ร่าย เห่ กวีวัจน์
ร่าย เป็นชื่อของคำประพันธ์ ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่กำหนดว่า จะต้องมีบท หรือบาท เท่านั้น เท่านี้ จะแต่งให้ยาว เท่าไรก็ได้ แต่ต้อง เรียงคำ ให้คล้องจองกันไปเรื่อยๆ คือ คำท้ายวรรคนี้สัมผัสกับคำ(หนึ่งหรือสองหรือ) สาม ของวรรคต่อไป เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย จนจบที่ สองวรรคท้ายของโคลง ถ้าจบด้วยโคลงสี่ดั้น ก็เรียกร่ายดั้น ถ้าจบด้วยโคลงสี่สุภาพ ก็เรียกร่ายสุภาพ ครับร่ายลำน้ำปราณบุรี(ร่ายดั้น) โอ้ลำปราณบุรี ลำน้ำนี้มีรัก พี่ประจักษ์ใจเจ้าแม่เร้าใจให้หลง พิศวงในความงามสองเขตคามริมฝั่ง แลสะพรั่งพรรณไม้หอมชื่นใจรายทาง ผีเสื้อกางปีกสวยแมงปอช่วยเติมแต้ม บุปผาแย้มเอียงอายยั่วยิ้มพรายพราวป่า ชื่นอุราคราล่องชมสองฝั่งลำน้ำ จิตชื่นฉ่ำเยือกเย็นเมื่อได้เห็นธรรมชาติ งามวิลาสจับตาหากน้องมาคงชื่น ยิ้มระรื่นตื่นใจชี้ชมไพรผีเสื้อ ช่างงามเหลือหลากพันธุ์วิหคผันโผผิน โบกโบยบินกู่ร้องส่งเสียงก้องพงพนา จวบถึงคราเย็นย่ำ จึงจากจำใจพราก พี่ขอฝากรักไว้ ว่าได้มาเยือนสถาน ลำน้ำปราณบุรี ไมตรีบ่แรมร้าง จางจากน้ำหลากฤาน้ำแล้ง บ่ลืม ฯเห่บทเห่กล่อมโดยทั่วไปแต่งขึ้นเพื่อร้องขับกล่อมให้เด็กหลับ แม้ว่าเด็กจะเยาว์วัย ยังไม่สามารถเข้าใจความหมายของ เนื้อเพลงก็ตาม แต่เด็กก็เข้าใจความรู้สึกของผู้เห่กล่อม ว่ารักใคร่และเอ็นดูตน เด็กจะเกิดความอบอุ่นใจ และหลับไปอย่างมีความสุข บทเห่กล่อมของสามัญชน จะแต่งตามความรู้สึก ความคิด หรืออื่นๆ ตามแต่ผู้เห่กล่อมจะนึกอะไรได้ก็ร้องเป็นทำนอง อาจมีเนื้อร้องในทำนองปลอบขวัญ ให้ความอบอุ่น หรือบางทีก็มีขู่ให้กลัวบ้างก็มี และมีการจดจำบทร้องเห่กล่อมกันต่อๆ มา สำหรับบทเห่กล่อมพระบรรทมสำหรับเจ้านายก็เช่นเดียวกัน กวีนำเอาเนื้อความจากเรื่องในวรรณคดีบ้าง เรื่องราว ตำนานต่างๆ บ้าง มาผูกเป็นเนื้อร้อง โดยใช้คำประพันธ์ประเภท กาพย์ กลอน เพื่อไว้เห่กล่อมพระราชโอรส ธิดา ของพระมหากษัตริย์ หรือเจ้านายชั้นสูง เนื้อร้องบทเห่กล่อมไม่กำหนดเรื่องราวเป็นแบบแผน แต่จะมีเนื้อหาสะท้อนให้เห็นสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัฒนธรรมหรือสิ่งแวดล้อม ตามสภาพท้องถิ่นนั้น (ความจากหนังสือ อนุสรณ์สุนทรภู่ ๒๐๐ ปี )เห่ชะอำ(เห่กาพย์ยานี ๑๑)เห่เอย เห่ชะอำ ใครชักนำ ให้มาชมฟ้าใส ทะเลสมคละคลื่นลม พรูพร่างพรำท้องฟ้า เป็นสีฟ้าทะเลข้า เป็นสีคล้ำชะอำ นะชะอำเกินเอ่ยคำ จะชมชิมพลาสติก สีสวยสวยรูปสำรวย เนื้อนิ่มนิ่มเอียงอาย แอบริมริมนอนยั่วยิ้ม บนหาดทรายปลาตาย ลอยล่องมาตาสบตา ข้าใจหายปิ้มว่า จะบ้าตายมาลอยชาย เหมือนลองเชิงดูหรือ มัศยาล่องลอยมา กระเซอะกระเซิงเที่ยวเตลิด เปิดเปิงหลงระเริง เชิงชะอำเกยตื้น ณ ตีนข้าสงสารปลา ตายังดำฝังเสีย เถิดหมดกรรมทรายชะอำ ช่วยกลบกายกรวดน้ำ ทะเลอุทิศให้ดวงจิต สู่สัมปรายกายอยู่ ริมหาดทรายวิญญาณหมาย สุขาวดีสู่ทิพย์ วิมานแมนดาวนับแสน ส่องรัศมีนิทรา หลับฝันดีเจริญศรี เถิดน้องเอย ฯเห่หัวหิน(่เห่กาพย์ยานี ๑๑ กลบทหัวหิน)เห่เอย เห่หัวหินเห็นท้องถิ่น หฤหรรษ์หัวใจ ให้ไหวหวั่นหักเหหัน ให้หัวหินหอบรัก มาหนักหนาหากน้องมา คงไม่หมิ่นหัวใจ ไหวระรินเห็นหัวหิน ถิ่นสำราญห่างน้อง มาเคียงแนบหัวใจแปลบ ปวดประหารโหยหวน ป่วนใจราญให้สงสาร หฤทัยหัวเอ๋ย โอ้หัวหินเห็นท้องถิ่น ทะเลใสเห็นน้ำ จรดฟ้าไกลเห็นหัวใจ คนเคยเคียงหากคืน นี้เดือนร้างหากนภางค์ ไร้แสงเสียงหากไร้ หัวใจเคียงหากนอนเตียง เพียงเดียวดายเห่เอย จะเห่โหยหัวใจโรย ไร้ความหมายหลับภวังค์ ซังกะตายให้เพียงกาย หายใจเอย ฯกวีวัจน์ คือคำประพันธ์ที่เขียนรวมกันทุกรูปแบบ ทั้ง ร่าย โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน วรรณคดีเรื่องแรกที่เขียนเป็นกวีวัจน์ คือเรื่องสามกรุง บทพระนิพนธ์ของพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ (นมส)สายน้ำผึ้ง(กวีวัจน์)(โคลงตรีพิธพรรณ)สายน้ำผึ้งกลิ่นซึ้ง ตรึงใจคิดถึงใครจับจิต แจ่มเจ้าชวนชิดชื่นพิศมัย ใครส่ง สารมารุกไล่ปลุกใจเร้า รื่นด้วยนาสา ฯ(วิชชุมมาลาฉันท์แปด)โอ้สายน้ำผึ้ง กลิ่นซึ้งตรึงใจคำนึงถึงใคร ให้หวนโหยหาตรึงจิตติดใจ ฝันใฝ่กานดาน้องส่งสารมา ด้วยกลิ่นถวิลพาน ฯ(กาพย์ธนัญชยางค์)สายน้ำผึ้งหวาน เจือใจเจือจานสารจากนงคราญ รำพันความนัยส่งกลิ่นหอมหวน อบอวลอุ่นไอรัญจวนป่วนใจ ให้หวนคำนึง ฯ(กลอนแปด)สายน้ำผึ้ง ซึ้งใจ ใครคิดถึงส่งกลิ่นซึ้ง ถึงใจ ใครถามหาสายน้ำผึ้ง ตรึงใจ ใครส่งมาซึ้งอุรา ตราใจ ใครไม่ลืม ฯน้ำค้าง(กวีวัจน์)(โคลงสี่)น้ำค้างพรมพร่างฟ้า เพริศแพร้วใสดั่งเพชรฉายแวว ส่องหล้าสาดซัดซ่าดั่งแก้ว ร่วงหล่นพืชฉ่ำเพราะน้ำฟ้า หล่นหล้ามาดิน ฯ(สาลินีฉันท์สิบเอ็ด)น้ำค้างพรายพร่างแพร้ว ประหนึ่งแก้วประกายสกาวส่องแสงวามวับวาว สะพรั่งพร่างภิรมย์ชมแสงสูรเมื่อสาดส่อง นภาผ่องประโลมรมย์จูบไล้ไม้งามสม ณ คามเขตประเวศไท ฯ(กาพย์สุรางคนางค์ยี่สิบแปด) น้ำค้างพร่างพรายใสดั่งเพชรฉาย ประกายเพริศแพร้วส่องแสงส่องหล้า ซัดซ่าดั่งแก้วหล่นหล้ามาแล้ว พืชฉ่ำชื่นใจ แสงสูรส่องสาดงดงามปานวาด อากาศแจ่มใสจูบไล้ไม้งาม ทั่วคามเขตไทเรืองรองยองใย วิไลตาแล ฯ(กลอนแปด)หยาดน้ำค้างพร่างพรายในยามเช้าพรมพร่างพราวเพริศแพร้วแนวพฤกษาแสงเรืองรองยองใยวิไลตาส่องสาดมาจูบไล้ดอกไม้งาม ฯ หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้ที่ได้ คงถูกนำไปใช้เป็นประโยชน์เพื่อรังสรรค์วรรณกวีสืบต่อไปให้ยาวนาน ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์สุดใจ ชัยบัณฑิตย์ ครูผู้สอนให้แต่งกลอนเป็นคนแรกในชีวิต ขอกราบขอบพระคุณ ท่านสุนทรภู่ ผู้เป็นแบบอย่างทางกวี ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์สุรภา เดชะ ผู้จุดประกายกวี ขอบคุณเพื่อนๆ ท่องเที่ยวทั่วไทย กลอนไทย ไดอารี่ฮับ และ บล็อคแก๊งค์ ทุกคนที่เป็นกำลังใจ ขอคุณความดีจงแผ่ไพศาลแด่เพื่อนผู้ร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายทุกท่านทุกคนทุกตนเทอญ ฯ