1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30 31
นั่งสมาธิ ดูอะไร ดูอย่างไร (ความรู้ทั่วไป)
บทความนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนทีต้องการนำมาเสนอแก่ผู้ท่าน เพื่อประโยชน์ในการศีกษาและฝีกปฏิบัติตามแนวทางทีผู้เขียนได้แสดงไว้แล้วใน bloggang นี้ จึงไม่จำเป็นต้องเหมือนกับครูบาอาจารย์ท่านใด หรือ สำนักกรรมฐานสำนักใด ********************************** ขอให้ดูภาพข้างบน เป็นภาพของ VU meter ทีใช้วัดระดับสัญญาณความแรงของเสียงในเครื่องเสียง ในภาพที 1 ซ้ายมือสุด เข็มของ VU meter ไม่ขี้นเลย แสดงว่า ในขณะนั้น ไม่มีสัญญาณเสียงใด ๆ ปรากฏขึ้น คือ เสียงจะเงียบ ในภาพที 2 ตรงกลาง เข็มของ vu meter ชี้ทีประมาณกลาง ๆ แสดงว่า มีสัญญาณเสียงเข้ามาในระดับหนี่ง ในภาพที 3 ขวามือสุด เข็มของ vu meter ชี้ไปทางด้านขวา เลยขีดแดงไปแล้ว แสดงว่า สัญญาณเสียงนั้นเข้ามา ดังกว่า ระดับในภาพที 2 และดังมากจนเกินขีดแดงไปแล้ว 1..นั่งสมาธิควรนั่งแบบใด ในท่าใด การนั่งสมาธินั้นจะนั่งแบบใด ก็ใด ขอแต่ให้นั่งให้สบายเป็นใช้ได้ จะนั่งพื้น นั่งเก้าอี้ หรือ อะไรก็ได้ตามสดวก ขอให้การนั่งแล้ว ถ้าก่อให้เกิดทุกขเวทนาแก่ร่างกายก็สมควรจะหลีกเลี่ยง 2..เมื่อนั่งได้ทีแล้ว สบายแล้ว ต่อไป ก็คือ นั่งเฉยๆ สบาย ๆ ไม่ต้องเกรง นั่งด้วยความรู้สีกตัว ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องบริกรรมอะไรทั้งสิ้น ขอให้สังเกตว่า เมื่อได้ นั่งเฉยๆ สบาย ๆ ด้วยความรู้สีกตัวแล้ว นักภาวนาจะพบกับสภาวะธรรมดังนี้ได้ทันที A..ก้นสัมผัสพื้น หรือ เก้าอี้ ก็รู้สีกได้ B..เสื้อผ้าโดยตัว ก็รู้สีกได้ C..ถ้านั่งกับเก้าอี้ เท้าสัมผัสพื้นด้วยก็ รู้สีกได้ D..ถ้ามีลมมาโดนกาย ก็รู้สีกได้ E..ตามองเห็นได้ เป็นภาพกว้าง ๆ แบบ panorama เพราะไม่ได้จ้องมองสิ่งใดอยู่ F..หูได้ยินเสียงได้แบบไม่เจาะจงฟังว่าเป็นเสียงอะไร หมายความว่าอย่างไร G..ถ้ามีกลิ่นลอยมา ก็สามารถสัมผัสกลิ่นได้ H..นักภาวนาบางคน มีกำลังจิตค่อนข้างดี ก็จะสามารถรับรู้ลมหายใจทีกระเพื่อมๆ ได้ด้วย หรือ บางคนก็รับรู้หัวใจเต็นตีก ๆ ได้ด้วย สภาวะในข้อ 2 A ถีง H นี้ จะรู้ได้เอง ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดี ๆ จะพบว่า ความรู้สีก A ถีง H นี้จะเป็นความรู้สีกแบบรู้รวม ๆ กันคล้าย ๆ กับขนมรวมมิตรทีรวมกันอยู่หลาย ๆ อย่างในถ้วยขนม และนักภาวนาเพียงรู้รวม ๆ โดยไม่ต้องไปแยกแยะว่า อะไรเป็นอะไรเลย และไม่ต้องไปสนใจรู้เป็นส่วน ๆ และ ขอรู้ได้พร้อมๆ กันทีเดียวเป็นใช้ได้แล้ว สภาวะนี้จะเหมือนกับ Vu meter ในภาพซ้ายมือ ภาพที 1 ซึ่งจิตใจตอนนี้ ไม่มีอะไรเข้ามา จิตใจจึงสบาย ๆ และรับรู้สภาวะธรรมทีเขียนไว้ ในข้อ A ถีง H ได้ทีเป็นแบบรวม ๆ ขอเรียกจิตใจในสภาวะนี้ จิตใจที **สงบ** เมื่อนักภาวนาเฉยๆ รู้สึกตัว สบาย ๆ ได้แบบนี้ ก็คือ จิตใจทีสงบ ขอให้ประคองไว้แบบนี้ สบาย ๆ ไปเรื่อยๆ ข้อควรระวัง อย่าไปทำอะไรเพิ่มขึ้นมาจากทีรู้สภาวะด้วย อาการทีสงบและรู้สีกตัวแบบนี้ สภาวะจิตใจในข้อ 2 นี้เป็นสภาวะมาตรฐานที่เป็น Reference level คือ จิตใจสงบ ไม่มีอะไร เพียงเฉยๆ สบาย ๆ เท่านั้น 3..เมื่อนักภาวนาที่สามารถอยู่ในสภาวะของข้อ 2 ได้สักพักหนี่ง จะพบว่า บางครั้ง จะมีความคิดโผล่ขึ้นมาในสมองเองโดยทีนักภาวนาไม่ได้ตั้งใจคิดเลย ซึ่งความคิดทีโผล่เข้ามานี้ จะเหมือนกับ vu meter ในภาพที 2 หรือ ภาพที่ 3 ถ้าความคิดทีโผล่ขึ้นมามีกำลังไม่แรง ก็เหมือน vu meter ในภาพที 2 ถ้าแรงก็เป็นภาพที 3 คำถามมีว่า แรงอย่างไรก็คือภาพ 2 แรงอย่างไร คือ ภาพ 3 ถ้าความคิดไม่แรงพอ นักภาวนาจะสัมผัสความคิดทีมันโผล่มาได้ แล้วสามารถกลับมาอยู่ในสภาวะของข้อ 2 ทีจิตใจสงบได้อีก แต่ถ้าเป็นความคิดทีแรง พอความคิดโผล่มา จิตใจของนักภาวนาจะถูกดูดเข้าไปผสมกับความคิด ทำให้นักภาวนาไม่สามารถกลับไปอยู่ทีสภาวะข้อ 2 ทีสงบได้อีก ซี่งพอจิตใจถูกดูดเข้าไปในความคิด นักภาวนาก็จะเกิดการเผลอขึ้นมา กลายเป็นไม่รู้สีกตัวและไม่สามารถรับรู้สภาวะในข้อ 2 คือ ข้อ A ถีง H ได้ 4..นักภาวนาส่วนมาก มักรังเกียจสิ่งทีเกิดในข้อ 3 เพราะคิดว่า ข้อ 3 คือ สิ่งทีใจไม่สงบ พอข้อ 3 เกิดขึ้น ก็จะตัดพ้อตัวเองว่า ภาวนาไม่ดีเลย ผมขอทำความเข้าใจกับท่านนักภาวนาว่า ความเข้าใจดังกล่าว เป็นสิ่งทีไม่ถูกต้อง ในการภาวนานั้น เริ่มแรก นักภาวนาสมควรอยู่ในข้อ 2 หรือ Reference level ก่อน พอได้ Reference level แล้ว สิ่งทีเกิดในข้อ 3 คือ สิ่งทีเปลี่ยนแปลงไปจาก Reference level เท่านั้น นักภาวนามีหน้าทีเพียงรู้ว่า **มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ** แค่นี้ก็พอแล้ว แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแล้ว นักภาวนาสามารถกลับมาสู่ Reference level ได้เอง ถ้าเป็นการเปลี่ยนแปลงของ vumeter 2 ( ภาพกลาง ) ก็ขอให้ประคองไว้ที Reference level สบาย ๆ ต่อไป แล้วรอการเปลี่ยนแปลงมันเกิดใหม่อีก แล้วก็กลับมาสู่ Reference level อีก วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงมันแรงเป็น vumeter 3 (ภาพขวาสุด )นักภาวนาเสียความรู้สึกตัวไป ถ้าเมื่อไร ทีรู้สีกตัวได้อีก ก็ขอให้กลับมาทีสภาวะ Reference level ใหม่ แล้วก็รอการเปลี่ยนแปลงทีจะเกิดขึ้นอีก การทีนักภาวนาสามารถสัมผัสสิ่งทีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้เสมอ ๆ จะทำให้เกิดสัมมาสมาธิทีจิตตั้งมั่นมากขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ สิ่งทีนักภาวนาสัมผัสได้แบบ vumeter 2 ( ภาพกลาง ) คือ วิปัสสนาปัญญา ของนักภาวนา 5..เมื่อสัมมาสมาธิตั้งมั่นมากขึ้น อาการเป็นอย่างไร เมื่อนักภาวนาฝีกฝนในข้อ 4 ไป ใหม่ๆ ความคิดจะโผล่ขึ้นมามาก อาจเป็น vumeter 2 หรือ vumeter 3 ก็ได้ แต่เมื่อฝีกไปเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลานานๆ จะพบว่า การเกิดของ vumeter 3 จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนมีแต่ vumeter 2 แต่พอฝีกไปเรื่อยๆ จนนักภาวนาสามารถเห็นจิตของตัวเองได้ จะพบว่า สภาวะของ Reference level จะปรากฏได้นานขึ้น แล้ว vumeter 2 จะมีได้แต่จะน้อยลงไปเอง ซึ่งสภาวะนี้แสดงว่า จิตค่อนข้างดี มีสมาธิค่อนข้างตั้งมั่นแล้ว การเกิดขึ้นของปัญญาและสมาธิตั้งมั่น จะต้องใช้เวลาฝีกฝนไปเรื่อย ๆ อย่าไปตั้งความหวังว่า จะต้องได้สมาธิ ได้โสดาบัน หรือ ได้อะไรต่อมิอะไร ซี่งความคาดหวังนี่ ล้วนทำให้จิตใจไม่สงบ ใน Reference level 6..ข้อสังเกต ถ้านักภาวนาฝีกไป ยังไม่สามารถเห็นจิตของตนเองได้ แต่ปรากฏว่า ไม่มีความคิดโผล่มาเลย ขอให้นักภาวนาสำรวจตัวเองว่า * มีการจ้องสิ่งใดอยู่หรือไม่ * มีการอยากรู้สภาวะธรรมหรือไม่ * มีการเกร็งของร่างกายหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนทำให้ Reference level ผิดไปแล้ว เมื่อผิดไป ก็ทำให้ ความคิดไม่โผล่ออกมาเอง 7..จะเห็นว่า วิธีการภาวนาแบบนี้ จะเป็นการเสริมกำลังจิตและปัญญาแก่นักภาวนา ถ้านักภาวนาสามารถทำตอนนั่งได้แล้ว จะทำในขณะยืน ขณะเดิน ขณะนอนได้ด้วย
Create Date : 27 พฤษภาคม 2557
Last Update : 27 พฤษภาคม 2557 11:06:23 น.
0 comments
Counter : 4551 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****