การเปิดประชุมประจำปีของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อวันที่ 6 กันยายน ด้วยเวทีสัมมนา "อนาคตประเทศไทย บนเส้นทางสีเขียว" เป็นการตอกย้ำถึงเป้าหมายหลักของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ฉบับที่ 11 (2555-2559) โดย ดร.พนัส สิมะเสถียร ประธานกรรมการ สศช. ที่กล่าวนำการประชุมตอนหนึ่งว่า ต้องการให้สังคมไทยสามารถอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ยั่งยืน เสมอภาค และมีภูมิคุ้มกันสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทั้งจากภายนอกและภายในได้
ทั้งนี้ สศช.ได้กำหนดความพึงประสงค์ตามกรอบของแผนฯฉบับที่ 11 ไว้ 3ข้อได้แก่ 1.เป็นสังคมที่มีความมั่นคง ทั้งทางเศรษฐกิจ ทางอาหาร พลังงาน และมีความมั่นคงในชีวิตในสังคมมีคุณภาพและมีความสุข 2.ด้านวัฒนธรรม มีวัฒนธรรมประชาธิปไตย วัฒนธรรมความสร้างสรรค์ และวัฒนธรรมการยอมรับความแตกต่างที่มี หลากหลายในประเทศให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และ 3. สังคมสีเขียว สังคมที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
-ทำไมต้องไปสังคมสีเขียว ?
คำถามข้างต้น อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสศช. ได้ตอบไว้ระหว่างบรรยาย ปัญหาจากสภาพปัจจุบัน 4 ประการของสังคมไทย หนึ่ง ประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงเป็นอันดับ 24 ของโลก และสูงสุดในกลุ่มอาเซียน และเฉลี่ยปัจจุบันคนไทยปล่อยก๊าซชนิดนี้ 5.6 ตันคาร์บอนต่อคนต่อปี ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงต้องร่วมกันกำหนดว่าจะวางเป้าหมายให้ลดลงได้อย่างไร
"การปล่อยก๊าซคาร์บอนของไทย คิดเป็นสัดส่วน 1% ของโลก แม้จะไม่มากแต่ก็ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียนด้วยกัน" เขาย้ำ
สอง ปัจจุบันมีขยะจากภาคอุตสาหกรรม 16 ล้านตันต่อปี แต่นำมาใช้โดยรีไซเคิลได้เพียง 20% ซึ่งยังต่ำกว่า 35% ของของเสียมีอยู่ในทุกขั้นตอนทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน
สาม ความเท่าเทียมในเรื่องของการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติกระจุกตัว การถือครองทรัพย์สินที่ดิน ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยการถือครองที่ดินยังเกาะอยู่ในกลุ่มคนประมาณ 10% ของประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถือครองที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ปัจจุบันพื้นที่ป่ามีประมาณ 30% มากกว่า 20 ปีที่แล้ว แต่ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับ 50 ปีที่แล้วที่มีพื้นที่ป่าไม้ประมาณ 50% และ 4. คุณภาพของคนไทย ทั้งในเรื่องสุขภาพ และองค์ความรู้
แล้วจะไปสู่เป้าหมายได้อย่างไร
เลขาธิการ สศช. ได้ขยายความหมายของสังคมสีเขียวไว้ว่า หมายถึง การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศและสังคมอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งการขับเคลื่อนสู่สังคมสีเขียว ตามแนวทางที่สศช.เสนอไว้มีดังนี้ 1.การบริโภค และการผลิตที่ยั่งยืน การลดการผลิตหรือผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิตในโรงงานที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การคิดค้นเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ ในเวลาเดียวกันผู้บริโภคก็ต้องมีส่วนกระตุ้นให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการได้ตระหนักถึงสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคมและสุขภาพของมนุษย์
2.โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การขนส่งสีเขียว เรื่องของกรีนโลจิสติกส์, การลดการใช้ถนน โดยปรับเปลี่ยนเป็นรถรางให้มากขึ้น เพื่อลดการใช้น้ำมัน ลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอน 3. สังคมที่เป็นธรรม การเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด 4.การเสริมสร้างการใช้ทุนทรัพยากรทางธรรมชาติ และ 5 . การขับเคลื่อนโดยอาศัยกฎเกณฑ์ของภาครัฐมาตรการทางด้านภาษี และการเงิน เพื่อส่งเสริมให้มีการปรับตัว
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเส้นทางสังคมสีเขียวมี 10 ปัจจัยในการดำเนินการได้แก่ 1.การออกแบบสีเขียว 2.การผลิตสีเขียวที่คำนึงเรื่องการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวลด้อม 3.การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวของภาครัฐ 4. ความรับผิดชอบต่อสังคม 5.ความร่วมมือกันในภาคบริการ 6.การฟื้นฟูทรัพยากร 8.การสร้างงานและอาชีพสีเขียว
7.การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร 9.กฎระเบียบเพื่อการพัฒนาสีเขียว และ10.การเพิ่มการอุดหนุนอุตสาหกรรมที่เป็นประสิทธิภาพต่อสิ่งแวดล้อมโดยอาศัยการสนับสนุนทางนโยบายทางการเงินและการคลังของภาครัฐ ซึ่งทั้ง 10 ข้อดังกล่าวจะทำได้สำเร็จก็ต้องอาศัยการเพิ่มเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว เช่น ระบบโลจิสติกส์ การใช้การขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มการขนส่งระบบรางให้เร็วที่สุดเพื่อลดการใช้พลังงาน
ดันร่างพ.ร.บ.การคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม
ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หนึ่งในผู้ร่วมอภิปราย กล่าวว่า การใช้นโยบายการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการเข้าสู่สังคมและเศรษฐกิจสีเขียว ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการของภาครัฐตาม 3 แนวทางหลักๆ ได้แก่ 1.มาตรการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยกระทรวงการคลังได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มาตรการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ... ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และการหารือร่วมของส่วนงานราชการก่อนนำสู่สภา
สาระสำคัญของร่างดังกล่าวนี้ จะกำหนดมาตรการภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม ,ค่าธรรมเนียมในการจัดการ การกำหนดภาษีผลิตภัณฑ์และค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเงินประกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม และครอบคลุม ไปถึงการซื้อขายสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือสิทธิในการปล่อยมลพิษ
อย่างไรก็ดีแม้รัฐบาลขานรับการเดินหน้าสู่สังคมสีเขียวตามแผนฯฉบับที่ 11 ของสภาพัฒน์ หากปัจจัยที่สำคัญยิ่งกว่า มาตรการทางภาษี หรือมาตรการอื่นๆ หากเป็นสำนึกของประชาชน นักธุรกิจ นักวิชาการ นักอุตสาหกรรม นักการเมือง ฯลฯ ที่พร้อมจะผลักประเทศไทยไปสู่สังคมสีเขียว
อนาคตประเทศไทย บนเส้นทางสีเขียว
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ( พ.ศ. 2555-2559 ) ได้กำหนดให้สังคมสีเขียวที่ทุกภาคีร่วมกันขับเคลื่อนและสร้างอนาคตประเทศไทยดังนี้
1. การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน เน้นโครงสร้างการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนการผลิตคาร์บอนต่ำ เน้นการเกษตรกรรมที่ยั่งยืน อุตสาหกรรมสะอาด ส่งเสริมการท่องเที่ยวสีเขียว การพัฒนาพลังงานสะอาด โครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่ง และการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมการสู่ตลาดสีเขียว พัฒนาระบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่ชุมชนและอุตสาหกรรมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล
2. เสริมสร้างและใช้ประโยชน์ทุนทรัพยากรธรรมชาติ ฟื้นฟูธรรมชาติให้สอดคล้องกับระบบนิเวศภูมิสังคมและความต้องการของชุมชน ควบคุมและลดมลพิษต่าง ๆ บริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ กระจายที่ทำกินอย่างเป็นธรรม เตรียมพร้อมการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรของท้องถิ่นและชุมชน รวมทั้งสนับสนุนการสร้างรายได้จากการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ
3.การพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวม ด้วยมาตรการและเครื่องมือต่าง ๆ อาทิระบบภาษีและมาตรการจูงใจในการพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือกระตุ้นให้มีการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมสีเขียว พัฒนาเครื่องมือทางการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาพลังงานสะอาด และมาตรการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนสู่สังคมสีเขียว มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และแก้ปัญหาความยากจน ศึกษาการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน พัฒนาสวัสดิการ พัฒนาแรงงานให้มีสมรรถนะ สอดคล้องกับโครงสร้างการผลิตและบริการบนฐานความรู้ ส่งเสริมสุขภาวะคนไทย เสริมสร้างธรรมาภิบาล สร้างจิตสำนึกพลเมือง จิตอาสา และวัฒนธรรมประชาธิปไตย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,773 9-12 กันยายน พ.ศ. 2555