุพลางเลิกขากางเกงของเธอขึ้นเมื่อพิศิตายอมอยู่เฉยๆ รู้ว่าไม่ใช่เพราะเธอเกิดจะมาหัวอ่อนเชื่อฟังที่เขาพูดเอาตอนนี้ แต่เป็นเพราะหญิงสาวเจ็บจนไม่มีแรงต่อต้านต่างหาก

“ข้อเท้าคงเคล็ด แต่ไม่รู้กระดูกร้าวด้วยรึเปล่า อยู่นิ่งๆ อย่าขยับมันจะยิ่งเจ็บ ที่เข่าคุณมีแผลด้วย เดี๋ยวผมจะไปถามคนงานดูว่ามีอุปกรณ์ทำแผลมั้ย รออยู่ตรงนี้นะ”

เขาสั่งการรวดเร็วแล้วเดินหายออกไปนอกตัวบ้าน

“ถึงอยากไปใจจะขาดฉันก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดีแหละ คนบ้า ทำมาเป็นออกคำสั่ง คิดว่าตัวเองเป็นใครฮะ” คนเจ็บบ่นเบาๆ ขณะก้มลงมองที่เท้าตัวเอง ลองขยับดูอีกทีก็รู้สึกเจ็บจนน้ำตาคลอเบ้าเลยทีเดียว

ธีรภัทร์ออกมาด้านนอกก็ยืนเท้าสะเอวปั้นหน้าเคร่ง พูดเสียงดังอย่างที่คนงานต่างรู้กันดีว่าน้ำเสียงแบบนี้ใครก็อย่าบังอาจไปขัดใจเข้าเชียว “ของที่ไม่ต้องใช้แล้วทำไมไม่เก็บให้เรียบร้อย ปล่อยทิ้งไว้ในบ้านได้ยังไง”

“มีเรื่องอะไรเหรอครับคุณธีร์” เอกพล ซึ่งเป็นหัวหน้าวิศวกรและผู้ควบคุมคนงานรีบเดินเข้ามาหาอย่างรู้อารมณ์เจ้านาย

“มีคนเดินสะดุดหัวทิ่มข้อเท้าเคล็ดไปน่ะสิ มีอุปกรณ์ทำแผลรึเปล่าให้ใครไปเอามาที แล้วให้คนไปเก็บของข้างในให้เรียบร้อยด้วย อย่าให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีก งานที่เสร็จแล้วต้องเก็บทันที ลูกคนงานก็เด็กเล็กๆ ทั้งนั้น ระวังหน่อย ผมไม่อยากให้ใครบาดเจ็บอีก”

เอกพลรีบถามหาอุปกรณ์ทำแผล ก่อนจะตามคนงานชายสองสามคนให้เข้าไปช่วยกันเก็บเศษไม้และข้าวของซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ออกมาด้านนอกตามใบสั่ง



ชายหนุ่มกลับเข้ามาด้านในพร้อมผ้าเช็ดหน้าของตัวเองที่ชุบน้ำแล้วบิดจนหมาด นั่งลงตรงหน้าหญิงสาวก่อนจะค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นซับเลือดที่ซึมอยู่ตามหัวเข่าของเธอเบาๆ

พิศิตาปัดมือเขาโดยไวด้วยความตกใจ “จะทำอะไรน่ะ”

“ก็เช็ดแผลให้คุณไง ไม่เห็นเหรอว่าเลือดมันไหล อยู่เฉยๆ ซักหนึ่งนาทีเถอะน่า” เขาดุพลางส่ายหน้าระอา ก่อนจะก้มลงเช็ดแผลให้เธอต่อ

หญิงสาวรีบแย่งผ้าในมือเขามาถือไว้เอง “ฉันทำเองได้”

“ตามใจ” เขาถอยออกมามองหญิงสาวที่ก้มหน้าซับเลือดตัวเองอยู่ห่างๆ

ไม่นานคนงานผู้หญิงก็ถือกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลเข้ามาหา รวมถึงเอกพลกับคนงานชายอีกสองสามคนก็เข้ามาช่วยกันเก็บเศษวัสดุเหลือใช้ที่เป็นเหตุให้พิศิตาได้รับบาดเจ็บออกไปไว้ข้างนอก

ธีรภัทร์ควบคุมการทำงานด้วยสายตา จนเมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จจึงหันมาสนใจผู้บาดเจ็บอีกที

“ให้ผมช่วยดีกว่า” เขาบอกเสียงเรียบพร้อมขยับไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าหญิงสาวอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร ฉันทำเองได้” พิศิตาบอกเสียงเบา เธอเกลียดที่สุดก็คือยาล้างแผลนี่แหละ

“ถ้ารอให้คุณนั่งมองเจ้าอุปกรณ์ทำแผลพวกนี้ทั้งวันก็คงไม่เสร็จ” เขาเอ็ดพลางจัดการบาดแผลของเธออย่างคล่องแคล่ว หญิงสาวพยายามหลบเลี่ยงหลายทีแต่ก็ไม่สำเร็จจึงปล่อยเลยตามเลย

“เรียบร้อย ว่าแต่ข้อเท้าคุณเป็นไงมั่ง ขยับได้มั้ย”

เธอลองขยับดูก็พบว่ายิ่งปวดร้าวหนักเข้าไปอีก แถมเล่นเอาน้ำตาเล็ด สุดท้ายก็ได้แต่มองเขาตาละห้อย

ชายหนุ่มมองที่ข้อเท้าเธออย่างพิจารณาแล้วตัดสินใจ “ผมว่าไปหาหมอดีกว่า ดูเหมือนมันจะบวมๆ ด้วย”

เธอเห็นจริงดังเขาว่าจึงถอนใจอย่างยอมแพ้แล้วพยักหน้าในที่สุด ธีรภัทร์ทำท่าจะช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มอีก พิศิตาเลยโวยวายเสียงลั่น

“คุณจะทำอะไรอีกเนี่ย!”

“อ้าว ก็พาคุณไปขึ้นรถน่ะสิ ไปหาหมอไง เท้าคุณเจ็บเดินไม่ไหวแล้วจะให้ผมทำยังไง นึกว่าผมอยากอุ้มคุณนักเหรอ” เขายิ้มยั่วเมื่อเห็นใบหน้าของพิศิตาแดงก่ำด้วยความโกรธ

“ฉันจะเดินไปเอง ไม่ต้องยุ่ง” เธอบอกเสียงห้วนก่อนพยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก

“คุณนี่ดื้อจริงๆ อย่าเรื่องมากนักเลย ให้ผมอุ้มไปดีกว่า เดี๋ยวพลาดพลั้งล้มลงไปอีกก็จะเจ็บตัวเปล่าๆ ไปส่งคุณให้หมอแบบนี้ดีกว่าต้องมานั่งปฐมพยาบาลกันอีกรอบนะ” ไม่พูดเปล่าแต่เขาก้มลงช้อนตัวหญิงสาวขึ้นทันทีโดยไม่ฟังเสียงโวยวาย

“ปล่อยเลยนะ จะเจ็บตัวก็ตัวฉันไม่เกี่ยวกับคุณ ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!”

“เบาๆ หน่อย เดี๋ยวพวกคนงานจะหาว่าผมทำมิดีมิร้ายคุณเอานะ อย่างคุณน่ะไม่ใช่สเปกผมซะด้วยสิ ผมขี้เกียจตอบคำถาม” ชายหนุ่มพูดทั้งที่ยังอุ้มเธอเดินออกไปข้างนอกอย่างมั่นคง ราวกับว่าคนในอ้อมแขนตัวเบาเหมือนปุยนุ่น

หญิงสาวอ้าปากจะประท้วงอีกแต่เหลือบเห็นพวกคนงานที่พากันหยุดงานในมือลงแล้วมองเธอกับเขาเป็นตาเดียวก็เปลี่ยนใจ เธอควรจะหุบปากให้สนิทที่สุดดีกว่า!









 

Create Date : 20 ธันวาคม 2557
0 comments
Last Update : 20 ธันวาคม 2557 13:53:33 น.
Counter : 548 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


nawapat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




...เขียนเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็หยุด สนองนี้ดมันไปตามอารมณ์ ^^"...
Friends' blogs
[Add nawapat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.