|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
ได้ทำหนังสือเดินทางเสียที...และครบรอบ 2 ปี สำหรับการพบกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิต
รู้ข่าวว่าจะต้องเดินทางไปทำงานที่สิงคโปร์ตั้งแต่เมื่อพฤหัสที่แล้ว (23 กค.) แต่ล่วงมาจนถึงวันนี้ (อังคาร 28 กค.) ข้าพเจ้าเพิ่งได้ไปทำหนังสือเดินทางนี่แหละ
สาเหตุก็เพราะงานมันเยอะเหลือเกิน ตัวข้าพเจ้าตอนนี้นอนเวลาตีห้า ตื่นเจ็ดโมงมาสองวันแล้ว เพราะงานเยอะนี่แหละ ไม่งั้นทำไม่ทัน
การที่ต้องนอนใกล้เช้า ตื่นแต่เช้าแบบนี้ ก็ทำให้ค้นพบอะไรอย่างหนึ่งว่า การที่ได้นอนแค่สองชั่วโมงแบบนี้ ร่างกายกลับสดชื่นทั้งวันไม่มีอาการง่วงเลย ผิดกับวันไหนที่นอนเจ็ดชั่วโมง แปดชั่วโมง ตอนบ่ายๆจะง่วงมาก
แต่คงต้องทดสอบอีกสักหน่อย เพราะมันอาจจะเป็นไปได้ว่าสองสามวันนี้งานยุ่งมาก อดรีนาลีนมันอาจจะทำให้ต้องตื่นตัวกันทั้งวันเลยทำให้ไม่ง่วงก็เป็นได้
...
วันนี้ไปทำเรื่องทำหนังสือเดินทางเสร็จเรียบร้อย ต้องบอกว่าเร็วจริงๆ จริงๆแล้วก็ซึมซาบตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนที่ทำพาสปอตเล่มเก่าแล้วล่ะ แต่หนนี้รู้สึกไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่ามันชิลๆ แล้วก็เสร็จเร้วมากๆ
อีกมุมหนึ่งก็คือเมื่อสองปีก่อน เป็นการไปทำหนังสือเดินทางหลังจากวันที่เกิดเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิตเพิ่งผ่านไปได้แค่สองวัน มันก็เลยรู้สึกแย่ๆก็เป็นได้ เพราะตอนนั้นไปทำทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าชีวิตตัวเองจะเป็นยังงัยต่อไป
แต่คราวนี้รู้สึกมันโล่งๆ ไม่ตื่นเต้น ไม่กังวล ไม่อะไรทั้งนั้น ในหัวคิดแต่ว่าเงินที่ติดตัวมาแค่ 1300 มันจะพอมั้ยเนี่ย แล้วถ้าไม่พอหรือพอดีๆจะทำยังงัย น้ำมันก็จะหมดถังแล้ว มันเตือนแล้วเตือนอีก
แต่สุดท้ายก็ใช้เงินแค่พันเดียว ก็โล่งไป มีตังเหลือมากินข้าวที่ชั้นล่างของกรมการกงศุลแบบสบายๆอีกตะหาก ...แต่ขอบอกว่าแมร่ง แพงมาก ข้าวราดแกงจานละ35 บาท
ทำยังกะอยู่ในห้างเลยนะพี่ เฮ้ออ
ก็มารับเล่มได้ในวันพฤหัสเลย เร็วมากมาย ก็ดีแล้วล่ะ
วันนี้มานั่งเปิดหนังสือเดินทางเล่มเก่า เห็นวีซ่าที่ไปคูเวตแล้วก็นึกย้อนอะไรต่อมิอะไรที่ผ่านมา สองปีที่ผ่านไป ก็คงบอกเหมือนกับที่เคยบอก ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของชีวิต เพราะพบเจออะไรมากมาย เรียกได้ว่าตั้งแต่ก่อนไปคูเวต 1 ปี จนมาถึงกลับมาจากคูเวตแล้ว 1 ปี ชีวิตพบเรื่องอะไรมากมายมหาศาล
ข้าพเจ้าหลับตาแล้วก็นึกย้อนถึงเรื่องราวต่างๆ แล้วหันมามองตัวของข้าพเจ้าเองในวันนี้ ข้าพเจ้าพบว่า ตัวของข้าพเจ้าไม่เคยมีอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าก็เป็นแค่สิ่งที่ล่องลอยไปมาเหมือนก้อนหินสักก้อนนึงในสังคมไม่ว่าที่เมืองไทย หรือที่ไหนๆ
ไม่มีอะไรอยู่ข้างหลังให้ต้องกังวล ไม่มีใครมาห่วงหรือผูกติดอยู่ เป็นชีวิตที่ในแง่มุมนึงหลายๆคนอาจจะคิดว่ามันน่าจะเหงา หรือไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก แต่ในความคิดของข้าพเจ้ากลับคิดตรงกันข้าม ข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีว่าข้าพเจ้าเป็นคนที่น่าจะเรียกได้ว่ามีอิสระที่สุดในโลกคนนึงเลยก็ว่าได้ ข้าพเจ้าอยากทำอะไรก็ได้ เบื่อที่ทำงานที่นี่แล้วเดินออกเลยก็ยังได้ วันไหนนึกเซ็งๆอยากขับรถเล่นไปเรื่อยๆก็ได้ หรือแม้แต่ถ้าวันไหนนึกอยากจะตายก็ไปหาที่ตายเงียบๆ อาจจะเป็นเขาสักลูกไกลๆ แล้วโดดลงมา แค่นั้นข้าพเจ้าก็หายไปจากโลกอย่างสมบูรณ์แบบ หายไปโดยที่ไม่มีใครเอะใจ และหายไปโดยที่สังคมนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน
ข้าพเจ้าเป็นคนประเภทที่ว่าถึงจะตายไปสักร้อยครั้ง สังคมนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ดีนั่นแหละ
ดังนั้นการไปสิงคโปร์ครั้งนี้ ข้าพเจ้าถึงได้กลับไปรู้สึกเหมือนตอนที่ก่อนจะไปคูเวตอีกครั้ง คือรู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรที่เมืองไทยเลย จะไปอยู่ที่นั่นก็ได้นานๆ (แต่ขอกลับมาบ้างนะ)
ซึ่งจริงๆแล้ว ข้าพเจ้ากลับมาเมืองไทยหนก่อน ก็ไม่ใช่เป็นเพราะกลับมาหาอะไรที่เมืองไทย เพราะจริงๆข้าพเจ้าก็ไม่มีอะไรที่นี่อยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้ากลับมาเพราะข้าพเจ้าต้องการจะหนีอะไรที่นั่นต่างหาก
เมืองไทยในความหมายของข้าพเจ้าก็คงเป็นที่พักพิงเพื่อหลบซ่อนอะไรบางอย่างมากกว่า
และทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อข้าพเจ้าใช้ชีวิตที่เมืองไทย 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา ข้าพเจ้าก้ยิ่งพบความจริงว่า ทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่จริงแท้แล้วไม่มีอะไรเลย ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะผ่อนหรือบางคนอาจจะตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนหลายๆคนที่นี่ออกไป เพราะข้าพเจ้าตระหนักว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่ข้าพเจ้าจะสร้างห่วงของตัวเองขึ้นมาทั้งๆที่มันไร้ความหมาย
แม้ในบางครั้งข้าพเจ้าจะมองดูหีบเพลงของครูสอนเปียโนของข้าพเจ้า และนึกถึงเรื่องราวในหนหลังที่เราสองคนต่อสู้ร่วมกันมา แต่ข้าพเจ้าก็รู้ตัวเองดีว่า หนทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวข้าพเจ้าเองก็คือ การถอยออกจากชีวิตของเขาเสีย แล้วต่างคนก็ต่างเดินในเส้นทางของตัวเอง
เพราะในใจของข้าพเจ้ามันคงไม่มีความรู้สึกให้ใครอีกแล้ว ในเมื่อมันล่องหนหายไปตั้งแต่ความรักครั้งสุดท้ายที่มันจบลงไป
ท่ามกลางงานที่กองอยู่รอบตัวข้าพเจ้าเต็มไปหมดในตอนนี้ ทั้งๆที่จะไปสิงคโปร์อยู่ไม่กี่วันนี้แล้ว ข้าพเจ้ายังมีเวลาคิดเรื่อยเปื่อยขนานนั้น
แต่จริงๆแล้วการกลับมาเมืองไทยหนนี้ ข้าพเจ้ากลับพบสิ่งที่ประเสริฐที่สุดและเป็นเส้นทางของชีวิตอันเป็นความสุขที่สุด นั่นคือหนทางของความสงบสุข หนทางสู่พระผู้เป็นเจ้า สิ่งนี้ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าตั้งแต่เดือนเมษาจนถึงวันนี้ข้าพเจ้าถึงได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทางของตัวข้าพเจ้าเอง
ชีวิตที่ไม่ยึดติดกับสิ่งใด ใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยการทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เต็มที่ที่สุด
แต่ก็คงขอบางอย่างที่จะขอแบกมันเอาไว้ เพราะข้าพเจ้าถือว่ามันเป็นสัจจะของวิญญาณแห่งชีวิตข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะขอยึดสิ่งนั้นเป็นหลักสำหรับชีวิตของข้าพเจ้าตลอดไป
.....
ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์หรือ กทม. ข้าพเจ้าก็คิดว่ามันก็ไม่ต่างกันเลย ในความรู้สึกของข้าพเจ้า
..........
บล๊อกหน้าจะพยายามหารูปมาลงให้มากขึ้นครับ
ว่าแต่ใครมีกล้องดิจิตอล มาบริจาคเด็กน้อยตาดำๆบ้างมั้ยครับ ไม่มีกล้องเลยยยย T-T
Create Date : 28 กรกฎาคม 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2552 21:04:47 น. |
Counter : 593 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|