แม่กะลูกตะลอนแบกเป้ไม่ง้อทัวร์ลุยญี่ปุ่นเกาะเหนือ ภาค 1
วิธีเตรียมตัวก่อนลุยแจแปน
ขั้นที่ 1 : ซื้อตั๋วเครื่องบินระบุวันไปและกลับ อย่างของเราไป 20 กลับ 29 ตุลาคม 2554 และตั๋ว JR pass กรณีที่เราเที่ยวนานไปหลายที่แบบนี้ประหยัดสุดๆ
ขั้นที่ 2 : ทำ Visa โดยมีเอกสารจดหมายรับรองจากที่ทำงานระบุเงินเดือนด้วย กรณีที่เป็นเอกชนต้องมี book bank พร้อมถ่ายเอกสารย้อนหลัง 6 เดือนด้วย หากเป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจก็ไม่ต้องมีbook bank ประกอบ ค่าทำ Visa 1000 บาท บวกกับบริษัทเอกชนที่มาบริหารจัดการแทนกงศุล 600 บาทต่อคน รวมเป็น 1,600 บาทต่อคน ซึ่งเดิมเมื่อ 2 ปีก่อนกงศุลทำเองไม่ต้องเสีย 600 บาทอะ
ขั้นที่ 3 : วางแผนเรื่องที่พักโดยกางแผนที่กะๆว่าจะเที่ยวที่ไหนพักที่ไหนบ้างโดยดูจากเส้นทางไม่ควรวกไววนมาควรจัดเป็นแบบไปทางกลับอีกทางก้อดีนะแบบวงกลมถ้าทำได้ จากนั้นก้อป้อนข้อมูลลง excel
ขั้นที่ 3: พอได้เมืองที่จาพักก้อจัดการจองที่พักโดยใช้ agoda หรือ booking ผ่าน web ไม่ต้องกลัวเรื่องยกเลิกแต่ต้องยกเลิกก่อนซัก 1-2 วันนะจาได้ไม่เสียกะตัง ทั้ง 2 web ที่แนะนำอะเขาใช้การรูดบัตรเครดิตเป็นการจอง agoda ตัดเงินไปเลย ส่วน booking เขาใช้เป็นการจองยังไม่หักเงินต้องไปจ่ายเงินที่โรงแรม
ขั้นที่ 4 : แผนการคมนาคม โดยเข้า web Hyperdia สะดวกดีหากจัดแผนเป็นวันๆ แผนการเดินรถไฟ แผนที่พัก แผนการเที่ยวของวันนั้น พอเราเที่ยวเราก้อหยิบเอกสารเป็นวันๆง่ายมั่กๆ อ้ออย่าลืมพิมพ์ตารางเดินรถมากกว่า 1 เวลานะเผื่อเหลือเผื่อขาดเพราะเวลาเที่ยวอะมักมีอารายไม่คาดฝันมาก่อง จาได้มีแผนสำรอง ตัวอย่างใส่เงื่อนไขดังรูปข้างล่าง

ผลจากการที่เราใส่เงื่อนไขลงไปจะได้เวลาดังภาพทำให้เราสามารถวางแผนได้ถูกต้องยิ่งขึ้น


20 ตค. 54 เหินฟ้าไปแจแปน
และแล้ววันเดินทางก้อมาถึงกว่าจะมาถึง ค่อนข้างทุลักทุเลน่าดูตอนแรกแพลนว่าจาไปกันทั้งครอบครัว พ่อ แม่ ลูก แต่ปรากฏว่าคุณพ่อต้องสวนหัวใจทำบอลลูน 3 ลูกคุณหมอเลยไม่อนุญาตให้เดินทางไกลกลัวบอลลูนแฟ๊บ เฮ้อ..ต้องไปยกเลิกตั๋วรถไฟ JR และตั๋วเครื่องบินเหนื่อยมาก เนื่องจากหมอฟันธงหลังสวนหัวใจวันที่ 7 ตุลาคม ก่อนเดินทาง 13 วัน ตอนแรกเรามีความหวังว่าคงไปได้เพราะเป็นการผ่าตัดเล็กๆไม่ต้องดมยาแค่ฉีดยาชา แต่พอสวนเข้าไปเจอว่าสภาพยับเยินต้องใช้บอลลูนตั้ง 3 ลูกเลยเสี่ยงที่จะเดินทาง เราเลยตัดสินใจยกเลิกการเดินทางทั้งหมด แต่พอพักฟื้นไปได้ 7 วันคนไข้มีอาการดีขึ้นก้อนุญาตให้เราและลูกชายไปเที่ยวได้ แต่เราก้อแอบเป็นห่วงไม่กล้าทิ้งรอคุณหมอฟันธง follow up หลังผ่าตัดวันที่ 11 ตุลา ปรากฏว่าหมอบอกโอเชคนไข้สามารถอยู่ลำพังได้ เราก็เบาใจไปเที่ยวกะลูกจายได้ ถึงได้ทำการจองที่พัก และวางแผนเที่ยวอย่างจินจังในวันที่ 15 ตุลา เป็นไงฉุกละหุกมะ
แผนการเดินทางจึงเป็นไปดังนี้

เราเหินฟ้าไปกันแม่ลูกโดยมีพ่อตื่นแต่เช้าตีสี่ครึ่ง ไปส่งที่สนามบินตี 5 ตรวจคนออกเมืองแล้วก้อขึ้นเครื่องบิน 6 ชั่วโมงไปถึงนาริตะบ่ายสองโมงกว่า เนื่องจากเวลาบ้านเขาจะก่อนเรา 2 ชั่วโมงต้องหมุนเข็มนาฬิกาถอยหลังไป 2 ชั่วโมง จากนั้นก้อผ่านตรวจคนเข้าเมืองเขาใช้เวลานานพอควร คงเป็นเพราะจังหวะนั้นคนเข้าเที่ยวเยอะกระมัง พอเสร็จก้อไปรอกระเป๋าแล้วก้อไปแลกตั๋วรถไฟคนเยอะพอควรเลย คนไทยไปเที่ยวเวลาเดียวกะเราเยอะ มีบางคนกะจะมาซื้อตั๋ว JR ที่นี่เขาไม่ขาย เขาขายให้คนต่างชาตินอกญี่ปุ่นเท่านั้นอะ เราโชคดีที่ไปแลกตั๋วเป็นคนแรกๆ เจ้าหน้าที่ใจดีมาก เราเลย reserve seat วันที่ 24 สำหรับขากลับจากซัปโปโรเลย ตอนแรกกะจะใช้ตู้นอนจาก ซัปโปโร แต่ปรากฏว่าแพงมั่กๆๆ ไม่สู้ยอมใช้ตู้ธรรมดาปรับเอนนอนละกังได้ไม่ต้องเพิ่มเงิน
นี่ไงบัตรเบ่ง JR
พอเสร็จเรียบร้อยก้อตีตั๋วรถไฟเข้าโตเกียวไปลงอาซากูซะเพื่อไปนอนที่ Dormy Hotel รุมะว่าใช้เวลาบนรถไฟไปร่วมชั่วโมงฝ่าแน่ ไปถึงปลายทางบ่ายสี่โมงกว่า จากนั้นสองแม่ลูกก้อเริ่มลุยยุ่นปี่กังลากกระเป๋าคนละใบกะอีก 1 เป้ท่านผู้อ่าน!! ลากๆไปตามแผนที่ที่เตรียมมา ลากไปสักพักไม่มีทีท่าจะเห็นโรงแรมเลยเข้าไปที่ห้างสะดวกซื้อจากนั้นก็ถามแระว่าโรงแรมอยู่ทางไหน แล้วก้อซื้อบัตรโทรศัพท์ต่างประเทศไป 1000 เยนถามวิธีการก้อบอกให้อ่านจากบัตร แม่เจ้าปะคุณเอ๋ยตัวหนังสือเล็กมั่กๆๆ คิดถึงแว่นขยายเลยเรา!
นี่ก้อเป็นตัวอย่างบัตรโทรทางไกลต่างประเทศ ต้องใช้กับตัวโทรศัพท์สีเทาเท่านั้นนะโดยกดตามขั้นตอนที่บอกตามด้วยโค๊ดที่ได้จากการขูดด้านหลังของบัตรอะ

น้องผู้หญิงใจดีพอจาพูดภาษาอังกฤษได้ก้อแนะนำทางว่าเดินตรงไปเจอแยกไฟแดงก้อตรงๆๆอย่างเดียว เดินประมาณ 10 นาทีก้อถึง เฮ้อเจ้าลูกจายเริ่มบ่นเล็กๆแว้ว ทำไงดีอะพอดีเหลือบตาเห็นแท๊กซี่ก้อเลยเดินไปถามว่าไปส่งมะ ปรากฏว่าพี่แท๊กสั่นหัวบอกมะไป ในใจคงคิดว่ามังใกล้แค่เนี่ยจะเรียกทำไมนิ เราสองแม่ลูกจอมอึดเยยลากๆๆๆๆกระเป๋าไปจนเจอโรงแรมก้อใช้เวลาประมาณ 8 นาทีได้ เฮ้อรอดไป 1 วัน พอ check-in เสร็จห้องก็โอเชแต่เตียง semi double เนี่ยเล็กได้ใจพลิกมากไม่ได้สำหรับ 2 คน โรงแรมใช้ได้แม้ว่ากลิ่นบุหรี่จามากไปหน่อย แต่พนักงานมีน้ำใจดีมั่ก เขาบอกว่าตอน 3 ทุ่มจามีราเมนเลี้ยงแขกผุ้มาพักเป็นออเดิฟเล็กเขาบอกว่ามันไม่อิ่มหรอกไปหามื้อเย็นกินกันเองเหอะ เราแม่ลูกพอเก็บของเข้าห้องเรียบร้อยก้ออกมาเดินดูของที่อาซากุซะใกล้กับโรงแรมมากแค่ข้ามถนนเอง เดินเดิ้นเดิน พอเหนื่อยและหิวตอนแรกพยายามหาร้านหยอดเหรียญที่เคยกิน 2 ปีที่แว้วหามะเจอ เลยเจอร้านใกล้เคียงเอาแว้วหิวหมดไปเกือบพันเยนอะแต่อร่อยจับใจ
กลับมาที่โรงแรมเจอคนไทยพาคุณพ่อคุณแม่มาเที่ยวแต่ไม่ได้แพลนอารายมากเลยแน่นำให้ไปนิ๊กโก้ฮาโกเน่ แล้วก้อรอกินของฟรี แหมนึกว่าน้อยที่ไหนได้ชามโตบะหมี่ก้อนหนึ่งกะสาหร่ายและหน่อไม้ดองออกเค็มๆ เราพยายามโซ้ยให้หมดแต่ก้อไม่รอดเหลือนิสหนึง จากนั้นก็วางแผนการเดินทางวันรุ่งขึ้นโดย JR ไปอาโอโมริ
วันที่ 21 ตุลาคม เยือนอาโอโมริแดนแอ๊ปเปิ้ลหอมหวานกรอบ
วันนี้ตื่นแต่เช้า check-out แล้วเริ่มออกลากระเป๋ามาลงที่ ginza line ใกล้โรงแรมมากไม่ถึง 2 นาที แล้วนั่งรถไฟใต้ดินไป ueno เพื่อนั่งชินกันเซนไปอาโอโมริ โดยไปซื้ออาหารเช้าที่สถานีเป็นแซนวิชใส้หมูทอดอร่อยไปอีกแบบกะชาเขียว แล้วเริ่มใช้บัตรเบ่ง JR Pass เป็นครั้งแรก เรามาก่อนนั่งคอยรถไฟ 20 นาที ขบวนที่ไปอาโอโมริก็มาถึงเราก็ขึ้นไปนั่ง นั่งไปสักครู่มีเหตุการระทึกขวัญเกิดขึ้นเมื่อมีโฮสเตรทมาทักทายขอดูตั๋วปรากฏว่าเป็นตู้ reserve green car ชาวกระเรี่ยงอย่างเราทำเช่นไรล่ะ เราก็บอกว่าเราอะไม่ได้สำรองที่นั่งมาแต่ยินดีจ่ายเงินให้เป็นค่าที่นั่งเฉกเช่นเดียวกับพี่ไทยเรา ปรากฎว่าน้องสาวคนสวยให้ยืนขึ้นเราทำเป็นแบ๋วเพราะกลัวว่ามันจาไล่เราลงเลยนั่งมังตรงนั้นแหละ สักพักมันเดินมาบอกว่ารอเดี๋ยวๆจัดเต็ม ไม่ใช่เรากะลูกชายใจตุ๋มๆต่อมๆเอจาทำอย่างไรดีนะ ต้นหนึ่งเริ่มกระวนกระวายเราบอกใจเย็นๆทุกอย่างมีทางออก เราทำเป็นทองมิรุร้อนนั่งกินแซนวิชรอน้องสาวคนสวยไปพลางๆ พักใหญ่ๆก้อมีการ์ดรถไฟเดินมาบอก JR Pass ของยูนั่งที่นี่มิได้ขออัญเชิญไปอยู่ตู้ non-reserve พะยะค่ะ เฮ้อเป็นอันว่าเรายังรอดไม่ถูกโดนไล่ลงรถไชโยๆๆ
เราไปถึงอาโอโมริป้ายสุดท้ายต้องต่อรถไฟเข้าเมืองอีกรอรถไฟ 20 นาทีถึงเมืองก้อประมาณบ่ายสองโมง พอลงจากรถไฟมีบทเรียนจากการไม่สำรองที่นั่งเลยรีบไปติดต่อสำรองที่นั่งของวันพรุ่งนี้ที่จาไปฮาโกดาเตะเลย จากนั้นถามทางที่จาไปที่พักไกลพอควรเลยตัดสินใจเรียกใช้ Taxi ดีฝ่า เสียค่าบริการไป 730 เยน minimum charge ตัดสินใจถูกแว้วเพราะถ้าลากกระเป๋าไกลโขเยยถ้าสะพายเป้ยังถึงซำแฮกเยยอิๆ
พอถึงที่พักแสดง Agoda vocher เข้าพักได้เรียบร้อยแต่เขาบอกอินี้มาไวแขกยังมิได้ check-out ให้ฝากกระเป๋าก่องเราบอกมิมีปังหา จากนั้นก้อเดินเที่ยวไปหาอารยกิงกังกะลูกจายสุดเลิฟหอมกลิ่นแกงกระหรี่เลยซัดกะพุงกางคนละชามร้านโคๆ แล้วก้อเดินกลับโรงแรมขอข้อมูลเรื่องจาไปเที่ยวนั่ง ropeway ดูใบไม้เปลี่ยนสีเขาบอกเดี๋ยวจาพิมพ์ตารางรถให้ ขณะทำให้เราเห็นเขาเหลียบดูนาฬิกาตลอดเวลา สรุปว่าอีก 5 นาทีรถจาออกกลัวว่าเราจาไม่ทัน เราบอกเราจาพยายามว่าแล้วก้อเรียก taxi ลุยเลยลูกพี่แต่แยกไฟแดงที่เนี่ยเยอะมากแล้วพี่แท็กก้อขับตามกฎจราจรไม่ผ่าไฟแต่ก้อไม่รุว่ารถคันไหนอีกเฮ้อ! จนปัญญาไปติดต่อ information ดีฝ่าเขาบริการดีมั่กๆๆบอกเราว่า ropeway ปิดแว้วไปมะทันหรอกให้เรานั่งรถเที่ยวอุทยานละกัง เราโอเชใช้บัตรเบ่ง JR นั่งรถเที่ยวอุทยานดูใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามมั่กจากนั้นก้อไปลงที่ออนเซ็น ตอนแรกกะจาออนเซ็นซะหน่อยเพราะเขาให้เวลา 45 นาทีแต่ปรากฎว่าเขาแยกชายหญิงไม่กล้าปล่อยลูกจายคนเดียวเลยเดินถ่ายรูปแล้วก้อช๊อปปิ้งไปพลางๆ

รอรถมารับ 5 โมง 45 ถึงสถานีรถไฟมืดตามเคย มื้อเย็นซื้อบะหมี่ขายเป็นแพคๆจาก family mart เดินกลับที่พักออกกำลังกาย บอกชายหนึ่งอยากดูตลาดเช้ามะเขาบอกอยากเราเลยบอกตื่นแต่เช้าสัก 6 โมงเช้านะแล้วแม่จาพาไปกินข้าวเช้าที่ตลาดเช้าก่อนออกเดินทางไปฮาโกดาเตะ ต้นหนึ่งรับคำโอเชคับแม่
วันที่ 22 ตุลาคม นั่งรถไฟลอดอุโมงค์ทะเลไปเกาะเหนือพักที่ Hakodate
ตื่นแต่เช้าพร้อมลุยตลาดเช้าคับพี่น้อง เราเดินจากโรงแรมไปประมาณ 15 นาทีมีฝนตกพรำๆ โชคดีที่เสื้อโค้ทที่เราถอยมากันฝนด้วยส่วนชายหนึ่งโชคดีที่เอาหมวกหนังสีดำใบเก่งไปด้วยกันฝน ที่เมืองนี้เขามีหลังคากันฝนให้ตลอดทางดีจังเมืองนี้มีชื่อเรื่อง apple เลยมีสัญลักษณ์ ดังภาพ

น่ารักดีอะเมืองนี้มีห้างให้ shopping ด้วยแต่บุตรชายไม่โปรดให้แม่ shop พอเราถึงตลาดเช้าเดินวนหนึ่งรอบก้อเลยดำเนินรอยตามชาวอาทิดอุทัยซื้อข้าวเปล่าคนละ 1 ถ้วยๆละ 100 เยนแล้วก้อไปซื้อหน้าปลา กุ้ง ปู ปลาหมึก ไข่ปลา หอย แล่กันสดๆกิน พอเรียบร้อยก้อหาที่นั่งซื้อมิโซะอีกคนละถ้วยๆละ 100 เยนพร้อมที่นั่งและน้ำชาเขียวและวาซาบิซีอิ้ว บรรยากาศเหมือนกินข้าวในตลาดสดบ้านเราแหละแต่กลิ่นไม่รุนแรง รอดไปหนึ่งมื้อ ตอนจบพระเอกเกือบตายทำไมหรอก้อเห็นไข่ปลาลูกใหญ่มันสวยมั้งสั่งไปแต่กินมะหมดมันคาวอะ!! นอกจากไข่ปลายังสั่งหอยเชลอีกเขาแถบใส้หอยให้บอกอร่อยมั่กๆจะให้เราๆบอกขอบคุณมะเอา เราเห็นแล้วของเก่าจาออก แต่เจ้าลูกชายหนึ่งผู้ชื่นชมของแปลกของลองพอกินเข้าไปโอ้โหสุดจาทานทนก้อต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินเข้าไปหุหุ

พอกินข้าวเสร็จก้อเดินกลับเจอร้านผลไม้เห็น apple อยากกินว่าจาอร่อยขนาดไหนเลยถอยไป 1 ลูก 100 เยน
ถ่ายรูปหน้าห้างกะ apple

พอซื้อเสร็จกะว่าจาไปยืมมืดที่โรงแรมหั่น ปรากฎพนักงานคนแรกจาให้ยืมแต่พอปรึกษาหารือกังบอกมะมียูจาเอาไปทำไรหรอ เราบอกจาเอาไปหั่น apple กิงอะ เขาใจดีมั่กๆบอกส่งมาเด๋วไอจาเอาไปจัดให้ รออยู่ตั้งนานมะเหงออกมาสักทีผ่านไปเกือบ 20 นาทีปรากฎว่าทำการกว๊านเมล็ดปลอกเปลือกให้เสร็จอย่างกะจะเสริฟชาววังแน้
พอกินเสร็จก้อต้อง check out เพื่อไป Hakodate เด๋วจาตกรถไฟนะ เรียก taxi ไปส่งสถานีอาโอโมริ เพื่อนั่งรถไฟในเมืองไปที่ JR statapple ion Aomori ไป Hakodate เราซื้อสเบียงกิงบนรถไฟซิลๆ ขบวนนี้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง

แถมมีการมุดอุโมงใต้ทะเลเพื่อไปเกาะฮอกไกโดด้วยนาตื่นเต้นน่าดูเลยเพราะเป็นการนั่งรถมุดโอมงค์ใต้ทะเลครั้งแรกระบะทาง 10 กิโลเมตรที่อยู่ใต้ทะเล พอใกล้ถึง Hakodate เม็ดฝนก้อมาโปรยปรายต้อนรับเยยพอลงรถเลยต้องถอยเสื้อกันฝนคนละ 1 ตัวหมดไปร่วม 1000 เยนที่สถานีเพื่อจาเดินลากกระเป๋าไปโรงแรมเพราะอยู่เยื้องสถานีเดินไปประมาณ 3 นาทีหลังจากที่ถามเจ้าหน้าที่ information ถึงที่ตั้งโรงแรม ดีนะที่ต้นหนึ่งมีหมวกหนังกันฝนได้ทุลักทุเลน่าดูเลย สองแม่ลูกลากกระเป๋าท่ามกลางสายฝน

หลังจาก check-in เสร็จฝนไม่มีทีท่าจาหยุดเยยหนาวก้อหนาวเอาไงดีละเรา เจ้าลูกชายบอกสู้ๆลุยเยยแม่นานๆมาทีต้องเอาให้คุ้ม เราบอกโอเชงั้นไปซื้อตั๋วรถรางเที่ยวรอบเมืองกังดีฝ่า ก้อกลับไปหา information อีกเพื่อถามทางเดินรถและซื้อตั๋วรถรางเที่ยว ข้อดีของการพักใกล้สถานีรถไฟ และข้อดีของผังเมืองญี่ปุ่นที่เขาวางไว้ให้สะดวกในการท่องเที่ยวสถานีต่างๆอยู่ในบริเวณเดียวกังหมดรถยนต์ รถไฟ และรถราง ทำให้เราเที่ยวง่ายๆไม่ง้อทัวร์
เมื่อแม่ลูกซื้อตั๋ว one-day pass เรียบร้อยแว้วก้อลุยพร้อมน้องฝนเลยครับพี่น้อง เริ่มจากนั่งรถแล้วมองผ่านสายฝนไปยังตึกต่างๆ วิธีการขึ้นรถต้องรับเอาตั๋วใบเล็กที่ประตูก่อนหาที่นั่ง เวลาจาลงก้อต้องเอาตั๋วใบเล็กใส่ตู้พร้อมกับให้สตางค์ระบบจะทำการคำนวนค่ารถที่จะต้องจ่ายให้กะคนขับรถรางแต่เรามีบัตรเบ่ง one-day pass เสียบเข้ากับอีกเครื่องหนึ่งเนี่ยแหละจาขึ้นลงกี่ครั้งก็ได้

ตอนแรกงนไม่ได้อาตั๋วเล็กมาก้นั่งไปเรื่อยๆรอจนไม่มีคนแล้วรถยังไม่ปิดประตูขึ้นเลยอาศัยชุลมุนแอบดึงตั๋วเล็กมา 2 ใบรอดไปตู เกือบลงรถไม่ได้แล้วตู เราอาศัยรถรางไปลง redbrick warehouse เขาทำเป็นห้างขายของที่ระลึก ขนม เสื้อผ้า กะหีบเพลงเราใช้เวลาที่เนี่ยพอสมควรในการหลบฝนและความหนาวเย็น จากนั้นชายหนึ่งอยากขึ้นหอคอย เราจัดไปลงรถรางเดินกะน้องฝนและพี่ลมหนาวตามแผนที่ครับพี่น้องเย็นยะเยือกเลย เดิน เดิ้น เดินกว่าจะถึง
แต่พอถึงตีตั๋วขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุดก็สวยคุ้มค่าจินๆ มองลงไปเจอสวนญี่ปุ่นในรูปดาว 5 แฉกประดับประดาไปด้วยสวนหย่อมสไตล์ญี่ปุนแซมด้วยใบไม้สีสันแปลกตากว่าบ้านเราเราประทับใจจินๆเลย

พอลงจากลิฟท์ชั้นบนมาชั้นลอยเขาก็ดักคนที่มาเที่ยวด้วยของขายที่ขาออกจ้ะ เราเดินลงบันใดมาด้านล่างเจอนักดนตรีกำลังเล่นกีตาร์คลาสิค โอ้โหมันซูดหย้อดบรรยายไม่ได้ เผอิญเราชอบแนวนี้ด้วยเลยบอกลูกพักตรงนี้ฟังดนตรีดีฝ่าออกไปก็หนาวเจอฝนด้วยลูกตอบโอเชตามใจแม่ เราฟังเขาดีดแล้วปล่อยใจไปตามเสียงกีตาร์ที่พริ้วไหว มันช่างเป็นการพักผ่อนที่ผ่อนคลายดีจินๆ พอจบการแสดงเราก็เดินไปเจอออแกนไม้ทำด้วยมือทึ่งมั่กๆ ที่เนี่ยให้อารายกับเราเยอะการที่คนเขาอนุรักษ์ของไว้ให้ชนรุ่นหลังเห็นและภาคภูมิใจในความสามารถของชนรุ่นก่อน
เนี่ยแหละออร์แกนไม้
เรากะลูกเดินกลับมาที่ป้ายรถรางใช้เวลาร่วม 20 นาทีดีว่าฝนเริ่มเบาลงกว่าขามา บอกลูกเราพอสำหรับช่วงกลางวันกลับที่พักหรือจาไปขึ้น ropeway ดูภาพมุมสูงบนเขาฮาโกดาเตะ เพราะดูเวลากับอากาศจารอทุ่มหนึ่งรึตอนนี้ก้อไม่น่าจาต่างกังลูกชายบอกตามแม่ งั้นแม่ลุยเลยเข้าไปนั่งคอยเวลารถประมาณเกือบบ่าย 5 โมงที่ชานชะลาเบอร์ 4 เราเห็นมีรถมาจอดก้อกระโดดขึ้นไปกะต้นหนึ่งโอโหคนขับซิ่งน่าดูเลยแถบไม่จอดรับไผเลย เราดูทางพอเห็นตลาดเช้าที่หมายตากะลูกชายจามาโส้ยอาหารเช้าตาม internet 500 yen แต่เอรถที่นั่งมาทำไมไม่รับคนเยยแล้วขับเร็วจังเลยป้าย rope way ด้วยเราสงสัยเลยเข้าไปถามคนขับดุจังบอกเรานั่งรถผิด ห้วยแล้วเราจาทำเช่นไรละเนี่ยเราก้อเลยนั่งไปจนสุดป้ายที่เราขึ้นมาแล้วแสดงตั๋ว one-day pass อีไม่ยอมให้ลงจับมือเราบอกว่าไม่ได้ต้องจ่ายตังก่อนลงโอเชเราจ่ายไป พร้อมกับเธอก้อบอกว่าเราต้องขึ้นคันที่จอดรอ เราก้อแสดงบัตรแล้วกระโจนขึ้นไปทันใดหาที่นั่งกะเจ้าลูกชายหวังจาไปดูวิวมุมสูง ปรากฎว่ารถพาเลี้ยวซ้ายขวาปืนเขาขึ้นไปสถานี ropeway หมอกลงจัดมากพอลงจากรถมองไม่เห็งอารายเกิน 1 เมตรแถมฝนตกด้วยหนาวมั่กๆแถบ ropeway ปิดเนื่องจากถึงเปิดให้ขึ้นก้อมองมะเห็นอารายปวดใจจินๆ กินแห้วอีกแว้ว
เราสองแม่ลูกเลยซื้อของฝากฆ่าเวลารอรถมารับลงไปที่สถานี วันนี้เลยเที่ยวได้นิสหนึ่งกลับไปนอนพักรอกินข้าวเช้าที่ตลาดเช้าดีฝ่า พร้อมกันนั้นก้อรุสึกว่าเท้าเริ่มแฉะๆ เอรึว่ารองเท้าจะรั่ว
พอถึงห้องพักถอดรองเท้าดูจึงรุว่ามันรั่วจากล่างสู่ใน และฝนก้อตกน้ำฝนก้อซึมลงมาสมทบอีก เฮ้อเราเลยต้องใช้ไดร์เป่าตลอดคืนเนื่องจากมะมีรองเท้าสำรอง จากนั้นก้ออาบน้ำนอนเพื่อเตรียมลุยแต่เช้า เนื่องจากเราลุยทั้งวันแต่เช้าตรู่ยันมืดเลยมีอาการหัวเบาๆโครงเคลงทั้งแม่ลูก ต้นหนึ่งถามแม่แผ่นดินไหวหรอผมรุสึกว่ามันโคลงเคลงตอนยืนอาบน้ำในอ่าง เราบอกเราก้อรุสึกเช่นกันต้องเอามือจับอ่างไว้ตอนแปรงฟัน ไม่รุว่าพักผ่อนรึทรมานบันเทิงกันแน่แม่ลูกคู่นี้!
แล้วเจอกันในภาคต่อไปนะคะ



Create Date : 05 ธันวาคม 2554
Last Update : 5 ธันวาคม 2554 17:08:25 น.
Counter : 1092 Pageviews.

4 comments
  
สวัสดีค่ะ แวะมาทักทายค่ะ
ขอเกาะกระเป๋าไปเที่ยวด้วยคนนะค่ะ
โดย: Nepster วันที่: 5 ธันวาคม 2554 เวลา:17:45:29 น.
  
วางแผนเก่งจังเลยคับ
โดย: biocellulose วันที่: 5 ธันวาคม 2554 เวลา:18:19:53 น.
  
อยากไปญึปุนด้วย

มารอดู ภาค 2
โดย: กบ (seafrog ) วันที่: 6 ธันวาคม 2554 เวลา:0:13:22 น.
  
ต้องไปลุยๆ แบบนี้มั่งแล้วววว
โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 6 ธันวาคม 2554 เวลา:19:08:35 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

nanny2011
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ธันวาคม 2554

 
 
 
 
1
2
3
4
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31