*** Death Race *** สูตรสำเร็จ ร่วมสมัย *** Death Race *** แม้ผลงานส่วนใหญ่ของ ผู้กำกับ Paul W.S. Anderson อาจจะไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีนัก (โดยส่วนตัวผมมักจะผิดหวังกับหนังของ Anderson ยกเว้น Event Horizon ที่พอใช้ได้) แต่ Paul W.S. Anderson ก็คงเป็น ชื่อที่คุ้นหูพอสมควร สาเหตุแรกก็เพราะ ชื่อ ที่ดันไปคล้ายกับ Paul Thomas Anderson ผู้กำกับชื่อดัง เจ้าของผลงานคุณภาพหลายๆเรื่อง อย่างเช่น There will be blood หรือ Boogie Nights อีกสาเหตุหนึ่ง ก็คือ ชื่อเสียงในฐานะ ผู้กำกับภาพยนตร์ ที่มักจะหยิบผลงานเก่าๆ หรือ ผลงานในรูปแบบอื่น มาดัดแปลง ไม่ว่าจะเป็น หนังที่สร้างจากเกมส์ อย่าง Mortal Kombat และ Resident Evil หรือ หนังที่ดัดแปลงมาจากหนังเก่าๆ อย่าง Alien vs. Predator รวมถึง Death Race เวอร์ชั่นนี้ด้วย สำหรับ เวอร์ชั่นนี้ ดัดแปลงมาจาก หนังปี 1975 เรื่อง Death Race 2000 หนังเล่าถึงอนาคตอันใกล้ ในปี 2012 ซึ่งเป็นยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำ อัตราคนว่างงานสูง ก่อให้เกิดอาชญากรรมมากขึ้น ทำให้รัฐบาลไม่สามารถรับมือกับจำนวนนักโทษ ที่เพิ่มมากขึ้นได้ จึงว่าจ้างภาคเอกชนให้เข้ามาดำเนินการแทน เมื่อเอกชนเข้ามา ก็ทำให้เกิดการจัดแข่ง Death Race การแข่งรถของเหล่านักโทษ ที่เล่นกันถึงตาย เพื่อหารายได้จากการถ่ายทอดสด หนังว่าด้วยเรื่องของ Jensen Ames (Jason Statham) อดีตนักขับรถแข่ง ที่กำลังตกงาน Ames ถูกจับเข้าคุก ด้วยข้อหาฆ่าเมียตัวเอง เมื่ออยู่ในคุกเขาได้รับการทาบทามจาก พัศดีหญิง Warden Hennessey (Joan Allen) เพื่อให้เข้าแข่งขัน Death Race โดย Ames ต้องสวมรอยเป็น Frankenstein แชมป์ 4 สมัย ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ซึ่งตายไปแล้ว โดยที่คนอื่นๆยังไม่รู้ แค่เห็นพล็อตเรื่อง และตัวอย่างหนัง ก็สามารถคาดเดาได้แล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าไหร่นัก เพราะเชื่อได้ว่า ผู้ที่ตีตั๋วเข้าไปชม คงไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่า ฉากแอ๊คชั่นไล่ล่า และ ความบันเทิงที่จะได้รับ ซึ่งทางผู้สร้างก็รู้จุดขายของตัวเองเป็นอย่างดี ในส่วนของบทจึงไม่ได้ซับซ้อน หรือ มีมิติที่ลึกซึ้ง อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่ได้เน้นเรื่องบท แต่อย่างน้อย บทหนังก็ควรจะดีพอ ในระดับหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่า Death Race ยังทำได้ไม่ดีพอ เพราะบทยังดูหลวม และขาดความน่าเชื่อถือไปหลายส่วน (สปอยล์ : อย่างเช่นตอนจบ ระเบิด ถูกส่งเข้าไปในห้องพัศดีได้อย่างไร ในเรือนจำที่เข้มงวดขนาดนั้น ทั้งที่กล่อง ก็ไม่ได้ปิดแน่นหนา ที่สำคัญพอเปิดดู ก็เห็นกันโต้งๆว่าเป็น ระเบิด ดูปุ๊บรู้ปั๊บ) แต่การเดินเรื่องที่รวดเร็ว และการอัดฉากแอ๊คชั่นดิบๆ ลงไป ก็สามารถกลบข้อบกพร่อง ของบทหนังที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ จนทำให้คนดูลืมคิดถึงมันไปได้ในบางขณะ ว่ากันถึงฉากแอ๊คชั่น ที่ถือว่าเป็นจุดขาย ทีมผู้สร้าง สามารถสร้างฉากแอ๊คชั่นที่โหด สมกับระดับ Rate R ที่หนังได้รับ ถือว่าสะใจซาดิสม์ และกับความดิบของฉากไล่ล่า ที่เหมือนเป็นการบดขยี้ของ เหล็กกล้าความเร็วสูง คงทำให้ผู้ชมที่ต้องการ ความมันส์สะใจ พอใจได้แน่ๆ ซึ่งฉากแอ๊คชั่น ช่วงกลางเรื่องถือว่าทำได้เยี่ยมทีเดียว และเป็นส่วนที่ peak ที่สุดของหนังแล้ว ทำให้เมื่อฉากการแข่งครั้งสุดท้ายมาถึง หนังจึงดูแผ่วลงไปพอสมควร แม้หนังจะสร้างคาแรคเตอร์ตัวละครที่เป็นคู่แข่งของตัวเอก ออกมาได้อย่างน่าสนใจ แต่หนังกลับใช้ประโยชน์จากตัวละครเหล่านี้ได้น้อยมากๆ เพราะแต่ละคนทยอยตายกันตั้งแต่ครึ่งเรื่อง ก่อนที่จะเหลือเพียงตัวละครหลักๆ ไม่กี่ตัวในตอนท้าย กับเหล่านักแสดงหลัก ก็ไม่มีอะไรให้ “ติ-ชม” กันมากนัก แต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เพราะเหมือนเป็นการรับบทเดิมๆที่เคยเล่นกันมาแล้วทั้งสิ้น บท Ames ของ Jason Statham ก็คือ คนดีที่ถูกกลั่นแกล้ง ซึ่งบทประเภทนักบู๊ จอมลุย ที่ออกมาแก้แค้นเอาคืนอย่างสาสม ก็เป็นบทประเภทที่ Statham รับเล่นบ่อยๆ จนกลายเป็นภาพติดตัวของพี่แกไปซะแล้ว Joan Allen กับบท Hennessey ผู้ร้ายของเรื่อง ที่ขายมาดหญิงแกร่ง ในโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ก็เป็นบทที่เธอเคยเล่นมาแล้วเช่นกันใน The Bourne Supremacy และ The Bourne Ultimatum ส่วน บท Machine Joe ของ Tyrese Gibson ที่ออกแนว คนดุ ซึ่งก็ไม่ต่างจากหนังเก่าๆของเขาทั้งหลายเช่นกัน ขณะที่บทของ Case ของ Natalie Martinez ก็เหมือนเป็นแค่ไม้ประดับมากกว่า ต้องชมไปที่ ผู้กำกับ Anderson และ ทีม Casting ที่เข้าใจเลือกนักแสดง เพราะการได้นักแสดงชุดนี้มาเล่น ทำให้ไม่ต้องเคี่ยวกับนักแสดงมาก เนื่องจากบทบาทเหล่านี้ พวกเขาเคยเล่นมาแล้วทั้งนั้น อีกทั้งยังง่ายต่อการทำให้ผู้ชม “เชื่อ” ในตัวละคร อีกด้วย เพราะผู้ชม ก็ "คุ้นเคย" กับพวกเขาในบทบาทเหล่านี้อยู่แล้วเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้หนักแน่นในประเด็นอะไรมากมายนัก แต่หนังก็ยังมีประเด็นที่น่าสนใจ อย่างการเสียดสีวงการ Reality (ที่กระแสในปัจจุบันก็เริ่มซาลงไปบ้าง) ที่ยิ่งแรง ยิ่งเห็นคนทะเลาะกัน เรตติ้งก็ยิ่งดี แต่ที่ถือว่าน่าสนใจที่สุดของ หนังเรื่องนี้ ก็คือ การที่มันทำนายได้อย่างแม่นยำ ถึง สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ในปัจจุบัน ที่ทำให้เกิดสภาวะคนว่างงานจำนวนมาก (ในหนังกล่าวถึงปี 2012 อีกสี่ปีหลังจากเข้าฉาย ซึ่งตอนที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำ สภาพเศรษฐกิจยังไม่ได้ย่ำแย่ แบบที่เป็นในปัจจุบัน) สรุปว่า Death Race คือหนังที่ดำเนินเรื่องราวไปตาม “สูตร” ด้วยรูปแบบเดิมๆ ตัวเอก ถูกกระทำจนน่าสงสาร ตัวร้ายก็เลวเต็มที่ และท้ายที่สุดการแก้แค้นก็มาถึง ซึ่งหนังก็ทำได้ “สำเร็จ” จริงๆ จึงเรียกได้ว่า Death Race เป็นหนังแอ๊คชั่น “สูตรสำเร็จ” ของแท้ ขณะที่โลกในหนัง เหล่าประชาชนที่ต้องทนกับพิษเศรษฐกิจ แต่ก็มีการแข่งขัน Death Race ไว้เป็นความบันเทิง เพื่อผ่อนคลายความเครียด ในขณะที่โลกของเรา ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจไม่ต่างกัน ก็มีหนังอย่าง Death Race ที่ให้คุณมีเวลาคลายเครียดสัก 2 ชั่วโมง เช่นกัน ช่างสอดคล้อง และถูกที่ถูกเวลาจริงๆ 7 / 10 ครับ   Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2552 3 comments Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2552 5:02:01 น. Counter : 5437 Pageviews. Share Tweet

ไปดูมาเมื่อปีที่แล้ว ก็ชอบนะคะ ส่วนตัวชอบพระเอกมากๆ ค่ะ หนังเรื่องนี้ดิบดี   โดย: Ms.StayHigh 16 กุมภาพันธ์ 2552 7:33:23 น.

เห็นตัวอย่างแล้วก็มัวแต่นั่งสงสัยว่า โจน อัลเลน มาทำอะไร จนไม่ได้ไปดู 555+   โดย: nanoguy IP: 125.24.117.201 22 กุมภาพันธ์ 2552 1:01:50 น.

ข้าคื่อking net 20011 ชาติก่อนกลับมาแย้ว ข้าโดนเดนกามลักพาตัวปี1980 ขอให้รีบมารับข้าด้วยด่วน ข้าเหม็นสาปฉิบหาย เดนกามบ้านนอก   โดย: Elvis Presle IP: 113.53.179.75 2 มีนาคม 2554 12:13:06 น.