ปฎิบัติธรรม ส่งท้ายปี
ได้ฤกษ์เขียนบล็อกเกี่ยวกับตัวเองกับเค้าบ้าง เลยขอประเดิมเรื่องไปปฎิบัติธรรมที่พึ่งจะไปมาเมื่อวันที่ 10-17 ธ.ค 51 ที่ผ่านมาค่ะครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่คิดเลยว่าจะได้ปฎิบัติธรรมกับเขาบ้างก่อนหน้านี้แม่ก็ชอบบอกว่า อยากให้เราไปปฎิบัติธรรม อย่างนั้นอย่างนี้เราก็ไม่สนใจ คิดว่าเราคงทำไม่ได้ วันๆมีแต่เดินจงกรมกับนั่งสมาธิแค่คิดก็เมื่อยแหระ เรื่องก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งเราพร่ำเพ้อว่า อยากได้โน๊ตบุ๊ค พูดขึ้นมาลอยๆแม่ก็บอกว่า อยากได้ใช่ไหม? ไปปฎิบัติธรรมสิ แ้ล้วแม่จะซื้อให้เราก็แบบว่าตาโตขึ้นมาทันที ตกปากรับคำทันที มันเป็นข้อเสนอที่ปฎิเสธไม่ได้คิดว่าคงไม่แย่ แค่ไปอดทน เดินจงกรมกับนั่งสมาธิ กับตื่นเช้าหน่อยคงไม่เป็นไรแม่รักจริงหวังแต่งด้วยนะค่ะ เราเปลี่ยนจากโน๊ตบุ๊คเป็นกล้องดิจิตอล แม่ซื้อให้ก่อนด้วยค่ะ กลัวลูกจะไม่ยอมไป เราโทรไปตั้งแต่เดือนกันยาค่ะ วันแรกเลยที่สมัคร แม่มาเคาะประตูห้องแต่เช้าบอกให้รีบโทรไป เราก็จะรอ แม่ก็บอกว่าไม่ได้ ต้องเดี๋ยวนี้ เลยโทรไปรอสายประมาณ 15 นาทีสุดท้ายก็ได้เป็นตัวจริงค่ะพอวันที่ 10 ธันวาก็ไปวัดผานิต ซึ่งเป็นของคุณแม่สิริ พอไปถึงไปลงทะเบียนรายงานตัว เอาของไปไว้ 11โมงครึ่งก็ไปปฐมนิเทศน์ การกินข้าวมื้อแรกยังคงสบายๆ แต่พอถึงรอบบ่าย เริ่มแหระ เดินจงกรมขั้นที่ 1 นั่งสมาธิสารภาพว่าหลับ จะหลับตั้งแต่การไหว้พระแล้วค่ะ มันต้องมีเป็นจังหวะๆยก พนม ลง กราบ ไหว้ เราแบบว่า โห้ยแค่ไหว้พระ ยังสโลโมชั่นได้ขนาดนี้ที่นี่เลี้ยงดีมากๆค่ะ อาหารระดับภัตตาคาร เป็นมังสาวิรัสทั้งหมดห้องน้ำสะอาด มีน้ำอุ่นให้พร้อม ปฎิบัติธรรมห้องแอร์ นอนห้องแอร์ และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น จะ่ว่าเหมือนรีสอร์ทเล็กๆ หรือโรงแรมก็ได้นะค่ะ เราเองก็ไม่เคยเข้าค่ายอะไรที่เค้าบริการให้ดีอย่างนี้ส่วนใหญ่กิจวัตรจะเป็นแบบนี้ ตอนเช้าตื่นมา เดินจงกรมนั่งสมาธิ 1 รอบสวดมนต์ตอนเช้า และฟังเทศน์ ตอนเที่ยงกินข้าว เดินจงกรมกับนั่งสมาธิอีก 2 รอบตอนเย็นก็เดินอีก 2 รอบ แล้วก็ฟังเทศน์วันแรกเราแทบจะหลับตลอด เพราะเดินทางมาเหนื่อย แทบจะไม่ได้นอนพอจะนอนคืนแรก หลับไปได้ซักพัก คนข้างๆ ที่นอนด้วยดันกรนค่ะผลก็คือหลับๆตื่นๆค่ะ คืนแรกเค้าอนุโลมให้ตื่นตี 5 ตั้งแต่นั้นมาต้องตื่นตี 4เข้าห้องปฎิบัติตอนตี 4 ครึ่งแรกๆก็เบื่อมาก มันต้องทำอะไรช้าๆ หงุดหงิดเหมือนกัน เพราะตัวเองเป็นคนทำอะไรเร็วๆตลอด ยิ่งตอนกินข้าว ต้องพิจารณาอาหารก่อนกำหนดตัวเอง เคี้ยวอาหาร ค่อยๆเคี้ยว เวลากินข้าวคำหนึ่งต้องวางช้อนกับส้อมและที่สำคัญ กฎคือ ห้ามคุยกันค่ะ วันที่สามที่เริ่มจะชิน เป็นวันพระในบ้าน พระในบ้านคือ บุพการี คุณพ่อคุณแม่วันนี้น้ำตาแทบจะท่วมห้องปฎิบัติธรรม คนที่มากับคุณแม่ก็ได้กราบคุณพ่อคุณแม่ขอขมากัน คนอื่นๆที่พ่อกับแม่ไม่ด้มาร่วม ก็น้ำตาไหลกันเป็นแถว ยิ่งเพลงที่เปิดกินใจมากๆ ทำเอาเราน้ำตาคลอเหมือนกัน แต่เราก็แอบมีฟอร์มค่ะ ทำเป็นหาวไม่ชอบร้องไห้ให้ใครเห็นค่ะ กลัวเสียฟอร์มวันนี้พระท่านเทศน์เกี่ยวกับพระคุณของพ่อกับแม่ พึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่มากท่านบอกว่า เวลาที่เรามีอะไรใหม่ๆ อยากได้รถ พอได้ อยากพาเพื่อน พาแฟนไปนั่งรถเที่ยว อยากได้ืมือถือ อยากโทรหาแฟน อยากโทรหาเพื่อนแต่เวลาขอมาขอพ่อกับแม่ ประโยคหนึ่งที่โดนมากเลยก็คือ ท่านบอกว่าบางคนที่พึ่งมาสำนึกได้ตอนเมื่อสาย แ้ล้วจะบอกว่าชาติหน้าขอให้ได้เป็นพ่อแม่ลูกกันอีกท่านบอกว่า เคยไหม ที่เดินสวนใครบนถนนครั้งเดียว และไม่เจอกันอีกเลยฉะนั้นคนที่ยังมีโอกาส ถ้าอยากทำอะไรให้กับพ่อกับแม่ก็ให้รีบๆทำเพราะบางครั้งในอนาคตเราไม่สามารถล่วงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างฟังวันนี้แล้วพระธรรมเริ่มซึมเหมือนกัน รู้สึกสำนึกผิดมาก เพราะตอนมาแม่ก็มาส่งแต่ด้วยความที่แม่ชอบห่วงนั้นห่วงนี้กับเรา บอกเราว่าอย่าตื่นสายนะเวลากินข้าวห้ามเสียงดัง และอื่นๆอีกมากมาย จนเรารำคราญเลยตอบกลับไปว่า"แม่รีบๆกลับไปเลย" แต่แม่ก็ไม่โกรธ กอดเราแล้วก็ไป แต่ณ.เวลานั้นเรารู้สึกผิดที่คิดว่า ดีแล้วที่แม่ไป และอีกหลายๆอย่างที่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ กับพ่อเราไม่ค่อยเท่าไร แต่กับแม่เราไม่ค่อยลงรอยกัน ก็พึ่งจะสำนึกจริงๆ ว่าสิ่งที่แม่จ้ำจี้จ้ำไช บ่นต่างๆนานาน ก็เพราะว่าแม่ห่วง แต่พระอาจารย์ท่านก็พูดถูกจริงๆว่า ไม่ว่ายังไง พ่อกับแม่ก็ให้อภัยเราเสมอนั่นแหระ มันทำให้เรารู้สึกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราช่างเป็นลูกที่แย่จริงๆเรื่องฟังเทศน์นี้ ตอนเช้าๆเป็นอะไรไม่รู้ หลับได้ตลอด ตอนบ่ายต้องหากาแฟกินตลอด เราฟังธรรมจบแค่ไม่กี่ครั้ง จำได้ว่าเรื่องของคุณหมอวิไล กับของท๊อปดาราณีนุช แล้วก็วันที่พระอาจารย์มาเทศน์เรื่องพระคุณพ่อกับแม่ นอกนั้นหลับๆตื่นๆตลอดเลย บางทีเดินจงกรมตอนเช้าๆอยู่ดีๆก็เดินเซ เกือบหน้าทิ่มก็มีวันที่ 5 นี่เป็นวันที่เราเชื่อจริงๆว่ากรรมมีจริง เราไม่กล้าเล่าให้พ่อกับแม่ฟังเพราะท่านไม่เชื่อเรื่องที่ออกแนวไสยศาสตร์ วันนั้นเช้ามา เราปวดท้องมากไ่ม่ได้ปวดเป็นโรคกระเพาะ อย่างที่เคย ชีวิตนี้เราปวดท้องมาไม่รู้กี่ครั้งจนรู้แล้วว่าเราปวดตรงนี้เป็นอะไร แต่วันนั้นมันปวดแบบปวดมดลูก เหมือนคนที่ประจำเดือนจะมา แต่ของเราพึ่งหาย เราเลยงงค่ะ ปวดท้องแบบนี้ไม่เคยเป็นจนกระทั่งเข้าไปในห้องกรรมฐาน ตอนแรกๆเราก็นั่งหลับเหมือนเดิมแหระค่ะแต่พอคุณแม่สิริ ท่านพูดเรื่องกรรมให้ฟัง ท่านบอกว่า พอประมาณวันที่ 5ส่วนใหญ่ใครที่เข้ากรรมฐาน กรรมมันจะเริ่มปรากฎ มีคนหนึ่งคุณแม่เล่าให้ฟังว่ารถคว่ำมาสองครั้ง และมีหมอมาทักว่า จะมีเคราะห์อีก เขาเลยมาปฎิบัติธรรมแล้วเดินจงกรมอยู่ ขาก็หักในห้องกรรมฐานเลย คุณแม่ก็บอกว่า ดีแล้วลูกได้ใช้กรรม ให้แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรซะ พอมารู้ทีหลัง คนนี้เค้าไปตีหมาขาหักผลกรรมก็เลยตามมา ของเราก็เริ่มคิด มันใช่รึเปล่า? คิดยังไงก็คิดไม่ออกเพราะเป็นคนที่ไม่ชอบฆ่าสัตว์ ถ้าไม่ใช่ยุงกับมด ไม่เคยจะไปยุ่งกับสัตว์เลยนั่งสมาธิไป พึ่งคิดได้ คิดได้แล้วขนลุกเลย คือเราเคยให้หมอมาฉีดยาคุมแมวตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันอยู่ในช่วงปฎิสนธิ พอถึงเวลาคลอดทำให้ลูกไ่ม่สามารถออกมาได้ ตอนนั้นแมวเราคือทองหยิบ สภาพแย่มาก นอนนี้แบบเจ็บปวดมากเราเลยส่งไปผ่าตัด สุดท้ายลูกมันก็ตายในท้อง ส่วนทองหยิบก็ปางตายสุดท้ายมันก็รอดมาได้ เราคิดได้ก็แผ่เมตตาทันที ให้กับเจ้ากรรมนายเวรคนอื่นด้วยจนก็ทำกิจกรรมอย่างอื่นไปเรื่อยๆ มารู้ตัวอีกที คืออาการนี้หายไปแล้วหายไปแบบไม่รู้ตัว เราไม่ได้เจอคนเดียว คนอื่นๆก็โดนเหมือนกันนี่ถ้าคนอื่นเล่าเราคงไม่เชื่อ เจอะกับตัวเองนี้ไม่เชื่อไม่ได้แล้วค่ะหลังจากวันที่ 3มานี่เราเริ่มชินกับอะไรหลายๆอย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการตื่นนอนตอนเช้า การนอนโดยที่ต้องมีเสียงกรนข้างๆ การเดินจงกรมช้าๆ การนั่งสมาธินานๆ ก็ได้รู้ตัวว่าตัวเองสงบลงมาก การไม่ได้คุยกับคนอื่น มันทำให้เราอยู่กับตัวเองมากขึ้น ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิดนู้นคิดนี่ แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่คิดเลยนะค่ะ เราก็คิดบ่อยเหมือนกัน แต่ไม่คิดมากเหมือนแต่ก่อน เรามานี่ไม่รู้สึกว่าเครียดเหมือนตอนทำงานอยู่บ้าน เพราะวันๆคิดได้แต่ต้องเดินจงกรม ต้องนั่งสมาธิต้องอยู่กับปัจจุบัน ทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุดปกติเราเป็นคนที่จิตตกคิดมาก ต้องคิดตลอดเวลาว่าจะทำยังไงๆเป็นคนที่ชอบเก็บเรื่องเก่ามาคิดมากๆ ชอบเอาอดีตมาฝังใจมากตอกย้ำตัวเองตลอดเวลา ชีวิตเรามีแต่คำถาม ก่อนไปเรารู้สึกแย่มาก เพราะปีนี้เพื่อนเราคนหนึ่งได้เสียชีวิตไป ส่วนเพื่อนอีกคนที่เราเคยรักเคยไว้ใจก็ทำให้เราผิดหวัง และเสียความเชื่อใจตรงนี้ไป พอมาตรงนี้ เวลาเดินจงกรม เค้าจะสอนว่าให้มีสติตลอดเวลาตอนนี้กำลังยืนนะก้าวนะ เดินนะ และทุกๆอย่างที่ทำไป ทุกๆก้าว มันจะกลายเป็นอดีตเร็วมากฉะนั้นเราควรที่จะอยู่กับปัจจุบัน และทำให้มันดีที่สุด วิทยากรก็บอกว่าขนาดเราเดินยังมีเซ ตัวเรายังกำหนดตัวเองให้ได้ดั่งใจไม่ได้ ฉะนั้นการคิดว่าจะให้คนอื่นมาได้ดั่งใจเราก็เป็นเรื่องยาก ส่วนเรื่องชีวิตของมนุษย์ ร่างกาย สิ่งของ เป็นสิ่งไม่เที่ยง ยังไงมันก็มีดับสูญมนุษย์ทุกคน ยังไงก็ไม่พ้นโลง อยู่ที่จะช้าจะเร็ว และกรรมของแต่ละคนตรงนี้ทุกอย่างทำให้เราคิดได้ สิ่งที่เราเคยคิดและมีคำถามมาตลอดได้หมดไปสำหรับเพื่อนที่ทำให้เราเสียความไว้ใจ เราคงไม่โทษเค้า ไม่โกดเค้าแต่เราจะอุเบกขา เฉยๆไปเลย ไม่พูดไม่คุย เพราะเรารู้ว่ายังไงก็ไม่เหมือนเดิมเราจะไม่เอาเค้ามาคิดให้รำคราญ และรบกวนใจเราอีกต่อไปวิทยากรบอกว่า เวลาเราโกรธเราจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่พอปกติก็จะกลับเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเป็นสัตว์เดรัจฉานก็พยายามอย่าโกรธมากไม่งั้นจะได้ไปจองที่ในนรกพอที่ 7 เค้าก็สุ่มให้แต่ละคนออกมาพูด บางคนก็มาด้วยความสมัครใจพูดแล้วก็อาย เพราะเค้าเด็กกว่าเราเสียอีก แก่ๆอย่างเรา แม่ยังต้องจ้างมาบางคนก็ถูกบังคับมาเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แต่ความรู้สึกดีๆกลับไปหลายคนรู้สึกอย่างเดียวกัน คือ อยากกลับมาอีกสำหรับเราที่นี่ให้อะไรเรามากมายค่ะ จากที่เราคิดว่า เราคงไม่ได้อะไรแน่ๆจะทำให้มันเสร็จๆไป ไปๆมาๆ ธรรมมะมันซึมเข้าจิตใจเองค่ะ แม้การเดินจงกรมกับการนั่งสมาธิ มันไม่ได้ผลกับเราเท่าไร แต่การที่ได้ฟังธรรมหลายอย่างมันเปลี่ยนความคิดของเราได้ค่ะ ถ้าเรากลับไปสู่ทางโลกเหมือนเดิมไม่รู้ว่าจะทำให้ดีแค่ไหน แต่เราขอทำให้ดีที่สุด และมีโอกาสเราคงจะมาอีกไม่อยากเชื่อจริงๆมันจบแล้ว 7 คืน 8 วัน เราทำได้! เราผ่านมาได้ไงเนี่ย??ออกมาจากค่ายแล้วรู้สึกดีมากๆ รู้สึกขึ้นอย่างบอกไม่ถูกไม่ได้รู้สึกดีกับชีวิตตัวเองอย่างนี้มานานแล้ว มันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจริงๆก็อยากจะขอชวนเพื่อนๆ ถ้ามีโอกาสลองไปดูนะค่ะรับรองว่าได้สิ่งดีๆกลับมาแน่นอนค่ะ ^^ปล.-คืนวันเสาร์ฟุ้งซ่านมากนอนไม่หลับ เพราะเคยต้องดูบอลตลอดใจมันห่วงน้องหงส์ของเรา-วันที่ 16 วิทยากรบอกว่าวันนี้วันที่ 16 แล้วนะค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ 17 ได้กลับบ้านแล้วเราก็พึ่งคิดได้ว่า วันนี้ "หวยออก" โอโห้ ยิ่งกว่าฟุ้งซ่านซะอีก มองนาฬิกาบ่าย 3ครึ่ง เดินจงกรมอยู่ เลขท้าย สองตัวหนอ สามตัวหนอ รางวัลที่ 1 ช่วงนั้นทรมานมากค่ะ อยากรู้ คนเคยเป็นคนต้องคอยรายงานผลหวยให้ชาวบ้านถึงขนาดเราเห็นแม่บ้านทำความสะอาดยังอยากเดินเข้าไปไปถามเลยค่ะสุดท้ายเราไม่ถูกค่ะ แต่คุณพ่อถูกเลขท้าย 3 ตัวค่ะ -ขอบคุณผู้ปฎิบัติธรรมคนหนึ่งที่มาส่งถึงกรุงเทพเลยนะค่ะขอโทษด้วยค่ะที่ลืมชื่อไปแล้ว เพราะว่าถามครั้งเดียวนอกนั้นเม้าส์กันตลอดทาง ไ่ม่งั้นเราคงต้องเสียเวลาอย่างน้อย2ชั่วโมงในการเข้ากรุงเทพ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ- 7 วันเต็มๆที่ไม่รู้เรื่องราวทางโลกเลย ตอนนี้รู้สึกตัวเองเป็นเต่ามากยังต้องคอยตามข่าวย้อนหลังอยู่สุดท้ายจริงๆ เอาบุญมากฝากนะค่ะ เพลงนี้เพราะมากค่ะ พี่ที่ไปส่งเอาให้ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ