Mini Review 23 : *** A Christmas Carol ***
*** A Christmas Carol ***
กลับมาอีกครั้งสำหรับผู้กำกับที่คลั่งไคล้เทคโนโลยีเข้ากระดูก อย่าง Robert Zemeckis และนี่เป็นเรื่องที่สามติดต่อกันแล้ว ที่ Zemeckis กำกับหนัง 3D Animation โดยใช้เทคนิค Motion Capture ในการถ่ายทำ
A Christmas Carol ดัดแปลงมาจากหนังสือสำหรับเด็กที่เขียนขึ้นในช่วงปี 1840 ของ Charles Dickens นักเขียนชื่อดังเจ้าของผลงานอย่าง Oliver Twist โดยหนังเล่าเรื่องราวของ Ebenezer Scrooge (Jim Carrey) ชายชราผู้มีนิสัยเห็นแก่ตัว ที่ในชีวิตนี้ไม่สนใจอะไรอื่นนอกจาก เงิน ที่สำคัญ Scrooge ไม่เคยมองเห็นคุณค่าของผู้อื่นเลย นั่นทำให้เขาเป็นที่รังเกียจของชาวเมือง
สำหรับ Scrooge แล้ว เทศกาลคริสต์มาส เป็นแค่เรื่องเหลวไหลไร้สาระเท่านั้น
จนกระทั่งในคืนก่อนวันคริสต์มาส Scrooge ถูกวิญญาณแห่งคริสต์มาส 3 ตน ผลัดกันให้บทเรียนชีวิตแก่เขา ผ่านการทัวร์ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งเป็นการมอบบทเรียนที่ทำให้เขาได้รู้จักคุณค่าของชีวิต และเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น
A Christmas Carol เป็นเรื่องราวสอนใจแบบเบาๆ ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
หนังบอกเล่าที่มาที่ไปของ Scrooge ผ่านการย้อนอดีตเพียงผิวเผินเท่านั้น ทั้งๆที่น่าจะลงรายละเอียดได้มากกว่านี้ ด้วยเหตุนี้เองที่ส่งผลให้ผู้ชม มีความเห็นอกเห็นใจ และมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครนี้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
เช่นเดียวกับการนำเสนอเรื่องราวในส่วนที่ทำให้ Scrooge เริ่มปรับปรุงตัวเองใหม่ ซึ่งส่วนนี้ก็ถูกนำเสนออย่างบางเบาเช่นกัน นั่นทำให้ดูไม่น่าเชื่อว่ามันจะทำให้ชายแก่หัวแข็ง เห็นแก่ตัวแบบเขา กลับตัวกลับใจแบบหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้
แต่สุดท้ายหนังก็ยังสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ชมได้อยู่ดี กับการเห็น Scrooge เปลี่ยนแปลงตัวเองได้สำเร็จ
แม้ว่า A Christmas Carol จะเป็นเรื่องราวสอนใจที่อิงกับเทศกาล และคติสอนใจของศาสนาคริสต์
แต่คติสอนใจในเรื่องก็มีความเป็นสากลพอที่จะเข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง โดยไม่เกี่ยงว่าจะนับถือศาสนาอะไร
ด้วยความที่มันเป็นเรื่องราวเบาๆ ตัวละครทั้งหลายในหนังจึงไม่ค่อยมีมิติความลึก นักแสดง (ที่น่าจะเรียกว่า คนเชิดหุ่น มากกว่า) จึงไม่ต้องแสดงออกทางอารมณ์มากนัก
ซึ่งคนที่น่าจะรับบทหนักที่สุดคงหนีไม่พ้น Jim Carrey ที่รับบท Mr. Scrooge ตัวละครหลัก แถมด้วยตัวละครอื่นๆอีกหลายตัวในเรื่อง ซึ่ง Carrey ก็ทำได้ดีทีเดียวกับสไตล์การแสดงแบบเดิมๆของเขา ที่ครั้งนี้ลดระดับความแรงของตัวเองลงมาเล็กน้อย
นั่นทำให้ความเป็น Jim Carrey ไม่ได้ไปบดบังบทบาทความเป็น Mr. Scrooge มากเกินไป อย่างที่เคยเป็นในผลงานส่วนใหญ่ของเขา
ส่วนพระเอกตัวจริงของหนัง คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ระบบ 3D ซึ่งพัฒนาขึ้นมากทีเดียว เรียกว่า เนียนตา ไหลลื่น มีมิติความลึกและรายละเอียดสูงมากๆ
ซึ่งส่วนตัวแล้วค่อนข้างตื่นตาตื่นใจกับมันมากจริงๆในช่วงต้นเรื่อง แต่ว่าเมื่อเห็นไปสักพักก็เริ่มจะชินชา เพราะตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป มันก็ไม่มีอะไรที่โดดเด่นกว่าเดิมอีกแล้ว
A Christmas Carol คือตัวอย่าง ที่อธิบายถึงผลงานในยุคหลังๆของ Zemeckis ได้อย่างดี ด้วยผลงานที่มักจะเน้นไปที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการถ่ายทำแบบใหม่ๆ ซึ่งสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมได้เสมอ โดยเฉพาะเทคนิค Motion Capture ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของ Zemeckis ไปแล้ว
แต่ในทางกลับกัน คุณภาพของหนังกลับถดถอยลงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับงานในยุคแรกๆ
A Christmas Carol เป็นความบันเทิงที่เหมาะสำหรับเด็กมากกว่า ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้าใจง่าย มีคติคำสอนดีๆ แต่ก็เหมาะที่จะดูพร้อมกันทั้งครอบครัว
สำหรับงานด้านภาพและความเป็น 3D นั้น ถือว่าอยู่ในระดับดีมาก ด้วยความที่หนังถูกออกแบบมาเพื่อโชว์ความเป็น 3D โดยเฉพาะ ซึ่งเห็นได้จากหลายๆฉากที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อโชว์ จนยาวเกินพอดี ทั้งๆที่ฉากนั้นไม่ได้มีเนื้อหาอะไรมากมาย
ส่วนการดำเนินเรื่องก็ถือว่าดูได้เพลินๆ แต่กับเนื้อหาอาจยังบางเบาจนรู้สึกไม่เต็มอิ่มเท่าที่ควร ซึ่งเมื่อหนังจบแล้วก็จบกันไป ไม่ได้ประทับใจมากนัก
คงต้องตัดสินใจกันเอาเองว่าจะคุ้มค่าไหม กับบัตรราคากว่า 200 บาท แลกด้วยงานด้านภาพที่ยอดเยี่ยม แต่เนื้อเรื่องนั้นอาจบางเบา ไม่เต็มอิ่ม
ถือว่าเป็นการซ้อมตาก่อนดู Avatar ที่ใช้เทคนิคเดียวกัน ในช่วงปลายปีก็คงได้
(และซ้อม "ทำใจ" กับราคาตั๋ว ที่แพงขึ้นแน่นอน )
ส่วนการรับชมในรูปแบบธรรมดา ไม่ขอแนะนำครับ
[เอาไป 6 + 1 (คะแนนพิเศษ สำหรับ ระบบ 3D ที่ยอดเยี่ยมมากๆ) เต็ม 10 ครับ] 7 / 10 ครับ
Create Date : 01 ธันวาคม 2552 |
|
5 comments |
Last Update : 1 ธันวาคม 2552 4:18:49 น. |
Counter : 5436 Pageviews. |
|
|
|
แต่เราอยู่ต่างจังหวัด(บ้านนอกน่ะเอง 55+)
เลยไม่มีโรงหนังระบบ 3D อดดูไปตามระเบียบ-///-