Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2557
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
18 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 

พระจันทร์ร้อยเล่ห์ - 2 - เนื้อคู่





สตรีวัยกลางคนรูปร่างโปร่งระหงยืนสอดส่ายสายตามองหาบุคคลที่ตกปากรับคำว่าจะมารับด้วยสีหน้าท่าทางกระวนกระวายใจ ริมฝีปากเรียวสวยบ่นอย่างฉุนๆ

“เมื่อไหร่จะมาซะทีเนี่ย จะสองชั่วโมงอยู่แล้วนะ จะให้รอไปถึงไหน โทร. ไปก็ปิดเครื่องหนี น่าตีจริงๆ เชียวลูกคนนี้”

หนุ่มลูกครึ่งเชื้อสายไทย-อเมริกันหน้าตาคมคายได้สัดส่วนจากการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเชื้อชาติตะวันออกและตะวันตกตัดสินใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการแนะนำอย่างมีเหตุผล

“ผมว่าเราโทร. หาคนอื่นดีไหมครับคุณน้า ถ้าเป็นไปได้ก็ไปสมทบกับพวกเขาที่ชะอำเลยก็ได้ ผมคิดว่าเราคงไปถึงที่นั่นได้ไม่ยากนัก”

คุณนายเดือนเต็มหันขวับ มองชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาอย่างเสียใจ

“น้าขอโทษแทนวันจันทร์ด้วยนะเร ถูกตามใจจนเคยตัว เล่นอะไรไม่รู้เวล่ำเวลา งั้นตกลงตามนั้นก็ได้จ้ะ เดี๋ยวน้าจะลองโทร. หาเพื่อนดูนะ”

เรมอนเพียงแต่ยิ้มบางๆ เขาไม่รู้สึกอะไรกับการถูกเบี้ยวนัด เนื่องจากการเดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ก็เพราะไม่อยากขัดใจบิดาที่เพียรคะยั้นคะยอให้เขาลงเอยกับใครสักคนโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาเดินตามเกมของผู้ใหญ่อย่างว่าง่ายเพื่อจะได้หลบมาพักผ่อนสบายๆ ไกลหูไกลตาพ่อสักพัก ส่วนเรื่องการสานสัมพันธ์กับศศธรนั้นไม่เคยอยู่ในความคิดสักนิด เพราะหัวใจของเขายังไม่พร้อมจะรักใครในเวลานี้...

หลังคุยโทรศัพท์สองสามคำคุณนายก็หันมาบอกชายหนุ่มที่เธอหมายมั่นปั้นมือจะยกตำแหน่ง ‘ลูกเขย’ ให้ด้วยสีหน้าเบิกบาน “โอเคจ้ะ งั้นเราก็เดินทางกันเลยนะ เพื่อนน้าบอกว่าจะรอทานมื้อเที่ยงด้วย ให้เราเหมาแท็กซี่ไปส่งที่สะพานปลาเลย”

หนุ่มหล่อพยักหน้ารับอย่างไม่มีเงื่อนไข ช่วยลากกระเป๋าเดินทางของคุณเดือนเต็มเดินนำออกไปจากอาคารผู้โดยสารขาเข้า ในขณะที่ตัวเองมีเพียงเป้สะพายหลังใบเดียว เขาไม่เดือดร้อนกับการเดินทางในลักษณะนี้อยู่แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ทั้งการมาเยือนแผ่นดินไทยและการเหมาแท็กซี่ออกต่างจังหวัดด้วย



“มีเรื่องนิดหน่อย เราอาจไปถึงช้านะ แต่ไม่เบี้ยวแน่นอน” ชานนท์คุยโทรศัพท์ที่ริมระเบียงห้องพักฟื้นคนไข้ระดับวีไอพี ติดแหง็กอยู่ที่นี่เพราะหญิงสาวที่เขาช่วยไว้หมดสติไปอีกรอบและยังไม่ฟื้น

“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า” ปลายสายถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม

เขาหัวเราะเบาๆ เหลือบมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงเล็กน้อย

“ขอบใจ แต่ไม่ละ นายเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวให้สบายใจเถอะ เรื่องนี้มัน...” เว้นจังหวะพลางนึกหาคำจำกัดความที่เหมาะสม

“พิลึกน่ะ เดี๋ยวถ้าไปถึงแล้วนายไม่หนีเข้าหอไปซะก่อนจะเล่าให้ฟัง”

“ตกลงตามนั้นก็ได้ ที่นี่ก็มีเรื่องนิดหน่อยเหมือนกัน แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยต้องรีบบอกนะ”

“ไม่ต้องห่วงน่า เราโตแล้ว นายก็ชอบทำตัวเป็นแม่แก่เหมือนคุณจิตกับคุณอุ่นไปได้” เขาว่าพลางหัวเราะอย่างขบขันจึงโดนอีกฝ่ายต่อว่ามาอีกสองสามประโยค

ศศธรลืมตาขึ้นหลังจากนอนพลิกไปพลิกมาจนขี้เกียจเปลี่ยนท่าแล้ว เพดานสีขาวสูงโปร่งที่มองเห็นทำให้เธอรู้สึกงงงวย รีบมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจและเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่สมองเบลอๆ จะสามารถทำได้ ร่างสูงเพรียวของใครบางคนยืนอยู่ริมระเบียงด้วยท่าทีสบายๆ ภาพนั้นเหมือนเธอเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง คิ้วเรียวย่นเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบ ความทรงจำถอยหลังกลับไปช้าๆ

ใช่แล้ว เธอพบผู้ชายในฝันก่อนจะหมดสติไป

งั้นก็แปลว่านี่คือเรื่องจริงน่ะสิ เธอไม่ได้ฝันซ้อนฝัน แต่เขามีตัวตนจริงๆ!

คิดอย่างอัศจรรย์ใจพร้อมหยิกแก้มตัวเองเหมือนต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจว่าตอนนี้เธอกำลังตื่นอยู่ ความรู้สึกเจ็บแปลบที่พวงแก้มทั้งสองข้างทำให้รอยยิ้มตื่นเต้นแกมยินดีระบายทั่วใบหน้านวล

ไม่ได้ฝัน...

หญิงสาวนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แอบมองผู้ชายที่กระโดดออกมาจากความฝันของตัวเองเงียบๆ พลางนึกถึงคำพูดเย้าแหย่ของมาธวีเมื่อเช้านี้แล้วก็หัวเราะคิก ไม่ได้ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาจะเป็นเนื้อคู่ที่คนบนฟ้ากำหนดมาให้พบเจอกัน แต่เธอตั้งใจว่าต้องทำความรู้จักกับเขาให้จงได้

ก็แน่ละ เขาเป็นทั้งผู้มีพระคุณและเป็นเจ้าของเสียงที่อยู่ในฝันของเธอด้วยนี่...

ศศธรคิดอย่างเบิกบานใจและเป็นตอนนั้นเองที่เสียงนุ่มทุ้มของเขาลอยแว่วมาเข้าหู เธอจึงได้รู้ว่าหนุ่มในฝันกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ เสียงของเขาฟังดูคุ้นเคยจนเธอจำได้แม่นยำโดยไม่ต้องใช้ความพยายามแม้แต่น้อย ทว่าพอนึกถึงใบหน้าของเขากลับพบว่าหน่วยความทรงจำในสมองว่างเปล่า

“แปลกจังเลย ทำไมนึกไม่ออกนะ” คิ้วเรียวย่นเข้าหากันพลางครุ่นคิดอย่างสงสัย ก่อนจะทำคอยื่นคอยาวเพื่อมองให้เห็นใบหน้าชายในฝันให้ได้โดยไม่ให้เขารู้ตัว

ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังชะเง้อคออยู่นั้นชายหนุ่มก็เอียงหน้าเล็กน้อยพลางเหลือบมองเข้ามาในห้องแวบหนึ่ง คนตั้งใจแอบมองถึงกับสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบหลับตานอนนิ่งคล้ายยังไม่รู้สึกตัว ด้วยไม่อยากให้เขาคิดว่าถูกสาวโรคจิตแอบมอง เมื่อเสียงฝีเท้าของหนุ่มในฝันใกล้เข้ามาทุกที หัวใจใต้อกซ้ายก็เต้นถี่ระรัวเสียงดัง

‘พระเจ้าขา...ขออย่าให้เขาสังเกตเห็นความตื่นตระหนกในสีหน้าของวันจันทร์เลยนะคะ...’

หญิงสาวรำพึงรำพันในใจให้กับความงี่เง่าของตัวเอง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกตื่นเต้นมากมายขนาดนี้

ชานนท์เดินกลับเข้ามาภายในห้องพักฟื้นหลังวางสายจากภรัณยูแล้ว คิ้วเข้มขมวดยุ่งขณะทรุดตัวลงบนโซฟานุ่มแล้วชำเลืองมองสาวสวยที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความหนักใจ

เขาเสียเวลากับเธอไปมากกว่าครึ่งวัน แทนที่จะไปถึงชะอำแล้วแต่เขายังติกแหง็กอยู่ที่กรุงเทพฯ ครั้นจะไปก่อนเธอตื่นก็เกรงว่าหญิงสาวอาจต้องการความช่วยเหลือ เพราะตอนที่มาถึงโรงพยาบาลนั้นไม่มีหลักฐานใดสามารถยืนยันได้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ในเมื่อเขาเลือกที่จะช่วยแล้วก็ควรช่วยให้ถึงที่สุด

แต่ก็นั่นแหละ เมื่อไหร่เธอจะตื่นซะที เขาไม่ได้มีเวลามานั่งเฝ้าใครทั้งวันนะ เฮ้อ...

แอบคิดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยที่ต้องจับพลัดจับผลูมานั่งเฝ้าไข้คนไม่รู้จัก ก่อนจะละสายตาจากใบหน้าสวยซีด เหม่อมองออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย ช่วงเวลานั้นเองที่ความทรงจำเก่าเก็บย้อนเข้ามาในห้วงคำนึงโดยไม่อาจต้านทาน

แม้จะผ่านพ้นไปกี่ปีกี่เดือนแต่ภาพความหลังที่ฝังใจยังแจ่มชัดราวกับเหตุการณ์ทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ความรู้สึกเจ็บแปลบในช่องอกปะทุขึ้นมาอีกระลอกคล้ายปากแผลเก่าที่ยังไม่หายดีถูกสะกิดให้เปิดออก หัวใจของเขาจึงต้องเผชิญกับความปวดร้าวทรมานจากแผลที่ไม่มีวันหายสนิทอีกคราว...



หลังวางสายจากเพื่อนรักที่โทร. มาส่งข่าวเรื่องการเดินทางติดขัดเล็กน้อย ภรัณยูก็โทร. หาศศธรอีก ตั้งแต่มารดาออกไปรับเพื่อนที่สะพานปลาเขาก็เพียรโทร. หาน้องสาวนอกไส้เป็นสิบๆ ครั้งแล้วด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวไม่ได้ไปรับคุณนายตามที่รับปากไว้และไม่มีใครติดต่อเธอได้เลย แต่ไม่ว่าจะโทร. ไปกี่ทีๆ เจ้าหล่อนก็ไม่ยอมรับสาย และคราวนี้หนักข้อมากยิ่งขึ้น ถึงขั้นกดตัดสายและปิดเครื่องหนีเลยทีเดียว

“หายไปไหนนะวันจันทร์ ไม่รู้หรือไงว่าทำให้คนอื่นเป็นห่วง เล่นอะไรไม่รู้เวล่ำเวลาเลย”

“ทำไมหน้ายุ่งขนาดนั้นล่ะพี่รัณ คืนนี้จะได้เป็นเจ้าบ่าวแล้วรู้จักอดทนซะบ้าง เดี๋ยวนี้มันยังไงนะ ไอ้มุกก็ทำตัวเป็นสาวหวานเข้าไปทุกวัน ส่วนพี่ชายเราก็กลายเป็นคนใจร้อนไปซะอย่างนั้น ถามจริงๆ เถอะพี่ มีความรักแล้วต้องเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยเหรอครับ”

ภวัตเย้าแหย่อย่างขบขันพร้อมวางมือลงบนไหล่พี่ชายหนักๆ

คนถูกแหย่นิ่วหน้า ทำตาดุ จ้องน้องชายเขม็งจนฝ่ายนั้นสะดุ้ง ส่งยิ้มเจี๋ยมเจี้ยมแล้วลดมือลงในที่สุด

“ขอโทษคร้าบ ล้อเล่นนิดเดียว ทำไมต้องซีเรียสขนาดนี้ด้วย”

“อ้าว ก็นึกว่านายชอบแบบนี้มากกว่า” พี่ชายตอบเสียงแข็ง

คนเป็นน้องเลยได้แต่ทำคอหด บ่นงึมงำเบาๆ “กับยายมุกละขี้อ้อนอ่อนหวาน ทีกับเราละดุตลอดเล้ย”

“บ่นอะไร แล้วนี่น้ำหวานหายไปไหน พี่นึกว่าตัวติดกับนายซะอีก” พี่ชายถามเสียงเรียบ วางสีหน้าเคร่งขรึม กับน้องต้องวางฟอร์มหน่อย เดี๋ยวถูกล้อเลียนอีก

น้องชายถอนใจยาว สีหน้าสุดเซ็ง “ก็ถูกยายมุกแย่งความสนใจไปน่ะสิ พี่รัณไปดูเองแล้วกัน อยู่บนห้องผมนั่นแหละ เซ็งจริงๆ เมื่อไหร่วันจันทร์จะมาซะที จะได้แย่งหน้าที่นี้จากน้ำหวานหน่อย ผมกลายเป็นหมาหัวเน่าทั้งวันเลย”

ภรัณยูส่ายหน้าพลางถอนใจ ทั้งขำทั้งหมั่นไส้กับท่าทีซังกะตายของน้องชาย ภวัตทำตัวติดกับมาธวีตั้งแต่กลับจากชะอำในคราวที่มาฮันนีมูนนั่นแหละ จนถึงตอนนี้ผ่านไปแล้วสองเดือนก็ยังเป็นเหมือนเดิม เห็นแบบนี้เขาก็เบาใจหน่อย แต่อีกมุมหนึ่งลึกๆ ในหัวใจ ไม่ไหว อดหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆ!

“ไปพี่รัณ ไปแยกมุกออกมาหน่อยเถอะ ไม่งั้นผมอกแตกตายแน่ๆ” น้องชายเร่งเร้าด้วยสีหน้ากระตือรือร้น คิดว่าพี่ชายก็คงอยากมีเวลาส่วนตัวกับว่าที่เจ้าสาวเช่นกัน

คนเป็นพี่ยังคงสีหน้าเรียบขรึม แต่ภายในใจก็อดบ้าจี้ตามน้องชายไม่ได้ ก็จะไม่ให้เขารู้สึกแบบนี้ได้อย่างไร ในเมื่อมุกตาภาไม่ยอมให้เขาใกล้ชิดมากไปกว่าการจับมือมาสองเดือนเต็มๆ แล้ว เขาถูกเธอสั่งห้าม ไม่ให้ทำมากกว่านั้นจนกว่าจะแต่งงาน ไม่รู้เจ้าหล่อนเกิดเฮี้ยนอะไรขึ้นมา จู่ๆ ก็ตั้งกฎบ้าบอคอแตกชวนคลั่งนี้ในวันที่เขาถูกเจ้าถุงทองลวนลาม

“ไปสิพี่รัณ เร็วๆ เข้า ไล่น้ำหวานออกมาจากห้องให้ได้เลยนะ ผมอยากเล่นน้ำทะเล” ภวัตเร่งยิกๆ พลางดันแผ่นหลังกว้างของพี่ชายให้ออกเดิน

“ก็ได้ๆ เห็นแก่นายหรอกนะ” คนหน้าเคร่งว่า ยังวางสีหน้าขรึม หากนัยน์ตาพราวระยับ

“คร้าบ เป็นพระคุณอย่างสูงจริงจริ๊ง...” ภวัตล้อเลียนแล้วหัวเราะตามหลัง รู้ทันว่าพี่ชายเองก็อยากไปหาว่าที่เจ้าสาวใจจะขาดแล้ว



คนแกล้งหลับนอนเกร็งจนรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว แต่ทำแบบนั้นได้ไม่เกินสิบนาทีก็หมดความอดทน คิดว่าตอนนี้น่าจะได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้วที่จะตื่นจากอาการช็อก เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดขึ้นพลางปั้นสีหน้าให้ดูงงงวยสุดชีวิต คิดว่าตนแสดงละครได้แนบเนียนไม่แพ้ดารามืออาชีพ หากอาการใจเต้นตึกตักที่เป็นอยู่กลับไม่สามารถควบคุมได้ ยิ่งในตอนที่เหลือบมองหน้าชายในฝันของตัวเอง เธอก็ยิ่งตื่นเต้นจนแทบลืมหายใจ

เขานั่งบนโซฟายาว วางศอกไว้บนเข่า มือทั้งสองประสานกัน ใบหน้าเอียงข้างเล็กน้อย คิ้วเข้มพาดเฉียงกับดวงตาคมหม่นที่เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย จมูกโด่งเป็นสันได้รูปรับกับริมฝีปากหยักลึกสีสดใส ผิวภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกพับขึ้นไปครึ่งศอกเป็นสีแทนชวนหลงใหล สรุปโดยรวมคือเขาไม่ใช่แค่ผู้ชายที่อยู่ในฝันของเธอเท่านั้น หากแต่เป็นผู้ชายที่อยู่ในฝันของผู้หญิงทุกคนนั่นเลยทีเดียว

สาวสวยจ้องมองชายในฝันอย่างตกตะลึง หากการหายใจไม่ใช่ปฏิกิริยาทั่วไปที่ร่างกายควบคุมเองโดยอัตโนมัติ เธอเชื่อว่าคงจะลืมกระทั่งวิธีหายใจเพราะความงดงามของเทพบุตรกรีกที่เห็นอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็หันมาช้าๆ เหมือนจะรู้ว่ามีใครมองอยู่ เธอได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะหลบไม่ทันและสมองก็ไม่สั่งการให้ทำสิ่งใด

“คุณฟื้นแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างโล่งใจก่อนจะพาร่างสูงมายืนชิดขอบเตียง จ้องมองสาวสวยลุ้นๆ หวังให้เธอพูดอะไรสักคำ อะไรก็ได้ที่ทำให้เขาวางใจพอจะจากไปเสียที

หญิงสาวยังคงกะพริบตาขึ้นลงถี่ๆ พวงแก้มร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร้อนจนต้องยกมือขึ้นกุมแก้มไว้ทั้งสองข้าง ยิ่งเขาจ้องเธอก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออก

“เป็นยังไงบ้างครับ คุณรู้สึกดีขึ้นรึยัง ต้องการให้ผมติดต่อญาติให้มั้ย”

เขาถาม เห็นเธอจ้องเอาๆ ก็รู้สึกงุนงงแกมประหลาดใจในพฤติกรรมพิลึกพิลั่นนั้น

ศศธรหลุบตาต่ำ เพิ่งรู้ตัวว่าจ้องมองเขาอย่างไร้มารยาทที่สุดก็เป็นตอนที่ชายหนุ่มมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นละ รีบสูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มหวาน

“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ฉันต้องแย่แน่ๆ เลย”

ใบหน้าคมคายดูสดใสยิ่งขึ้นเมื่อระบายด้วยรอยยิ้มอ่อน เธออาจกำลังคิดว่าเขายิ้มปลื้มกับคำขอบคุณ แต่อันที่จริงแล้วชายหนุ่มยิ้มเพราะโล่งใจที่สาวเจ้ายังจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ และก็ไม่น่าจะใช่คนสติไม่สมประกอบอย่างที่นึกหวั่นในตอนที่เห็นเธอจ้องเอาๆ นั่นต่างหากล่ะ

“ไม่เป็นไรครับ คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว อยากให้ผมช่วยติดต่อญาติให้ไหม รู้สึกว่ากระเป๋าของคุณจะติดไปกับแท็กซี่คันนั้น”

หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อเขาเอ่ยถึงคำว่า ‘ญาติ’ ก่อนจะครางออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “โอ้ก๊อด...”

ชายหนุ่มทำหน้างง “มีอะไรรึเปล่าครับ”

เธอเงยหน้าขึ้นถามโดยไม่ตอบ “นี่กี่โมงแล้วคะ”

เขาก้มลงมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเรือนหรู “เกือบจะสี่โมงเย็นแล้วครับ”

ศศธรหลับตา พ่นลมหายใจ ยกมือขึ้นกุมขมับ สีหน้าวุ่นวายใจอย่างที่สุด “ตายแน่ๆ เลยวันจันทร์...”

เขามองท่าทีหมดอาลัยตายอยากของหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ “มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคุณ”

“ขอยืมมือถือคุณหน่อยได้มั้ยคะ” เธอมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน

ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนแล้วควักเครื่องมือสื่อสารประจำกายยื่นให้

หญิงสาวพึมพำขอบคุณ ก่อนจะรับมือถือมากดเบอร์โทรศัพท์ที่เธอจำได้ขึ้นใจ อีกมือสะบัดผ้าห่มเนื้อบางของโรงพยาบาลออกแล้วก้าวลงจากเตียงอย่างคล่องแคล่ว ไร้วี่แววของคนป่วยโดยสิ้นเชิง หลบไปยืนคุยที่ริมระเบียงอย่างเป็นส่วนตัว

ชานนท์ย่นคิ้ว มองตามสาวเจ้าอย่างอย่างงงงัน

ตกลงแล้วเธอไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม?



เมื่อภรัณยูแวะเข้าไปเยี่ยมๆ มองๆ ว่าที่เจ้าสาวคนสวยที่ห้องพักของมาธวี สิ่งที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้คือสีหน้ายุ่งยากใจสุดชีวิตของว่าที่เจ้าสาวซึ่งกำลังนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ให้มาธวีช่วยจัดการกับทรงผมอันแสนจะยุ่งเหยิงของเธอให้เข้ากับชุดราตรีสั้นสีขาวที่จะใส่ในงานคืนนี้

ชายหนุ่มอมยิ้มอย่างขบขัน เข้าใจความรู้สึกของมุกตาภาดี เธอไม่ใช่คนชอบแต่งสวย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผมหญิงสาวก็มักจะใช้ความเรียบง่ายเข้าว่าเสมอ

ช่างจำเป็นเหลือบไปเห็นร่างสูงที่ยืนกอดอก อมยิ้มขวางประตูอยู่จึงหันไปขอความเห็น “พี่รัณมาพอดี ช่วยน้ำหวานดูหน่อยสิคะว่าทรงนี้ใช้ได้รึยัง”

เขาหัวเราะหึๆ ขณะสบตาว่าที่เจ้าสาวผ่านกระจกเงา ในขณะที่มุกตาภาก็มองว่าที่เจ้าบ่าวด้วยสายตาอ้อนวอน อาศัยจังหวะที่มาธวีหันหน้าไปรอคอยคำตอบจากเขา ส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มรีบบอกว่า ‘โอเค’

“ทรงไหนพี่ก็มองว่าสวยอยู่ดี” เขาตอบอย่างรู้ใจ นัยน์ตาคมราวกับจะยิ้มได้

ช่างจำเป็นทำหน้ามุ่ย บอกมุกตาภาเสียงขุ่น “คำพูดของพี่รัณเชื่อไม่ได้นะคะคุณมุก น้ำหวานรู้ว่าพี่รัณอยากทำคะแนน งั้นน้ำหวานไปขอความเห็นจากพี่วัตดีกว่า น่าจะมีความยุติธรรมมากพอ”

พูดจบก็วางหวีในมือลง เดินลิ่วออกไปจากห้องพัก แต่ในขณะที่สวนกับภรัณยูตรงหน้าประตูเธอก็ขยิบตาพร้อมกระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน

“พี่รัณต้องตอบแทนน้ำหวานด้วยนะคะ อุตส่าห์หาโอกาสให้จู๋จี๋กับคุณมุกสองต่อสอง เดี๋ยวขอเวลาคิดซักคืนว่าอยากได้อะไร ก่อนกลับกรุงเทพฯ น้ำหวานจะบอกอีกทีค่ะ”

ว่าที่เจ้าบ่าวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามายืนซ้อนหลังหญิงสาวที่นั่งหน้าหงิกบอกบุญไม่รับอยู่หน้ากระจกเงาที่โต๊ะเครื่องแป้ง

“ฉันไม่ชอบม้วนผมแบบนี้ ไม่เอาทรงนี้ได้มั้ย ไหนบอกว่าเป็นงานเลี้ยงที่มีแต่คนกันเองทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ ขอปล่อยสบายๆ หรือไม่ก็มัดรวบเป็นหางม้าง่ายๆ ได้รึเปล่าคะ ชุดที่ใส่ก็ไม่ได้หรูหราอะไรด้วย ไม่ต้องแต่งเต็มยศนักก็ได้มั้ง”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มผ่านกระจกเงาอย่างอ้อนวอน

เขาย่อตัวลง วางมือที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับเธอ กระซิบบอกเสียงนุ่มในขณะที่ดวงตายังสบกันผ่านกระจกเงา

“ตามใจสิครับ คุณว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้น เราตกลงกันแล้วนี่ว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวของกันและกันถ้าไม่จำเป็น ทรงผมถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ อะลุ่มอล่วยกันได้”

มุกตาภาขยับตัวอย่างอึดอัด อยู่ใกล้เขาเมื่อไรเป็นแบบนี้ทุกที ความเป็นตัวของตัวเองหดหายหมด ดูเถอะ เพียงแค่คำพูดแผ่วๆ กับดวงตาคู่คมที่จ้องมองมาก็ทำให้เธอหายใจติดขัดได้ นี่ขนาดยื่นคำขาดห้ามเขาแตะต้องมากกว่าการจับมือนะ หากไม่มีกฎเหล่านี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะใจแข็งกับเขาได้แค่ไหน

ชายหนุ่มเอียงหน้าเล็กน้อย ปลายจมูกโด่งจวนจะชนแก้มนวลอยู่แล้วเชียว หากหญิงสาวขยับถอยแล้วเบี่ยงตัวลุกขึ้นเสียก่อน เขาจึงถอนใจ ยืดตัวเต็มความสูง ไม่พูดอะไรหากใช้ดวงตาจ้องมองเธออย่างตัดพ้อ

“คุณวันจันทร์ยังไม่มาอีกเหรอคะ เกือบเย็นแล้วนะ” เธอส่งยิ้ม หันเหความสนใจของเขาไปเรื่องอื่น

ชายหนุ่มพอจะรู้ทัน หากคำถามนั้นทำให้เขาย่นคิ้วด้วยความวิตกกังวล

“ติดต่อไม่ได้เลยทั้งวัน ไม่รู้ว่าหายตัวไปไหน ผมเองก็นึกเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน”

“ติดต่อไม่ได้?”

“ครับ ไม่รู้ว่าไปเถลไถลอยู่ที่ไหน โทร. ไปก็ตัดสายทิ้ง ครั้งสุดท้ายนี่หนักสุด ถึงกับปิดมือถือหนีเลยทีเดียว” เขาถือโอกาสระบายแกมบ่นอย่างไม่ชอบใจ

หญิงสาวมีสีหน้าครุ่นคิด “แต่ฉันว่าการหนีไม่ใช่นิสัยของคุณวันจันทร์นะคะ มันแปลกๆ อยู่นะ”

เขาคิดตาม สักพักก็ต้องพยักหน้ารับอย่างเห็นพ้อง “จริงด้วย อย่างวันจันทร์มีแต่ชนแหลกเท่านั้น การหนีไม่ใช่นิสัยปกติที่วันจันทร์ชอบทำ”

ทั้งสองคนสบตากันด้วยความวิตกกังวลใจ ทว่าไม่มีใครพูดอะไรอีก เนื่องจากการคาดเดาเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้มีแต่แง่ลบ และพวกเขาก็ไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น



คุณเดือนเต็มเห็นเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยโทร. เข้ามาก็ย่นคิ้วด้วยความแปลกใจ กดรับสายแล้วส่งเสียงฉอเลาะตามสไตล์ “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”

“มัมอยู่ไหนคะ ตอนนี้...”

อีกคนยังพูดไม่ทันจบดีคุณนายก็แทรกขึ้นเสียงแหลม

“ต๊าย! วันจันทร์นั่นลูกอยู่ที่ไหนฮึ แม่กับเรมาถึงชะอำแล้วนะ เรากำลังทานซีฟูดอยู่ที่ร้านอาหารแถวๆ สะพานปลาน่ะ แล้วเมื่อไหร่ลูกจะมาถึงจ๊ะ นี่เรอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาลูกเลยนะ เสียมารยาทจริงๆ ลูกคนนี้ ปล่อยให้แม่กับแขกรออยู่ได้ตั้งนานสองนาน วันจันทร์ๆ แม่จะบอกอะไรให้นะ...”

อีกยาวเหยียดที่สมองของศศธรไม่สามารถรับข้อมูลมาได้ทั้งหมดในตอนนั้น แต่จากการประมวลผลคร่าวๆ ส่วนใหญ่แล้วผู้เป็นมารดาเอ่ยถึงผู้ชายที่ชื่อ ‘เร’ และคุณสมบัติล้านแปด แน่นอนว่าต้องเป็นด้านที่ดีของเขาถึงเก้าสิบเก้าจุดเก้าๆ เปอร์เซ็นต์

หญิงสาวส่ายหน้าสุดเซ็งขณะเหลือบมองชายหนุ่มอีกคนที่รอคอยอยู่ในห้องด้วยท่าทีสงบอย่างเกรงใจ คู่สนทนาพูดเป็นต่อยหอยจนหาช่องว่างในการตอบโต้ไม่ได้เลยต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจแล้วหยุดไปเอง และในที่สุดเธอก็สบโอกาสนั้นเมื่อเรื่องที่คุณนายพูดถึงคืออีกศูนย์จุดศูนย์ๆ หนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ

“แล้วลูกจะมาถึงเมื่อไหร่จ๊ะ จะได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการซะที”

“มัมคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเครียดเมื่อมารดาเว้นจังหวะให้ แต่กระนั้นก็ยังไม่วายที่จะดักคออย่างรู้ทัน

“จุ๊ๆ จ้ะลูกรัก อย่าเพิ่งบอกว่าไม่สนใจคนที่แม่จะแนะนำให้รู้จัก จนกว่าลูกจะได้พบตัวเป็นๆ ของเขา”

ศศธรส่ายหน้าเพลียๆ นอกจากไม่ใส่ใจจะถามไถ่ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงไม่ไปรับตามที่ตกลงกันไว้แล้ว ผู้เป็นมารดายังมีแก่ใจแนะนำชายหนุ่มให้เธอรู้จักอีก ความห่วงใยที่ปล่อยให้มารดารอคอยอย่างไร้จุดหมายจึงหดหายไปหมด ตอนนี้เหลือเพียงความหงุดหงิดเท่านั้น

“จริงๆ นะจ๊ะลูกรัก เรเป็นผู้ชายที่แม่ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธได้ ลูกต้องมาเห็นกับตาแล้วจะรู้ว่าที่แม่พูดน่ะยังดูน้อยไป”

ได้ยินมารดาสำทับมาแบบนั้นก็ยิ่งเซ็งจิตไปกันใหญ่

ผู้ชายอะไรจะเพอร์เฟกต์ได้ขนาดนั้น หากมีจริงก็คงไม่เหลือมาถึงเธอหรอก!

ใบหน้าสวยซึ้งส่ายไหว ไม่เชื่อน้ำมนต์ของมารดา แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงที่อยู่ในห้องโดยบังเอิญพร้อมกับความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นในหัว

นี่ต่างหากล่ะ คือความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง...

พลันความคิดพิสดารที่สุดในโลกเท่าที่เธอจะคิดได้ก็จุดประกายวาบขึ้นมา ผลักดันทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยบรรจุอยู่ในสมองให้กระเด็นไกล ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มพึงใจ ดวงตาคู่สวยฉายแววเจ้าเล่ห์

ดูซิ เจอมุกนี้เข้าไปแล้วมัมจะว่าอะไรได้...

“ฟังให้ดีนะคะมัม เรื่องนี้สำคัญมาก” หญิงสาวซ่อนยิ้มขณะเอ่ยเสียงดังฟังชัด ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเพราะผู้เป็นมารดาไม่มีทางที่จะได้เห็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะของเธอในตอนนี้

“ว่าไงเอ่ย?”

สาวสวยค่อยรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ตอบชัดถ้อยชัดคำ

“วันจันทร์เจอเนื้อคู่แล้วค่ะ!”










 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2557
0 comments
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2557 13:11:41 น.
Counter : 851 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


nawapat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




...เขียนเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็หยุด สนองนี้ดมันไปตามอารมณ์ ^^"...
Friends' blogs
[Add nawapat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.