All Blog
|
ติ่ง - ปริตตา ++ติ่ง++ ผู้เขียน ปริตตา สำนักพิมพ์ Springbooks "ติ่ง" คือชื่อหนังสือ ตอนที่ฉันหยิบหนังสือชื่อเรื่องโคตรสั้น ที่มีคำโปรยบนหน้าปกว่า "เมื่อสาวไทยที่คิดว่าตัวเองเป็นคนมีปัญหากลับใจไปเป็นอาสาสมัครที่อินเดีย" และ "เปลี่ยนความสับสนในชีวิตให้เป็นแรงบันดาลใจ" ขึ้นมาจ่ายเงินที่แคชเชียร์ ฉันคิดว่า ฉันน่าจะสับสนในชีวิตน่าดู ถึงได้รู้สึกถูกดึงดูดจากคำโปรยเช่นนี้ ที่จริงแล้ว "ควาามสับสนในชีวิต" เป็นเพียงหนึ่งในหลายสาเหตุที่่ฉันพาหนังสือเล่มนี้กลับมาบ้านด้วย จากปกหลัง.."ติ่ง" คือ ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ไม่สำคัญ ไม่มีหน้าที่จำเพาะ ซึ่งเป็นส่วนที่ถูกตัดออกจากชิ้นส่วนหลักได้ ด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของ "คนเป็นติ่ง" ฉันจึงละทิ้งทุกอย่าง ทั้งปัญหาและโอกาสทางการงาน และฉันก็เลือกประเทศอินเดียเป็นสถานลี้ภัย ความบังเอิญและเรื่องราวมากมายได้ก่อเกิดที่นั่น อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ฉันต้องกลับมาหวนคิดถึงคุณค่าอันแท้จริงในตัวเอง ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่ทำให้รู้สึกว่า ตนไม่ได้เป็น "ติ่ง" แต่เป็น "คน" ผู้มีความสำคัญ และคุณค่าไม่น้อยไปกว่าคนอื่น ๆ เพราะสามารถช่วยเหลือคนรอบข้างได้ "อินเดีย" สำหรับฉันแล้ว ประเทศนี้ดูน่าค้นหาอยู่เสมอ ด้วยวัฒนธรรม ภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ สังคมที่แตกต่างจากที่อื่น และสภาพชีวิตความเป็นอยู่ส่วนใหญ่ที่ไม่ใคร่จะสะดวกสบาย สะอาดสะอ้าน หรือสละสลวย สวยงามมากนัก "อาสาสมัคร" คือสิ่งที่ฉันชื่นชมมาโดยตลอด เอาเข้าจริงแล้ว ฉันถนัดในการบริจาคกำลังทรัพย์ มากกว่าการบริจาคกำลังกายเพื่อสังคม มีบ้างบางโอกาสที่ฉันลงมือไปเป็นจิตอาสา แต่ก็ไม่ค่อยจะบ่อยเท่าไหร่นัก งานจิตอาสาสำหรับฉันแล้ว เปรียบเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจนอกเหนือไปจากศาสนาพุทธ ยามที่ฉันมีปัญหาในชีวิต นอกจากจะหันหน้าเข้าวัดแล้ว ฉันยังหันหน้าเข้าหางานจิตอาสาอีกด้วย "ปัญหา" ฟังดูคล้ายจะเป็นญาติห่างๆซึ่งฉันไม่ค่อยจะได้พบเจอมากนักในชีวิตนี้ ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีปัญหาเหมือนอย่างคนอื่นเขา แต่เป็นเพราะฉันไม่ค่อยจะนับเรื่องไหนเป็นปัญหาหรอก ฉันมองมันเป็นแค่งานการอย่างหนึ่งที่ฉันต้องสะสางแก้ไขให้ลุล่วงไป ก็เท่านั้นเอง แต่ฉันก็มีงานการอยู่หนึ่งเรื่อง ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำมือของฉันเพียงคนเดียวในการที่จะสะสางแก้ไข แต่ต้องอาศัยโชคชะตาและคนบนฟ้ามากพอสมควร แน่นอนว่า เรื่องนั้นฉันแก้ไขไม่ได้ มันจึงกลายเป็น "ปัญหา" เรื่องเดียวของฉันโดยสมบูรณ์ และแน่นอน "ความสับสนในชีวิต" ฉันน่าจะผูกพันกับมันอยู่ในระดับสนิทสนมกลมเกลียวเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะไอ้ตัว "ปัญหา" ที่ไม่ได้รับการแก้ไขมามากว่าเจ็ดปีแล้ว ก่อให้เกิด "ความสับสน" ให้กับชีวิตและจิตใจของฉันอยู่มากโข สับสนว่า เมื่อไหร่ปัญหาของฉันจะได้รับการแก้ไข และฉันจะมีความสุขเหมือนใครเขาเสียที นอกจากนี้ บางครั้งฉันก็รู้สึกสับสนกับทางเดินชีวิตที่ฉันกำลังเดินอยู่ว่า นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการจริงหรือ แต่เรื่องนั้น สำหรับฉัน มันไม่ใช่ปัญหา หากฉันมั่นใจว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ ฉันก็จะลงมือกระทำการบางอย่างเพื่อปูรากฐานไปสู่สิ่งที่ฉันอยากจะทำในอนาคต เพียงแต่คำถามที่ว่า "นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการจริงหรือ" นั้น ฉันไม่ใช่คนๆเดียวที่ถามคำถามนี้กับตัวเอง ฉันพบผู้คนมากมายที่เฝ้าถามคำถามเดียวกันนี้ผ่านหนังสือที่ฉันอ่าน ส่วนมากแล้ว พวกเขาออกจะขวางโลกอยู่หน่อยๆ อินดี้อยู่มากๆ และมีอารมณ์ศิลปินค่อนข้างสูง และฉันก็พบคำถามเดียวกันนี้ในหนังสือชื่อ "ติ่ง" อีกครั้งหนึ่ง "เธอ" คนนี้คือหญิงสาวรุ่นใหม่ที่เคยมีอาชีพการงานที่มั่นคง รายได้ดีหกหลักต่อปี มีคนรัก แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ถามคำถามนี้กับตัวเองว่า "นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการจริงหรือ" และตัดสินใจเดินออกมาหาคำตอบให้กับตัวเองระยะหนึ่ง แต่หลังจากนั้น เธอก็กลายเป็นคนตกงานถาวร สมัครงานไปก็ไม่มีบริษัทใดเรียกสัมภาษณ์ อยู่ดีๆคนรักก็ต้องเลิกรากันไปเพราะไปทำผู้หญิงอีกคนหนึ่งท้อง ส่วนกลุ่มเพื่อนเก่าก็สลายตัวหายศีรษะกันไปอีก เธอตัดสินใจหลบหนีปัญหาทั้งหมดสักพัก และออกเดินทางไปอินเดีย จากกำหนดการณ์พักผ่อนสองอาทิตย์ เธอบังเอิญได้พบกับเพื่อนเก่าชาวฝรั่งเศส ที่เอ่ยปากชักชวนเธอให้ลองไปเป็นอาสาสมัครด้วยกันที่หมู่บ้านห่างไกลความเจริญ ฉันไม่รู้ว่ากลุ่มคนจำนวนหยิบมือที่ชอบถามคำถามยากๆกับตัวเองว่า "นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการจริงหรือ" นั้น แท้จริงแล้วเป็นกลุ่มคนที่โดนสาป ทำให้ไม่เคยพอใจกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ที่คนหมู่มากเค้าไม่เห็นจะรู้สึกเดือดร้อนกับชีวิตแบบนี้ตรงไหน หรือเป็นกลุ่มคนผู้มีบุญกันแน่ ที่มองข้ามผ่านความพอใจในวัตถุนิยม เพื่อมองหาความหมายให้กับชีวิตและสังคม ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่ "ติ่ง" ต้องการจะบอกในหนังสือเล่มนี้ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมฉันถึงต้องลุกขึ้นมาใจบุญสุนทานจิตอาสาอย่างบ้าคลั่ง ในทุกครั้งที่ฉันประสบพบเจอกับปัญหาในชีวิต เวลาคนเรามีปัญหา เรามักจะมองปัญหาตัวเองเป็นเรื่องใหญ่และจมจ่อมอยู่กับมัน การออกไปเป็นอาสาสมัคร ทำให้เราตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้ว ปัญหาของเราเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาที่มีผลต่อความเป็นความตายของชีวิตเหมือนอย่างที่หลายคนที่ฉันออกไปช่วยเหลือกำลังเผชิญอยู่ แต่หากเรามองมันว่าเป็นเรื่องใหญ่ มันก็จะเป็นเรื่องใหญ่อยู่อย่างนั้น สุดท้ายแล้ว เราก็จะทำได้แค่จมปลักอยู่กับตัวเอง และหลงลืมเผื่อแผ่แบ่งปันสู่คนรอบข้าง ทั้งๆที่นั่นแหล่ะคือกุญแจสำหรับคำตอบ ฉันชอบบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ สุดท้ายแล้ว "เธอ" บอกกับฉันว่า..."การให้ ทำให้ฉันมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ และทำให้มองเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อืน โดยที่ไม่ต้องเอาตัวไปยึดติดกับเงิน งาน หรือคู่ครอง" เราชอบการเขียนรีวิวหนังสือกับหนังของคุณมากค่ะ พอเขียนจากความรู้สึกจริงๆ แล้วคนอ่านอย่างเรามันก็สัมผัสได้
โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:6:47:52 น.
@คุณเหมือนพระจันทร์ เล่มนี้ณัชชาอ่านตอนนั่งรอทำผมค่ะ ไม่น่าเชื่อ อ่านจบเลยรวดเดียวใช้เวลาัสั้นมากจนน่าตกใจ อีกใจนึงก็ เอิ่ม หมดไปแล้ว 143 บาท ค่าหนังสือ เหรอเนี่ย 55
@คุณแฟน LinKinPark ขอบคุณนะคะ เพราะว่าพวกเราชอบเพลงหนังหนังสืออะไรเหมือนกันๆด้วยหรือเปล่าคะ รสนิยมเดียวกัน ขอบคุณนะคะ ดีใจที่มีคนชอบอ่านรีวิว โดย: narumol_tama วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:13:42:22 น.
เห็นด้วยๆ ปัญหาอันน้อยนิดของเรา ถ้ามองออกไปไกลๆ มีคนเค้าทุกข์กว่าเราเยอะ ตอนนี้ก็เริ่ม ให้ แก่คนอื่นๆมากขึ้นเหมือนกันค่ะ
โดย: settembre IP: 78.134.45.88 วันที่: 3 มีนาคม 2556 เวลา:4:08:33 น.
^
^ ดีมากเลยค่ะ ไว้มีโอกาสไปทำจิตอาสาด้วยกันนะคะ โดย: narumol_tama วันที่: 3 มีนาคม 2556 เวลา:21:51:43 น.
เป็นหนังสือที่น่าสนใจมากมายครับบ
สวัสดีวันสีส้มครับ ขอบพระคุณที่แวะไปเยี่ยมที่บล๊อกครับ โดย: Sleeping_prince วันที่: 7 มีนาคม 2556 เวลา:12:20:15 น.
11 นาที
จบแบบไม่คาดหมายมากเลยค่ะ สำหรับเรื่องราวที่มีตัวละครฝ่ายหญิงเป็นโสเภณี แม้จะไม่มีฉากแต่งงานให้เห็น แต่ปลายทางก็มีความรัก โดย: เหมือนพระจันทร์ วันที่: 8 มีนาคม 2556 เวลา:22:06:49 น.
|
natcharat
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 34 คน [?] ตั้งใจเปิดบล็อคนี้ขึ้นมาระบายอารมณ์เวลาอ่านหนังสือแต่ละเล่มจบ เพราะชอบอ่านหนังสือมากๆ (จริงๆชอบอย่างอื่นด้วย ดูหนัง ฟังเพลง กิน เที่ยว ช็อปปิ้ง) แอดเป็นเพื่อนกันที่ Facebook ได้นะคะ http://www.facebook.com/narumol.pichedpun "ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นในบล็อกนี้ เป็นของเจ้าของบล็อกตามกฎหมาย หากต้องการคัดลอก ดัดแปลง หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ กรุณาติดต่อขออนุญาตจากเจ้าของบล็อกก่อนนะคะ เพราะงานเขียนบางชิ้นติดลิขสิทธิ์ค่ะ" [สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539]
Friends Blog
|
ก่อนจะวางลงสู่ที่เดิม
อืม...
กลัวจะเอามาดองอีกค่า
แค่นี้กองดองก็สูงจะแย่แล้ว