ทุก คนอยากรวย แต่ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ไม่รวย
ในโลกนี้ทุกคนสอนให้เดินตามกัน ทำเหมือนกัน เรียนแบบเดียวกัน แต่กลายเป็นว่า เมื่อคุณทำเหมือนคนอื่น แล้วหวังให้ผลลัพธ์แตกต่างจากคนอื่น ..มันไม่มีทางเป็นไปได้
ใน ประเทศไทยประชากรส่วนใหญ่ จน อย่างแรกถ้าคุณมีเงินมาลงทุนได้ นั่นหมายถึง คุณทำบุญมาดีในระดับนึง ที่สามารถมานั่งอยู่ตรงนี้ และมีโอกาสที่จะลงทุน
คุณ คือคนโชคดี!! ทำไมน่ะหรือ
. ก็เพราะในประเทศไทยมีประชากร 60 กว่าล้านคน แต่มีคนเพียงแค่ประมาณ 100,000 คนที่เล่นหุ้น (หากตอนนี้คุณเป็นคนนึงที่เล่นหุ้น และคิดที่กำลังจะเล่นหุ้น ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะคุณคือ คนส่วนน้อยของประเทศที่มีโอกาสรวย (คนส่วนใหญ่ทำนา ทำไร่ เลยไม่ค่อยรวย คนส่วนน้อยเท่านั้นที่มีโอกาสเล่นหุ้น ดังนั้น คุณทำแตกต่าง นี่คือ ความโชคดีในเบื้องต้น คุณมีโอกาสรวย)
ปัญหา ของการเล่นหุ้นมีอยู่นิดนึง คือ คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้น ขาดทุน มีเพียงสัดส่วนประมาณ 20% เท่านั้นที่กำไร (คำถามคือ คุณจะเป็น 20% นั่นอย่างไร!!)
ประเด็นต้องย่อยลงมา คือจะอธิบายว่า การที่เราทำเหมือนคนส่วนใหญ่ ..เราจะจน ..ภาพใหญ่คือชาวนาไม่รวย ดังนั้น คนที่เล่นหุ้นเป็นส่วนน้อยจึงไม่จน ...มองลงมาภาพเล็กลงไปคือ คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้นกลับขาดทุนอย่างย่อยยับ --คำถามคือ คนที่ขาดทุนอย่างย่อยยับ เขาทำอะไร -- นี่แหละสำคัญ เพราะถ้าเรารู้ว่าคนส่วนใหญ่ทำอะไร แล้วขาดทุนอย่างมหาศาล..บางคนหมดตัว ..บางคนฆ่าตัวตาย ..ถ้าเรารู้ เราจะได้ไม่ทำไง
คนเล่นหุ้น ส่วนใหญ่ทำอะไร ..เป็นคำถามที่ตอบง่ายมาก ..คนส่วนใหญ่ชอบเข้ามาซื้อขายเมื่อตลาด Boom นั่นก็คือ ชอบซื้อหุ้นในขาขึ้น --และนี่เป็นสาเหตุที่ว่า ทำให้ตลาดหุ้นพอเข้าขาขึ้น แล้วมันจะขึ้นไปเรื่อยๆจนราคามันเลยความเป็นจริงหรือ Bubble นั่นเอง (เมื่อตลาดเกิด Bubble มันก็จะจบด้วย Crash !!
คนส่วนใหญ่ทำ อะไร(ต่อ) ..เวลาตลาดลงคนส่วนใหญ่จะขายหุ้นทิ้งเพื่อหนีตาย ..เมื่อทุกคนขายพร้อมกัน ราคาหุ้นก็จะยิ่งลงต่อไปอีก จนราคามันต่ำกว่าความเป็นจริง --และนี่คือ ที่ว่าของ ตลาด Crash!! นั่นเอง
สรุป ก็คือ การที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบทำอะไร เหมือนๆกัน มันส่งผลให้ ตลาดหุ้นเกิด Bubble และก็ Crash
ซึ่งทั้งหมด ก็ได้ตอบคำถาม ที่ว่า ทำไมคนส่วนใหญ่เล่นหุ้นแล้วขาดทุน ก็เพราะทุกคนเดินตามๆ กัน ทำเหมือนกัน
คำ ถามที่สุดฮอตของการเล่นหุ้นให้รวย คุณจะต้องทำอย่างไรล่ะ
ตอบได้ง่ายมาก ถ้าคุณต้องการรวยคุณก็ทำให้แตกต่างจากคนอื่น
คือ ให้คุณซื้อหุ้นเวลาตลาด Crash จากนั้น ก็ถือไปเรื่อยๆ แล้วไปขายเมื่อตลาด Bubble
ผม เชื่อว่าเมื่ออ่านมาถึง ตรงนี้ผมเชื่อว่า หลายคนคงมีคำถามในใจแล้วว่า ณ เวลานี้ (วันที่ผมเขียนบทความนี้ วันที่ 30 ตุลาคม 2010 ตลาดหุ้นแพงหรือถูก)
แล้วเราอยู่ไหนล่ะ จะทำยังไงต่อ !!
(เอ้า!! เอากราฟตลาดหุ้นมาดูกัน)
นี่ คือ ภาพของตลาดหุ้นตั้งแต่ 35 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน
การที่เราจะเล่นอะไร ผมเชื่อว่าหากเราเห็นภาพใหญ่ มันจะทำให้คุณสามารถเดินทางได้ สนุกขึ้น (มันคล้ายๆกับ นักเดินทางสองคน คนนึง เดินทางไปเรื่อยๆโดยไม่มีแผนที่ (สุดเครียด!!) อีกคนเดินมีแผนที่ (มันสบายใจต่างกัน) )
ไอ้กราฟนี้แหละแผนที่ในการเดินทาง ..มันดูง่ายๆ แต่มันจะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างมีกรอบ (เยี่ยมยอด!!)
ในภาพปี 1975 - 1993 ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วง ขาขึ้น ช่วงนั้นใครเล่นหุ้นก็รวยมหาศาล ..ยุคนั้น เขาเรียกตลาด Bull ในครั้งนั้นว่า Asian Miracle
หลังจากปี 1994 - ปัจจุบัน ..ตลาดหุ้นยังไม่ได้กลับไป Peak เดิมอีกเลย
ช่วงเวลานี้ เริ่มด้วยตลาด SET ลดลงเรื่อยๆ จากปี 1994 ลงมาแตะจุดต่ำที่สุดคือประมาณ 200 จุด เมื่อปี 1998 ..จากจุดนั้น ตลาดหุ้นไทยก็ไม่ไปไหนวิ่งไปสูงสุดก็แค่ประมาณ 900 กว่าจุดเมื่อปี 2007 ก่อนจะมาพังคือครั้งเมื่อปี 2008 (ตลาดลงไปแตะ 300 กว่าจุด)
นับจากปี 1998 เป็นต้นมา ตลาดวิ่งจาก 300 กว่าจุด วิ่งมาแตะ 1,000 จุดเรียบร้อย คำถามคือ จากนี้ไปตลาดหุ้นจะขึ้นต่อไป หรือมันจบแล้ว
จริงๆตรงนี้ไม่ต้องถามใคร คุณก็สามารถดูเองได้ (ดูยังไง!!)
ให้คุณมองไปรอบๆตัว แล้วสังเกตุให้ดีว่า คนส่วนใหญ่ทำอะไร ..นั่นแหละ ไม่รวย (คนส่วนใหญ่รอบๆตัวคุณทำอะไร ให้ทำตรงข้าม)
ณ ตลาด 1,000 จุด มีน้อยคนมากที่ คิดว่าตลาดจะไปต่อ รายย่อยจึงเริ่มกล้าๆกลัวๆ .. ดังนั้น ถ้าใครสังเกตุให้ดี พอตลาดวิ่งไปใกล้ๆ 1,000 จุด จะมีแรงเทขายทำกำไร ออกมามาก จนจุดนี้ได้กลายเป็นแรงต้านที่มหาศาลมาก
จุดนี้ถ้าให้ผมตีความหมาย ก็คือ รายย่อยส่วนใหญ่ เทขายหุ้นเกือบหมด port แต่แปลกไหมล่ะครับ ยิ่งขายราคา มันกลับยิ่งขึ้น !!
แล้วไง!!
จากจุดนี้ไป การที่คนส่วนใหญ่ขายทิ้ง มันทำให้ผมสบายใจ เพราะในเมื่อตลาดยังมีความเห็นไม่ตรงกัน นั่นก็หมายความว่าในภาพใหญ่มันยังไปต่อ ..ไปเรื่อยๆ ..เรื่อยๆ ..ไปจนถึง เมื่อทุกคนในเห็นพ้องต้องกันว่า ตลาดดีเยี่ยม อนาคตสดใส และ ทุกคนที่สามารถซื้อหุ้นได้ ก็ได้ซื้อหุ้นไว้หมดแล้ว
เมื่อเวลานั้นมาถึง นั่นก็คือ จุด Peak ของตลาดนั่นเอง
(นี่แหละครับ จบแล้ว) สุดยอดของการทำกำไรจากตลาดหุ้น ก็คือ ทำตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่
เมื่อใดที่คนส่วนใหญ่ขาย ให้คุณซื้อ เวลาที่คนส่วนใหญ่ซื้อ ให้คุณขาย
ฟังดูง่าย แต่ผมบอกเลยว่า คุณทำไม่ได้หรอก เพราะถ้าคุณทำได้ คุณก็รวยไปแล้ว ฮ่า ฮ่า .. ไอ้คนที่ทำได้ก็ลุง Buffett ไง..เฮอะ ๆ ๆ
แนว ทางของ Technical เป็นแนวทางที่คนรุ่นใหม่ (Gen Y) ให้ความสนใจ ..เพราะโดยหลักแล้ว Technical เป็นศาสตร์แห่งสถิติ นั่นก็คือ ศึกษาแนวโน้มและราคาในอดีต เพื่อให้เราเข้าใจ การขึ้นลงของหุ้นแต่ละตัว
มี เซียน Technical เคยบอกผมว่า
คนที่ใช้ Technical ในการทำนายอนาคต มั่ว ..เพราะ Technical คือ การดูแนวโน้มและเล่นตาม Trend เราถึงเรียก นัก Technical ว่า Trend Follower หรือ นักตาม Trend นั่นเอง
หัวใจ ของวิธีการนี้ คือ การซื้อแพง แต่ขายที่แพงกว่า และที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้อง Cut Loss เป็น และทำอยู่เป็นประจำ..พูดถึง จุดนี้ คุณเห็นความขัดแย้งอย่าง หน้ามือ กับหลังมือ ของแนว VI และ Technical แล้วใช่ไหมครับ (นี่แหละครับ ผมจึงย้ำเสมอว่า ถ้าเลือกวิธีไหน ต้องเล่นวิธีนั้นให้จบ ..ถ้าเปลี่ยนวิธีระหว่างที่กำลังเล่น เจ๊งอย่างเดียว)
การเล่นแนว Technical ในแบบฉบับ ไม่มั่ว ก็คือ การซื้อหุ้นเมื่อมีสัญญาณการขึ้นของ Trend ..พวกนักลงทุนในสาย Technical จะทำการศึกษา พฤติกรรมการขึ้นลงของราคา โดยใช้เครื่องมือต่างๆ ทางเทคนิค เช่น การใช้ Trend Line , RSI , Elliot wave , Fibonacci และอื่นๆอีกมากมาย
.เมื่อนัก Technical ซื้อตาม Trend แล้วจะไปขายเมื่อสัญญาณต่างๆชี้ให้เห็นว่า Trend เปลี่ยน ดังนั้น การเล่นแบบ Technical จึงไม่ใช่การซื้อถูกที่สุด แล้วไปขายแพงที่สุด แต่เป็นการซื้อที่ราคาแพง แล้ว Let Profit Run ให้สุด Trend จากนั้นค่อยไปขาย เมื่อราคาเปลี่ยนเป็นขาลงมาแล้ว --- ใช่!! นี่เป็นวิธีการเล่นแบบ กินตรงกลาง นั่นเอง
จุดเด่นของสำนัก Technical คือ การเข้ามาช่วยในการ ตัดสินใจเข้าหรือออกได้อย่างแม่นยำขึ้น
ถ้ามองให้ดีแล้ว คนที่เล่นแบบ Value Investor จะต้องเป็นคนที่มีจินตนาการสูง แต่คนเล่น Technical แทบไม่ต้องอาศัยจินตนาการ เพียงแต่ต้องอาศัย ความชำนาญและประสบการณ์ ในการวิเคราะห์ Trend ของราคา
จะ ว่าไปแล้ว Day Trade เป็นกลยุทธ์ที่รายย่อย ชอบ เพราะมันคล้ายๆกับการจับเสือมือเปล่า ..ซึ่งบ่อยครั้ง จะโดยเสือกัน ..บางรายโดนเสือกิน ..ฮ่า ฮ่า หมดตัว!!
ผมชี้ปึ้ก กับรุ่นน้องคนนึง ใช้นามปากกาว่า Wizard Kid ..ด้วยอายุแค่ 24 ปี ..เขาก้าวขึ้นมาเป็น Proprietary Trader (ที่หลายคนเรียกว่า ป๊อบ เทรด) ..หน้าที่ก็คือ การ Trade TFEX (ตัว Futures Index ของ SET50) ให้กับ Broker ชื่อดัง
Prop. Trade เป็นอาชีพที่ หอมหวาน ของคนรุ่นใหม่ เพราะมัน ท้าทาย + เงินเร็ว (เงินเร็วไม่เร็วขึ้นกับฝีมือ Day Trade ของแต่ละคนนั่นเอง)
การเล่น Day Trade จริงๆแล้ว รายย่อยเสียเปรียบ เพราะต้นทุนในการ Trade ของคุณสูงกว่า นักลงทุนอย่าง Prop. Trade ถึง 10 เท่า ..ไม่แปลกที่มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้น ที่สามารถ Day Trade และชนะตลาดในระยะยาว
อะไรคือปัญหาอันดับหนึ่งที่ทำให้ Day Trade เสียเงิน..หรือถึงขั้นหมดตัว
ไม่ รู้จัก Cut Loss นี่แหละสำคัญที่สุด
การที่เป็น Day Trade เท่ากับว่า คุณเป็น Speculator ไม่ใช่ Investor ดังนั้น ต้นทุนของคุณแพงกว่า Investor อยู่แล้ว ดังนั้น ในตลาดขาขึ้น เวลาคุณซื้อแล้วขายไป แล้วซื้อใหม่ ต้นทุนคุณจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าคุณขาดวินัยในการ Cut Loss มันคือหายนะ!!
หัวใจ ของ Day Trade คือ วินัยของการ Cut Loss เช่น บางคนกำหนดจุดที่กราฟ ..บางคนกำหมดว่าถ้าผิดทางจะ Cut ที่ 3% / 5% (อันนี้แล้วแต่)
คุณนึกให้ดีซิครับ หากคุณมีคุณ Cut Loss และคุณมีวินัย ยังไงคุณก็ไม่มีทางเจ๊ง (ไอ้ที่เจ๊ง เพราะ มันขาดวินัยครับ)
สมมุติ คุณตัดขาดทุน Cut Loss ที่ไม้ละ 5% --คุณจะต้องเสียติดต่อกันถึง 20 ครั้งกว่าคุณจะหมดตัว ..แล้วถ้าคุณสามารถขาดทุนกันได้ 20 ครั้งติดต่อกัน ผมแนะนำว่า อย่าเล่นหุ้นเลยครับ ..ทำอย่างอื่นจะ Work กว่า!!
สรุป ..ความสำเร็จของ Day Trade คือ Work Hard (ศึกษาการขึ้นลงอย่างราคา การดู Bid & Offer และดูพฤติกรรมของตลาด + มีวินัย)
ทำได้แค่นี้ ไม่มีเจ๊ง
..........................................
- ศึกษาข้อมูลหุ้นให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น อย่าซื้อหุ้นโดยใช้อารมณ์ อย่าโลภ อย่ารีบด่วนตัดสินใจซื้อหุ้นโดยเฉพาะในกรณีที่หุ้นกำลังวิ่ง ถ้าเราซื้อ เราก็จะเป็นนักเล่นหุ้นรายวันที่มีโอกาสถูกผิด 50-50 อย่างนี้แนะนำไปปอยเปตเถอะครับกิ๊กๆรู้กันเลยเดี๋ยวนั้น
- อย่าสนใจข่าวลือ หรือ "หุ้นเด็ด" ที่เราได้ยินมาไม่ว่าจะมาจากเซียน คนใน หรือ Insider ของบริษัท หรือจากคนแปลกหน้าในงานเลี้ยง เชื่อเถอะว่าถ้าเราได้ยินก็คงมีคนอีกไม่น้อยที่ได้ยิน สันนิษฐานได้เลยนายเป็นคนสุดท้ายของข่าวนี้ ลุยเดี่ยวเคยเจอมาแล้ว ประเภทหุ้นผีบอก ผีที่ว่าก็คือคนนั่นแหละที่หลอกเรา ลุยเดี่ยวถึงชอบเรียกไอ้พวกที่โกหกลุยเดี่ยวว่าเป็นผี แล้วคุณล่ะเคยโดนผีหลอกหรือยัง
- ในยามที่ตลาดเลวร้ายมากๆ นั้น หุ้นอาจจะตกต่ำลงไปเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานจริงได้มาก เช่นเดียวกัน ในยามที่ทุกคนกำลังมองโลกในแง่ดีมากๆ หุ้นอาจจะขึ้นไปเกินพื้นฐานได้มากเหมือนกัน ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้วราคาจะต้องขึ้นทันที หรือขายหุ้นแล้ว ก็หวังว่ามันจะลงถึง แม้เราจะเชื่อมั่นกับการวิเคราะห์หามูลค่าของเรา
- จำไว้หลักการของลุยเดี่ยวคือหุ้นนั้นรักได้แต่อย่าหลง เมื่อถึงเวลาเราก็อาจจะต้องมีความ "โหดร้าย" พอที่จะ "ตัดรัก" หรือขายทิ้งได้ถ้าพิจารณาดูแล้วว่ามัน "หมดเสน่ห์" จำไว้ทำกับหุ้นได้แต่อย่าทำกับเมียนะครับ
-จำไว้พี่น้องอย่าสนใจว่าหุ้นเคยอยู่ที่จุดไหนมาก่อน จงสนใจว่าหุ้นจะไปที่ไหนมากกว่า ครั้งหนึ่งกิจการอาจจะเคยกำไร 100-200 ล้านบาท ราคาหุ้นอาจจะเคยอยู่ที่ 10-20 บาทต่อหุ้น แต่ขณะนี้กำไรเหลือเพียงหลัก 10-20 ล้านบาท ราคาหุ้นตกลงมาเหลือเพียง 2 -3บาทต่อหุ้น อย่าไปคิดว่ากิจการและหุ้นจะต้องกลับไปที่เดิมหรือใกล้ๆ กับที่เดิม ตัวเลขใหม่คือของจริง ดังนั้น ลืมตัวเลขเก่าแล้วมองไปข้างหน้า หุ้นราคา 2 บาท อาจจะยังแพงเกินไปก็ได้ใครจะไปรู้
มีหลายครั้งที่นักลงทุนไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนในการนำตัวเองออกจากการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า พวกเขามักจะคาดหวัง และคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองในการที่จะไม่ถอนตัวและยอมขาดทุน ดังเช่นที่เราบอกซ้ำแล้วซ่ำเล่า ตลาดไม่สนใจว่าคุณจะคิดอะไร มันเคลื่อนไปตามทางของมัน และเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คุณคิด นั่นคือคุณคิดผิด