Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2557
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
24 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 

พระจันทร์ร้อยเล่ห์ - 7 - ชัยชนะในมือมาร




เมื่อเห็นปั้นหยาแทรกตัวเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทีระแวดระวังภัยเต็มที่ เสียงหวานบาดใจของศศธรก็ดังขึ้น

“มาแล้วเหรอจ๊ะปั้นหยา”

อีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันไปมองต้นเสียงด้วยสายตาหวาดระแวงแคลงใจ

เจ้าของห้องชั่วคราวยิ้มหวานอาบยาพิษที่มีชื่อว่า ‘เยาะเย้ย’ ใส่ตาผู้มาใหม่ ดวงตาคู่สวยแพรวพราวไปด้วยแววขบขันแกมเจ้าเล่ห์ วาระแห่งการสั่งสอนบทเรียนที่สองมาถึงแล้ว!

“เข้ามาใกล้ๆ หน่อยสิปั้นหยา ฉันมีเรื่องไหว้วานหน่อย ปั้นหยาจะช่วยฉันได้โดยไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยจ๊ะ” เอ่ยเสียงหวานหลอกล่อศัตรู แต่แทนที่ปั้นหยาจะวางใจกลับยิ่งทำให้ขวัญกระเจิงซะมากกว่า

“มีอะไรก็ว่ามาเถอะค่ะ อยู่ตรงนี้ปั้นหยาก็ได้ยิน”

คนที่รู้ตัวว่าเสียเปรียบตอบด้วยท่าทีอ่อนลงกว่าเมื่อวาน หากยังไม่ยอมศิโรราบเสียทีเดียว

รอให้คุณจิตกลับมาเมื่อไหร่เถอะ เมื่อนั้นจะเป็นทีของนังปั้นหยาบ้าง!

ศศธรหรี่ตาจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ รอยยิ้มยังหวานจับใจแต่สายตาบอกชัด เจอดีแน่!

“เข้ามาใกล้ๆ จ้ะปั้นหยา ฉันไม่ชอบตะโกนคุยกับใคร”

ปั้นหยาลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างหวาดหวั่น แต่พอจะรู้สถานะตัวเองดีว่าตอนนี้ไม่มีแต้มต่อให้หวังพึ่งจึงได้แต่กระดืบเข้าไปหาหญิงสาวอย่างไม่เต็มใจ

สาวสวยอมยิ้มในหน้า ยื่นมือขวาให้ปั้นหยาพร้อมสั่งเสียงหวาน “เล็บฉันย้าวยาวเนอะ ดูสิน่าเกลียดจังเลย ปั้นหยาช่วยตัดเล็บให้ฉันหน่อยนะจ๊ะ”

ปั้นหยาเบิกตาโตจนแทบถลนออกมานอกเบ้า จ้องกลับอย่างไม่พอใจพลางปฏิเสธเสียงแข็ง “ปั้นหยาไม่ใช่ช่างเสริมสวยนะคะจะได้มาใช้ให้ตัดเล็บ ขาคุณเจ็บแต่มือยังใช้การได้ เรื่องอะไรต้องมาใช้ปั้นหยาด้วย”

นางร้ายในคราบนางเอกยังคงยิ้มหวานอย่างใจเย็น

“แปลว่าจะไม่ทำ?”

ปั้นหยามองสีหน้ายิ้มแกมเยาะนั้นแล้วก็ให้ขัดใจยิ่งนัก แต่จะปฏิเสธได้อย่างไร ขืนไม่ทำมีหวังโดนส่งกลับกรุงเทพฯ อย่างคนไร้ประโยชน์แน่ เธอยังจำได้ดี เมื่อเช้านี้ชานนท์ขู่ไว้เสียงเข้ม

‘อย่าให้รู้นะว่าทำหยาบคายกับแขกของฉันอีก ถ้าคิดว่าคุณจิตคนเดียวที่เป็นเจ้านายของปั้นหยา ฉันก็จะส่งปั้นหยากลับไปอยู่กับคุณจิต’

“ว่าไงจ๊ะปั้นหยา ตัดสินใจได้รึยังเอ่ย”

เสียงใสดังขึ้น กระชากปั้นหยาออกจากภวังค์ เมื่อสบตาเย้ยยวนกวนประสาทของแขกสาวสวยแล้วก็ได้แต่ฮึ่มฮั่มอยู่ในใจ เดินกระแทกส้นไปค้นหาอุปกรณ์การตัดเล็บอย่างจำนน

เมื่อปั้นหยาเดินเข้ามาหา ศศธรก็ยิ้มหวานพลางยื่นมือขวาให้ก่อน นิ้วเรียวขยับยั่ว เรียวปากอิ่มก็บิดเบ้ผสมรอยยิ้มเยาะบอกอารมณ์พึงพอใจ แต่เมื่อปั้นหยารับมือของเธอไปหญิงสาวก็ขู่ไว้ด้วยน้ำเสียงหวานๆ เย็นๆ

“อ๊ะๆ อย่าให้นิ้วของฉันมีแผลนะจ๊ะปั้นหยา เมื่อวานคงรู้แล้วว่าฉันคิดค่าอาหารเที่ยงไปเท่าไหร่ ถ้าวันนี้ถึงกับเลือดตกยางออก คงไม่ต้องบอกนะว่าฉันจะคิดค่าบาดเจ็บแพงแค่ไหน”

ปั้นหยากัดฟันกรอด หรี่ตามองนางมารร้ายอย่างเจ็บแค้น

หญิงสาวไหวไหล่ ยิ้มยั่วท้าทายเช่นเคย แถมยังตบท้ายด้วยการเอ่ยสำทับเสียงหวานจ๋อย “ตัดเสร็จแล้วก็ตะไบเล็บให้ฉันด้วยนะปั้นหยา สวยๆ เบาๆ นะจ๊ะ อย่าให้มีแผลเด็ดขาด”

ปั้นหยากัดฟัน ก้มหน้าก้มตาเป็นทาสรับใช้ของศศธรตลอดทั้งวันด้วยความรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น ไหนจะตัดเล็บ ตะไบเล็บ นวดแขน นวดตัว หยิบโน่น หยิบนี่ เดินขึ้น เดินลง วันทั้งวันแทบไม่ได้หยุดนิ่งเกินห้านาที กว่าจะเย็นย่ำเลือดตาก็แทบกระเด็น

ศศธรยังคงยิ้มหวานบาดใจได้ตลอดทั้งวัน แต่ก่อนจะปล่อยให้ปั้นหยากลับไปพัก เธอก็ประกาศก้องให้อีกฝ่ายได้ยินชัดเจนเต็มสองหู

“รู้แล้วนะปั้นหยาว่าฉันทำอะไรได้บ้าง ถ้าฉลาดก็ควรประจบฉันเอาไว้มากๆ วันหน้าวันหลังจะได้ไม่ลำบากเหมือนวันนี้”

ปั้นหยาแทบร้องไห้โฮด้วยความเจ็บใจ เดินสะบัดหน้าออกไปอย่างเหนื่อยล้า กัดฟันก่นด่าอีกฝ่ายไปตลอดทางด้วยความคับแค้นใจ

“ฮึ...ปีศาจในคราบนางฟ้าชัดๆ สวยแต่หน้า จิตใจโหดเหี้ยม อำมหิตผิดมนุษย์ คอยดูนะ ถ้าคุณจิตกลับมาเมื่อไหร่ นังปั้นหยาจะคิดดอกเบี้ยให้คุ้มเลย ฮึ่ย! แค้นๆๆ”



คุณอุ่นเรือนลอบมองปั้นหยาด้วยความประหลาดใจ ปกติแล้วพอถึงเวลาตั้งโต๊ะอาหารเย็นเมื่อไร เจ้าหล่อนจะเป็นคนแรกที่ขันอาสาเข้ามาช่วยเหลือด้วยความเต็มอกเต็มใจเพื่อจะเอาหน้ากับชานนท์ หากคราวนี้ปั้นหยากลับนั่งถอนใจฟืดฟาด หน้าดำหน้าแดงราวกับโมโหใครมาสักร้อยชาติ ล้างผักคะน้ามาครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่เสร็จ แต่ดูท่าว่าผักจะช้ำไปซะก่อนละมากกว่า

“เป็นอะไรไปอีกล่ะปั้นหยา ทำหน้าเหมือนโกรธใครมาอย่างนั้นแหละ แล้วล้างผักน่ะ เบาๆ หน่อย ช้ำหมดพอดี” ทนไม่ไหวคุณอุ่นเรือนก็เอ่ยขึ้น

ปั้นหยาหันขวับ ใบหน้าบูดบึ้ง ตอบด้วยเสียงกระแทกกระทั้นหวังระบายความคับอกคับใจให้ทุเลา “ก็แขกของคุณนนท์สิคะคุณแม่บ้าน เธอเรียกใช้ปั้นหยาทั้งวี่ทั้งวันแทบไม่ได้พักเลย อย่างนี้มันแกล้งกันชัดๆ”

“เว่าค่อยๆ เด้อนังปั้นหยา เดี๋ยวเฮาไปบอกคุณวันจันทร์แล้วสิหาว่าบ่เตือนเด้อ” ข้าวจี่แทรกขึ้น แขกสาวสวยของเจ้านายในสายตาเธอแสนจะน่ารัก เทียบกับคู่อริตลอดศกแล้วไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธออยู่ข้างใคร

“เอ๊ะ นังข้าวจี่ มันจะมากเกินไปแล้วนะ ฉันกับแกอยู่บ้านเดียวกัน แทนที่จะเข้าข้างฉัน แกไปเข้าข้างคนอื่นได้ยังไงฮะ เคยได้ยินมั้ย หน้าสวยใจเสือน่ะ ระวังเถอะจะโดนดีเข้าซักวัน” ปั้นหยาสวนกลับเสียงแข็ง

ข้าวจี่ยื่นหน้าท้าทาย “บ่มีทาง เพิ่นเป็นคนน่าฮัก บ่แม่นคนนิสัยเสียอย่างที่ไผ๋ใส่ร้าย อย่ามาว่าคุณวันจันทร์เด้อ เฮานี่แหละสิไปฟ้องให้ฮู้ดำฮู้แดงกันไปเลย”

“หืม...นังข้าวจี่ นังคนขี้ฟ้อง” ปั้นหยาคำรามเสียงต่ำ

“เป็นหยังล่ะ นังคนบ่ขี้ฟ้อง เฮากะเห็นนั่งฮ้องไฮ้ฟ้องคุณแม่บ้านกระซิกๆ คือกันนั่นละวะ” ฝ่ายนี้มีหรือจะยอมน้อยหน้า

ปั้นหยาลุกพรวด ถลาเข้าไปหาข้าวจี่ ฝ่ายนั้นก็ตั้งการ์ดรออย่างเตรียมพร้อม ต่างคนต่างแยกเขี้ยว ตั้งท่าจะกระโจนใส่กัน แต่พอคุณอุ่นเรือนตวาดแว้ดทีเดียวเท่านั้นแหละ สองสาวที่ทำท่าจะขย้ำคอกันก็ชะงักกึก ต่างคนต่างลดมือที่เงื้อขึ้นหมายทำร้ายอีกฝ่ายลงในทันที

คุณอุ่นเรือนหอบหายใจอย่างโมโห ก้าวฉับๆ เข้าไปหยุดยืนใกล้กับมวยคู่สูสี พัดในมือปัดสองฉับที่ศีรษะของฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินอย่างไร้ความลำเอียง ทั้งสองหน้าแหย ยกมือลูบศีรษะป้อยๆ

"อยู่บ้านเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน แต่กลับทะเลาะกันเหมือนหมา อย่าให้ฉันเห็นว่าเธอสองคนจะฆ่ากันตายแบบนี้อีกนะ ถ้าพูดไม่รู้ฟังฉันจะบอกคุณนนท์ให้ไล่ออกทั้งสองคนเลย แล้วอย่าหาว่าฉันใจร้าย แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองเดี๋ยวนี้”

เสียงคุณอุ่นเรือนเฉียบขาดบ่งบอกความจริงจัง สองสาวเลยได้แต่ทำหน้าหงอย แต่ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามคำสั่งยังไม่วายหันมาถลึงตาแยกเขี้ยวใส่กันเป็นการทิ้งท้าย

คุณแม่บ้านขมวดคิ้วนิ่วหน้า นึกถึง ‘ตัวต้นเหตุ’ พลางถอนหายใจอย่างหงุดหงิด

มาอยู่ไม่เท่าไหร่ก็ทำท่าว่าจะสร้างความวุ่นวายภายในไร่เสียแล้ว เฮ้อ...



คุณอุ่นเรือนดักรอเจ้านายหนุ่มที่เธอเอ็นดูรักใคร่ไม่ต่างจากบุตรชายแท้ๆ อยู่หน้าบ้าน จนกระทั่งรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่คุ้นตาแล่นมาจอดในโรงรถ เธอจึงเดินออกไปหาเขาที่นั่น ด้วยไม่ปรารถนาให้ใครได้ยินในสิ่งที่อยากถามไถ่

ร่างสูงในชุดกางเกงยีนตัวเก่าสีซีดจางกับเสื้อยืดสวมทับด้วยแจ็กเกตเนื้อหนาสีทึมๆ บ่งบอกถึงการใช้งานอย่างสมบุกสมบันพอกันกับบูทครึ่งแข้งคู่เก่งที่ก้าวลงจากรถกระบะทำให้คุณอุ่นเรือนอดมองด้วยสายตาชื่นชมไม่ได้ แม้เมื่อห้าปีก่อนเขาจะเป็นคุณชายรูปหล่อเหมาะจะอยู่ในเมืองหลวง หากทุกวันนี้ชานนท์กลับกลายร่างเป็นหนุ่มชาวไร่เต็มตัว สง่างามและกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างไร้ที่ติ

ชานนท์เห็นอีกฝ่ายยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รอคอยอยู่ข้างรถก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ถอดหมวกปีกกว้างที่สวมติดศีรษะมาแทบทั้งวันออกแล้วใช้นิ้วแข็งแรงสางผมลวกๆ ให้เข้ารูปเข้ารอยสักหน่อยพลางส่งยิ้มแก้เก้อไปให้ อย่างน้อยเขาก็อยากดูดีต่อหน้าสาว (น้อย) ที่ยืนส่งสายตาหวานฉ่ำมาให้ในขณะนี้

“มายืนรอผมมีอะไรรึเปล่าครับคุณอุ่น”

คุณอุ่นเรือนค้อนคมก่อนย้อนถามด้วยน้ำเสียงคล้ายน้อยใจ “ถ้าไม่มีอะไรแล้วคุณอุ่นจะมารอคุณนนท์กลับบ้านไม่ได้เหรอคะ หรือว่าอนุญาตแค่สาวๆ สวยๆ อย่างคุณวันจันทร์เท่านั้น”

เขาหัวเราะร่วนพลางเดินเข้าไปสวมกอดคนแก่อย่างเอาใจ “โธ่...คุณอุ่นก็พูดไป ผมกับวันจันทร์ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณอุ่นคิดนะครับ”

“แล้วเป็นแบบไหนกันคะ ถึงได้ตามมาพักค้างอ้างแรมกับคุณนนท์ที่นี่ คุณอุ่นถามจริงๆ นะคะ คุณวันจันทร์น่ะเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน คุณนนท์พาลูกสาวเขามาอยู่ด้วยแล้วจะมีปัญหาอะไรตามมารึเปล่า ถ้าไม่ได้คิดอะไรก็อย่าให้อยู่นานนักนะคะ มันไม่ค่อยงาม ผู้หญิงจะเสียหายเอา ถ้าพ่อแม่เขามาตามหาลูกสาวที่นี่ ถึงตอนนั้นจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ใครจะยอมกันคะ คุณอุ่นอยากให้คุณนนท์คิดดีๆ ก่อนจะทำอะไรลงไป”

คุณอุ่นเรือนร่ายยาวด้วยน้ำเสียงปรานี ไร้แววตำหนิ หากก็ฝากอะไรไว้ให้คิดตาม

ชายหนุ่มอมยิ้ม แววตารู้ทัน “ห่วงว่าผู้หญิงจะเสียหายหรือห่วงว่าผมจะโดนจับกันแน่ครับคุณอุ่น”

คุณแม่บ้านนิ่วหน้า ฟาดเผียะที่แขนคนรู้ทันอย่างมันเขี้ยวพร้อมเอ็ดเสียงเขียว “ปากคอเราะรายนะคะคุณนนท์ ฟังพูดเข้า แล้วนี่ตกลงคุณอุ่นจะได้รู้ไหมคะว่าคุณวันจันทร์มาอยู่ที่ไร่เคียงดาวในฐานะอะไร”

เขาหัวเราะลึกในลำคอ “สุดท้ายก็หลุดความในใจจนได้นะครับคุณอุ่น ก็ทำไมไม่ถามผมตรงๆ แบบนี้ซะตั้งแต่แรกล่ะครับ”

อีกฝ่ายส่งค้อนตาเขียว “ถ้าถามแล้วจะตอบไหมล่ะคะ”

ชายหนุ่มอมยิ้ม ยืนยันหนักแน่น “ไม่ว่าจะในฐานะอะไร วันจันทร์แค่มาอาศัยอยู่กับเราชั่วคราวเท่านั้นครับ แล้วคุณอุ่นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาตามหาเธอและเรียกร้องอะไรจากผมด้วย ครอบครัวของเธอไม่ได้อยู่เมืองไทย ไว้ขาเธอหายดีเมื่อไหร่ ผมจะส่งเธอกลับบ้านทันทีครับ”

คุณอุ่นเรือนนิ่วหน้า กังวลว่าเรื่องมันจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น ด้วยเห็นว่าเพียงมาอยู่ไร่เคียงดาวได้วันเดียวศศธรยังสามารถก่อหวอดได้ในขณะที่ขาเดี้ยงทั้งสองข้าง ถ้าหายดีจะขนาดไหน แล้วหากเจ้าหล่อนเกิดไม่อยากกลับบ้านขึ้นมา ทีนี้จะทำยังไง เจ้านายหนุ่มของเธอน่าสนใจน้อยอยู่หรือ

ชานนท์เห็นสีหน้ากังวลของคุณแม่บ้านแล้วก็ได้แต่ระบายยิ้มอ่อนอย่างขบขัน “อย่าห่วงไปเลยครับ คุณอุ่นก็รู้ดีว่าผมน่ะไว้ใจได้”

ผู้สูงวัยถอนฉุนเบาๆ สีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง

“ค่ะ คุณนนท์น่ะไว้ใจได้ แต่คุณวันจันทร์สวยซะขนาดนั้น ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับเธอก็ระวังหัวใจตัวเองดีๆ ก็แล้วกันนะคะ แล้วจะหาว่าคนแก่ไม่เตือน”

ชายหนุ่มหัวเราะโดยไม่ตอบว่าอย่างไร แขกสาวส้มหล่นของเขาสวยมากก็จริง แต่เรื่องของหัวใจแค่ความสวยงามภายนอกมันตัดสินกันไม่ได้หรอก และที่สำคัญเขายังไม่พร้อมจะรับใครเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง...



ในเมื่อศศธรยังคงเป็นผู้บาดเจ็บที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ การมาเยี่ยมเยียนหญิงสาวหลังกลับจากไร่และเชิญเธอลงไปกินมื้อเย็นร่วมกันด้วยตัวเองก็ถือหน้าเป็นหน้าที่ของเขาในระหว่างนี้

หญิงสาวเหลือบตามองประตูหลังจากได้ยินเสียงเคาะเพราะรู้ว่าอีกเดี๋ยวไม่ใครก็ใครคงตามเข้ามาหลังสัญญาณนั้นอย่างแน่นอน เมื่อร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองใส่สบายแทรกตัวเข้ามาในห้อง รอยยิ้มยินดีก็ปรากฏขึ้นอย่างเปิดเผย เอ่ยทักทายเสียงใส

“กลับมาแล้วเหรอคะ”

เขาส่งยิ้มให้ก่อน เห็นเธอครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงในท่าใกล้เคียงกับเมื่อวานแล้วก็นึกเห็นใจ วันทั้งวันขยับไปไหนไม่ได้แถมยังต้องนอนอยู่แต่บนเตียงแบบนี้เธอคงเซ็งแย่

“วันนี้เป็นไงบ้างครับ ปั้นหยาทำอะไรคุณอีกรึเปล่า ถ้ามีอะไรบอกผมได้นะ”

เธอเปิดยิ้มสดใส เรื่องของปั้นหยากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไร้สาระ ไม่ควรหยิบยกมาเป็นหัวข้อสนทนาด้วยซ้ำ ตัวป่วนปลายแถวเช่นนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธออย่างแน่นอน

“เปล่านี่คะ วันนี้ปั้นหยาดูแลวันจันทร์ดีมากค่ะ แต่ว่า...”

เธอลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรขอร้องเขาดีไหม ท่าทางเขายุ่งพอดูจึงไม่อยากรบกวนสักเท่าไร แต่หากเป็นไปได้เธอก็อยากหายไวๆ แล้วตามเขาไปที่ไร่องุ่นทุกวันมากกว่าติดแหง็กอยู่บนเตียง

“มีอะไรรึเปล่าครับ ถ้าคุณมีเรื่องไม่สบายใจก็พูดมาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก” เขาเห็นสีหน้าลำบากใจของเธอจึงเปิดโอกาสให้หญิงสาวพูดมันง่ายขึ้น ในใจคิดเพียงว่า...

‘อยากได้อะไรก็บอกเถอะ มาเกรงอกเกรงใจตอนนี้ดูเหมือนจะช้าไปแล้ว...’

เธอสบตาเขา ทำสีหน้าออดๆ พองาม งั้นไม่เกรงใจแล้วนะ...

“วันจันทร์อยากเอาเฝือกออกค่ะ ขาซ้ายไม่เจ็บแล้ว อยู่แบบนี้ทำอะไรไม่ได้เลยวันจันทร์รำคาญตัวเองค่ะ ส่วนขาขวาตอนนี้ก็ไม่ค่อยปวดแล้วน่าจะถอดเฝือกแข็งได้แล้วนะคะ วันจันทร์รู้สึกเหมือนเป็นคนพิการยังไงก็ไม่รู้ ถ้าเป็นไปได้วันจันทร์อยากไปหาหมอค่ะ จะได้เอาไอ้เฝือกนี่ออกซะที คุณนนท์ช่วยพาวันจันทร์ไปหาหมอหน่อยได้มั้ยคะ ถ้าไม่ว่างจะให้ใครขับรถให้ก็ได้ค่ะ”

“พรุ่งนี้ผมโทร. นัดหมอเข้ามาดูให้น่าจะสะดวกกว่านะครับ แล้วอีกอย่างผมว่าให้หมอเป็นคนตัดสินใจดีกว่าว่าคุณหายแล้วหรือยังไม่หาย เรื่องเอาเฝือกออกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยจะเหมาะกว่า คุณไม่ใช่หมอ” เขาแนะและแอบเตือนคน ‘รู้ดี’ ไปด้วย

ขาเดี้ยงสองข้างแบบนี้โทร. ตามหมอเข้ามาดูอาการของเธอที่ไร่น่าจะสะดวกกว่าการพาคนป่วยไปหาหมอในเมือง

หญิงสาวย่นจมูกอย่างลืมตัวเมื่อโดนเอ็ดเอา อยากเถียงใจจะขาดว่าขาซ้ายของเธอไม่เป็นอะไรสักหน่อย หมอจะมารู้ดีกว่าเธอได้ยังไง แต่โชคดีที่ยับยั้งชั่งใจได้ทัน ไม่อย่างนั้นความแตกแน่ๆ

เขาเห็นสีหน้าท่าทางรั้นๆ ของสาวสวยก็นึกเปรียบเทียบกับใครบางคน

ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยชอบคิดว่าตัวเองรู้ดีทุกเรื่องเสมอ...

“คุณนนท์คะ” หญิงสาวเรียกเมื่อเห็นเขาเงียบไป ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธในสิ่งที่เธอขอร้อง สีหน้าเรียบเฉย ดวงตาเหม่อลอย คล้ายอยู่ที่นี่เพียงร่างกาย

“คุณนนท์...”

ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย ลดสายตาลงสบกับคนที่เงยหน้าจ้องเขาอย่างจับผิด

“ครับ คุณว่าอะไรนะ ผมได้ยินไม่ถนัด”

หญิงสาวเผลอย่นจมูก แอบส่งค้อนให้เขาอย่างไม่พอใจ เธอออกจะพูดเสียงดังฟังชัด หรือถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือพยายามเรียกร้องความสนใจจากเขาสุดจิตสุดใจ

ฟังไม่ถนัดเพราะมัวแต่ใจลอยน่ะสิ แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่าใจเขาจะลอยไปถึงไหน เธอจะเป็นคนตามมันกลับมาเอง สู้เว้ย!

“วันจันทร์ถามว่าถ้าถอดเฝือกออกแล้ววันจันทร์จะตามคุณเข้าไปในไร่ได้มั้ยคะ วันจันทร์อยากชมไร่องุ่นค่ะ เห็นข้าวจี่บอกว่าที่นี่มีโรงบ่มไวน์แล้วก็มีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่นอีกหลายอย่างวางขายด้วย น่าสนใจมากๆ เลยค่ะ วันจันทร์อยากดู”

เขานิ่ง มองแขกสาวอย่างลำบากใจ แต่ก็รีบหลบตาก่อนที่เธอจะไหวตัวทัน เขายังไม่พร้อมจะรับมือกับน้ำตาของเธออีกครั้ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา

“ผมว่ารอให้คุณหายดีก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องนี้ดีกว่านะครับ เรายังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้คุณจะได้ถอดเฝือกรึเปล่า”

“แปลว่าถ้าวันจันทร์หายดีก็ไปได้ใช่มั้ยคะ ขอบคุณมากค่ะ คุณนนท์นี่น่ารักที่สุดเลย” หญิงสาวโมเมไปเอง ฉีกยิ้มหวาน สีหน้าเบิกบานใจสุดฤทธิ์

ไม่รู้ละ ถ้าเขาไม่ยอมเปิดโอกาสให้ เธอก็ต้องหาทางฉกฉวยเอง อย่าคิดว่าจะหนีพ้นเชียว!

เขาย่นคิ้ว ลอบถอนใจแผ่วเบา ตาแป๋วๆ ใสๆ ของเธอมันชวนให้ใจอ่อนอยู่เรื่อย ไม่รู้เมื่อไรเขาถึงจะเข้มแข็งมากพอที่จะปฏิเสธคำอ้อนวอนของคนอื่นได้

“วันจันทร์หิวแล้ว เราไปทานมื้อเย็นกันเถอะค่ะ” สาวสวยเอ่ยเสียงใส เมื่อเขาหันมาสบตาเธออีกครั้งก็รีบเตือน

“ก็คุณมารับวันจันทร์ไปทานมื้อเย็นไม่ใช่เหรอคะ”

เขาเพิ่งนึกได้เหมือนกัน ความตั้งใจเดิมคือมาเยี่ยมและเชิญเธอไปกินมื้อเย็นด้วยกันตามมารยาทเท่านั้น แต่ดูเหมือนยิ่งเขาพยายามจะรักษาระยะห่างจากเธอมากเท่าไร หญิงสาวก็ยิ่งก้าวล้ำเส้นมากขึ้นทุกที

ศศธรยิ้มหวาน ก้มมองขาตัวเองตาปรอย รอคอยให้เขาทำหน้าที่เป็นขาเทียมชั่วคราวอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อชายหนุ่มโน้มตัวเข้ามาหา เรียวแขนกลมกลึงก็สอดไปที่ต้นคอแกร่งทันทีอย่างไร้แววลังเล หรือถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดขึ้นก็ ‘แสนจะเต็มอกเต็มใจ’ นั่นละ ใช่เลย!



คุณอุ่นเรือนเห็นเจ้านายหนุ่มอุ้มแขกสาวลงมาที่โต๊ะอาหารในตอนเย็นทีไรก็รู้สึกแน่นหน้าอก หน้ามืดตาลายคล้ายลมจะใส่ทุกที ในขณะที่ข้าวจี่ปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างพออกพอใจ แอบเชียร์ให้เจ้านายกับหญิงสาวปิ๊งกันด้วยชื่นชมในความสวยงามแปลกตาที่ไม่เหมือนใครของศศธร ส่วนปั้นหยาได้แต่กัดฟัน จิกตา สะบัดหน้าหนีภาพนั้น ทั้งเจ็บใจและไม่พอใจระคนกัน

“ขอบคุณค่ะ” ศศธรเอ่ยเบาๆ เมื่อเขาวางเธอลงบนเก้าอี้อย่างนุ่มนวล

“ไม่เป็นไรครับ” เขาเอ่ยเสียงเรียบเป็นปกติก่อนหันไปบอกปั้นหยา “ตักข้าวเถอะ”

ปั้นหยาที่อุ้มโถข้าวสวยในมือได้แต่ทำหน้าบึ้ง เดินกระแทกส้นเท้าเข้ามาบริการ ‘นังปีศาจหน้าสวย’ ตักข้าวสวยพูนช้อนใส่ลงไปบนจานข้าวของหญิงสาวด้วยความหงุดหงิดที่ปิดไม่มิดเท่าที่ควร

“เดี๋ยวจ้ะปั้นหยา” ศศธรเอ่ยขึ้น รอยยิ้มยังหวานหยด “เยอะไป วันจันทร์ทานนิดเดียวเท่านั้นแหละ เอาคืนไปอีกนะจ๊ะ ทานไม่หมดก็สงสารชาวนา กว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ดแสนจะลำบาก จริงไหมคะคุณนนท์”

ท้ายประโยคหันไปขอความเห็นจากชายหนุ่ม

“ครับ แต่หลายคนก็ยังกินทิ้งกินขว้าง ไม่เคยสนใจหรอกว่ากว่าจะได้ข้าวสวยที่ทำให้เราเติบโตมาได้ ชาวนาต้องเสียหยาดเหงื่อไปกี่หยด นอกจากไม่เคยนึกถึงแล้วยังมองว่าชาวนาเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยเสียอีก”

เขาตอบพลางยิ้มบางๆ ไม่นึกว่าสาวสวยหัวสมัยใหม่ที่เติบโตและใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศจนแทบจะหาความเป็นไทยในตัวไม่ได้ กลับรู้จักเห็นอกเห็นใจและเห็นความสำคัญของชาวนาที่เป็นเหมือนกระดูกสันหลังของชาติ ผิดกับบางคน ทั้งที่เกิดและโตที่นี่ แต่กลับดูถูกและมองว่าชาวนาเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยและแบ่งให้พวกเขาเป็นชนอีกชั้นของสังคม

เขาเห็นว่านั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากไม่มีชาวนาแล้วคนในประเทศคงไม่มีข้าวไว้บริโภค อาชีพนี้ควรได้รับการยกย่องมากกว่าจะมาดูถูก แต่ความเชื่อและค่านิยมบางอย่างก็เหมือนจะฝังลึกอยู่ในหัวของคนบางประเภทจนไม่สามารถขุดขึ้นมาทำลายได้

“อุ๊ย...คุณวันจันทร์นี่น่าฮักอิหลีเด้อค่า พ่อแม่ข้อยก็เป็นชาวนาคือกัน”

ข้าวจี่ร้องขึ้น สีหน้าปลื้มอกปลื้มใจสุดๆ มองศศธรเหมือนนางฟ้าก็ไม่ปาน ในขณะที่ปั้นหยาชักจะอารมณ์หงุดหงิดขึ้นทุกที

หญิงสาวยิ้มรับคำชมด้วยความเต็มใจแต่ดวงตามีแววฉงนไม่ซ่อนเร้น เจตนาแรกคืออยากหาเรื่องปั้นหยาที่อีกฝ่ายทำสีหน้าไม่พอใจใส่เธออย่างไม่ปิดบัง แต่ความคิดเรื่องอาชีพชาวนาเป็นความรู้สึกจากใจจริง แม้จะเติบโตในต่างประเทศแต่เธอเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยด้วยความสนใจ

อาชีพชาวนาอยู่คู่กับคนไทยมานานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้ว ถึงขนาดได้รับการขนานนามว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เธอจึงคิดว่าอาชีพนี้ก็น่าจะเหมือนวัฒนธรรมและประเพณีเก่าแก่ของไทยที่ควรอนุรักษ์และสืบสานกันต่อไปตราบนานเท่านาน

“ชาวนาน่ายกย่องออกนะคะ ผลิตข้าวให้คนทั้งประเทศบริโภคแล้วยังเป็นสินค้าส่งออกของไทยด้วย ทำไมถึงมีคนมองว่าอาชีพนี้ต่ำต้อยล่ะคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสนใจ คิดว่าตัวเองโตที่แผ่นดินอื่นจึงไม่ค่อยเข้าใจความคิดและค่านิยมของคนที่นี่นัก

“อาจเพราะไม่มีชาวนาคนไหนร่ำรวยจากอาชีพนี้มั้งครับ มีเงินเขาเรียกน้อง มีทองเขาเรียกพี่ คุณเคยได้ยินรึเปล่าล่ะ นั่นเป็นเรื่องจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่มันก็เป็นแค่ค่านิยมและความเชื่อของคนบางคนเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับ อย่างน้อยก็ยกเว้นคุณไว้คนนึงละ” เขาตอบยิ้มๆ

เธอไหวไหล่แล้วยิ้มตาม “คุณด้วย”

เรื่องเงินเรื่องทองที่เขาหยิบยกมาเอ่ยอ้างสำหรับเธอแล้วมันไม่เคยเป็นปัญหาในชีวิต ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจนักว่าคนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ไปทำไม เรื่องที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องความรู้สึกและจิตใจมากกว่า

แต่อย่างน้อยในตอนนี้เธอก็รู้ว่าเขามีความคิดเห็นสอดคล้องกับเธอหนึ่งเรื่องแล้วละ...



หลังอาหารมื้อเย็นผ่านพ้นไปชานนท์ก็ทำหน้าที่ไปส่งแขกสาวถึงห้องพักของเธอเช่นเคย คุณอุ่นเรือนได้แต่มองตามคนทั้งคู่อย่างหนักใจ ปรายตามองข้าวจี่แล้วเอ่ยขึ้น

“ตามขึ้นไปดูแลคุณวันจันทร์เสียสิข้าวจี่”

ข้าวจี่ทำหน้าเหลอหลา “แต่ข้อยต้องเก็บโต๊ะก่อนเด้อค่ะคุณแม่บ้าน”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวตรงนี้ให้ปั้นหยาทำคนเดียวก็พอ” คุณอุ่นเรือนบอกปัด

“แต่ข้อยยังบ่ได้กินข้าว...”

“คุณนนท์ออกมาเมื่อไหร่ค่อยลงมาหาอะไรกิน เข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่าข้าวจี่” คุณอุ่นเรือนขัดแทรกเสียงเฉียบ สายตาคมดุจริงจัง บอกชัดว่าห้ามขัด

ข้าวจี่ถอนใจยาว คอหดคอย่น ทำหน้าบึ้งเล็กน้อยก่อนเดินต้อยๆ ขึ้นไปชั้นบนตามคำสั่งของคุณแม่บ้านพลางบ่นงึมงำไปตลอดทาง

“อิหยังกะบ่ฮู้เนาะคุณแม่บ้านนี่ สิให้เฮาฟ้าวตามมาเฮ็ดหยัง คุณนนท์กับคุณวันจันทร์เพิ่นสิได้อยู่นำกันสองต่อสอง ฮึ่ย!”

ปั้นหยาเข่นเขี้ยวมองตามข้าวจี่ยิ้มๆ นึกรู้ว่าคุณอุ่นเรือนไม่ได้ปลื้มแขกสาวของเจ้านายสักเท่าไร แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนหากการให้ข้าวจี่ตามขึ้นไปเป็นก้างขวางคอทั้งสองคนก็พอเดาออกแล้ว

งานนี้มีตัวช่วยเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้วปั้นหยาเอ๋ย...



“โอ๊ย...” ศศธรครางเบาๆ เมื่อชานนท์วางเธอลงบนเตียงในจังหวะที่เรียวขาซึ่งซ่อนอยู่ในเฝือกแข็งเกะกะพับลงกับที่นอนจนรู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมา

เขารีบช้อนตัวหญิงสาวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมก้มลงบอกเธออย่างเสียใจ “ขอโทษครับ ผมไม่ทันระวัง”

“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นบอกเขา

อาจเป็นเพราะชานนท์ก้มหน้าลงมาหาและศศธรก็โอบคอเขาไว้ด้วยจึงทำให้ปลายจมูกโด่งอยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ปะทะแก้มเนียนจนเปลี่ยนจากสีขาวนวลเป็นสีแดงระเรื่ออย่างน่ามอง ดวงตาสองคู่สบประสานกันอย่างใกล้ชิด แรงดึงดูดมหาศาลไร้ที่มาที่ไปทำให้เขาและเธอนิ่งงันสบตากันราวต้องมนต์

เขาเงียบ เธอก็เงียบ มีเพียงเสียงหัวใจเต้นตึกตักถี่ระรัวที่เหมือนจะดังมากจนได้ยินชัดเต็มสองหู ดวงตาคู่สวยยังคงจับจ้องที่ใบหน้าคมคายไม่กะพริบ ความอุ่นซ่านจากลมหายใจที่ชิดใกล้ทำให้เธอรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า เกิดอาการหายใจติดขัดพร้อมรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับพันตัวกระพือปีกบินว่อนในช่องท้อง ทั้งที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย

‘โอ้ก๊อด...ความรู้สึกแบบนี้คืออะไรกัน?’

เมื่อได้สติชานนท์ก็รีบวางหญิงสาวลงบนเตียงอีกครั้งด้วยความระมัดระวังที่มากขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงเรียบเบา “คุณพักเถอะ ผมขอตัวนะครับ”

พูดจบเขาก็ทำท่าจะผละไป แต่ไปไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือ เธอยังตกอยู่ในอาการมึนงงไม่สร่าง ยิ่งเขาสบตาโดยไม่พูดอะไรก็ยิ่งหายใจติดขัดหนักขึ้น

“วันจันทร์ครับ” เขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายลังเล

หญิงสาวหน้าแดงจัดจนเหมือนคนไม่สบาย ตอบรับเบาแสนเบาด้วยหัวใจที่เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ

“ปล่อยผมเถอะ”

โพละ!!!

ศศธรกะพริบตา เขามองที่เรียวแขนของเธอแทนการบอกเป็นคำพูดหญิงสาวมองตาม ก่อนจะส่งยิ้มอย่างขัดเขิน อดรู้สึกห่อเหี่ยวในหัวใจไม่ได้ เธอคิดไปโน่น แต่เขายังไปไม่ถึงไหนเลย

แต่คนอย่างศศธรเคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ ด้วยหรือ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนเรียวปากอิ่ม ก่อนที่จะปล่อยให้เขาเป็นอิสระเธอก็รั้งต้นคอชายหนุ่มเข้ามาใกล้อีกนิด ประทับริมฝีปากลงไปบนแก้มของเขาอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา

สัมผัสอุ่นซ่านจากเรียวปากนุ่มทำให้ชานนท์ตัวแข็งทื่อ นึกไม่ถึงว่าจะโดนจู่โจมอย่างอุกอาจในบ้านของตัวเอง

หญิงสาวอมยิ้มในหน้า ทั้งขบขันและขัดเขินพร้อมๆ กัน “ไนต์คิสค่ะ กูดไนต์นะคะ”

เขาไม่ตอบว่าอย่างไร หรือต้องบอกว่าอึ้งจนพูดไม่ออกจะถูกกว่า เมื่อเธอปลดเรียวแขนออกจากลำคอเท่านั้น ชายหนุ่มก็ลุกพรวดเดินออกไปจากห้องพักแขกอย่างรวดเร็วราวกับต้องการวิ่งหนีอะไรสักอย่างสุดชีวิต

ศศธรหัวเราะคิกคักกับท่าทีของเขา นึกสงสัยว่าความรู้สึกตื่นเต้นขัดเขินที่เกิดขึ้นกับตัวเองและสร้างความอิ่มเอมในหัวใจนี้เรียกกันว่า ‘ความรัก’ หรือเปล่าหนอ...

รอยยิ้มสดใสระบายทั่วใบหน้าสวย ยกมือขึ้นกุมหน้าอกด้านซ้ายพลางหลับตาลง เธอยังรู้สึกถึงอาการตอบรับจากจังหวะการเต้นของหัวใจได้ชัดเจน

‘พระเจ้าคะ หากนี่ใช่ความรักก็ขอให้วันจันทร์สมหวังด้วยนะคะ...’





++++++++++++++++++++++++

ตอนที่เหลือจากนี้ติดตามได้ในหนังสือหรือ e-book ค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ










 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2557
0 comments
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2557 10:59:44 น.
Counter : 998 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


nawapat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




...เขียนเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็หยุด สนองนี้ดมันไปตามอารมณ์ ^^"...
Friends' blogs
[Add nawapat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.