การปฏิบัติธรรมตามหลักการของ อาทิตตปริยายสูตร
1..บทความเรื่อง การปฏิบัติธรรมตามหลักการของ อาทิตตปริยายสูตร ที่พระพุทธองค์ได้ทรงเทศนาโปรด ชฏิล 3 พี่น้อง ว่าด้วยเรื่อง ความเร่าร้อนของจิตใจ เมื่อมีผัสสะเข้ามากระทบทางอายตนะต่างๆ ในบทความนี้ จะได้นำวิธีการปฏิบัติทีเป็น รูปธรรม มาเขียนไว้ เพื่อให้นักปฏิบัติทีสนใจได้ศีกษาและทดลองปฏิบัติ ดู เพื่อความเจริญก้าวหน้าในธรรมสืบต่อไป
บทความทีเกี่ยวเนื่องกัน และ เป็นการปูพื้นฐานของการปฏิบัติธรรม ทีผมเขียนแนะนำให้อ่านก่อน คือ เรื่อง สติปัฏฐาน เส้นทางแห่งการดับทุกข์ได้ ตามลิงค์ด้านล่างนี้
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=01-04-2021&group=17&gblog=216
2..ความเร่าร้อนของจิตใจ เป็นสิ่งที มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้วตั้งแต่เกิดมา และ สามารถสัมผัสได้กันทุกคน ไม่ละเว้นแม้แต่คนเดียว แต่การดับอาการเร่าร้อนนี่ซิ ถ้าไม่ใช้แนวทางทีพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนเรื่อง สติปัฏฐาน ก็ไม่อาจจะดับลงไปได้
ผู้เขียนได้ทดลองและคิดแนวทางไว้ สำหรับนักภาวนาทีสนใจจะได้ทดลองปฏิบัติดู เพื่อความเข้าใจและสดวกต่อการเขียนบทความนี้ ผู้เขียนได้เขียนไว้เป็นข้อ ๆ ซี่งในแต่ละหัวข้อ จะได้มีการอธิบายเพิ่มเติมในวิธีการทำให้ละเอียดลงไป เพื่อสามารถนำไปใช้ได้จริงในการทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง
A....การรู้จักอาการของใจทีไม่เร่าร้อน B...เทคนิคการตั้งชื่ออาการของใจ C...วิธีการพัฒนาความตั้งมั่นแห่งการรู้อาการของใจ
3...หัวข้อ A...การรู้จักอาการของใจทีไม่เร่าร้อน ถ้าท่านทีเข้ามาอ่าน จะทำแกงไก่ ท่านต้องรู้สีกก่อนว่า ไก่ นั้นมีหน้าตาลักษณะอย่างไร นี่เป็นจุดเริ่มต้นทีสำคัญ เมื่อท่านรู้จักอาการของใจทีเร่าร้อนอยู่แล้ว แปลกแต่จริงทีว่า น้อยคนนัก จะรู้จักอาการของใจที่ไม่เร่าร้อน มาทำความรู้จักอาการนี้ของใจกันต่อไป
ก่อนอื่น ขอให้ท่านทำอาณาปานสติ ตามทีผู้เขียนได้เขียนไว้ในเรื่องนี้ สติปัฏฐาน เส้นทางแห่งการดับทุกข์ได้ ตามลิงค์ด้านล่างนี้ก่อน https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=01-04-2021&group=17&gblog=216
เพืยงท่านนั่งให้สบาย จะนั่งแบบใดก็ได้ บนเก้าอี้ หรือ พื้นก็ได้ นั่งอย่างใดสบายแก่ร่างกาย ขอให้นั่งแบบนั้น เปิดพัดลมส่ายไปมา ให้โดนร่างกายได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้ว นั่งกอดอกไว้ ท่านจะสามารถรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนทีเกิดขึ้นเพราะมีการหายใจเกิดอยู่ **หมายเหตุ อย่าได้ไปรู้ลมหายใจทีปลายจมูกเด็ดขาด แต่ให้รู้การสั่นสะเทือนทีเกิดขึ้นในร่างกายนี้ ก็พอ**
เมื่อท่านนั่งอยู่ รู้อาการสั่นสะเทือนทีเกิดขึ้นได้แล้ว ต่อไป ขอให้ท่านสังเกตอาการของจิตใจของท่านเมื่อท่านยังรู้ทีอาการสั่นสะเทือนนี้ได้อยู่ ท่านจะพบว่า A...ในสมองของท่านจะไม่มีความคิดใด ๆ เลยในขณะทีกำลังรู้การสั่นสะเทือนอยู่ B...ใจของท่านจะเฉยๆ สงบ ๆ ไม่เร่าร้อน นี่แหละคืออาการของใจทีไม่เร่าร้อน ได้เกิดขึ้นแล้ว และท่านก็สามารถสัมผัสได้แล้วว่า อาการเป็นอย่างนี้เอง
4...หัวข้อ B เทคนิคการตั้งชื่ออาการของใจ เทคนิคนี้ ดูจะแปลก ๆ แต่ขอให้ท่านทดลองดูเองว่า ใช้ได้ประโยชน์จริงเพียงใด เมื่อท่านสามารถรู้จักอาการของใจทีไม่เร่าร้อนได้แล้ว ตามทีได้เขียนบอกไว้ถึงวิธีการในข้อที่ 3 ต่อไป ขอให้ท่านตั้งชื่อเรียกอาการของใจนี้ด้วยท่านเอง ท่านอาจตั้งชื่อเป็นอะไรก็ได้ ตามทีท่านชอบใจ แต่ถ้าท่านนึกถึงชื่อนี้เมื่อใด ท่านจะสามารถรู้ไปถึงอาการของใจทีไม่เร่าร้อนได้ดี ยกตัวอย่างชื่อทีท่านอาจนำมาใช้ได้ ดังนี้ **ใจสงบเย็น **ใจปกติ **ใจไม่เร่าร้อน **ใจพุทธะ หรือชื่ออะไรก็ได้ วิธีใช้งาน สมมุติว่า ท่านตั้งชื่ออาการของใจทีพบได้แล้วในการทำข้อ 3 แล้วท่านตั้งชื่ออาการของใจแบบนี้ว่า ใจพุทธะ เพียงท่านนึกถึงชื่อนี้ว่า ใจพุทธะ อาการของใจทีท่านพบได้ ควรจะปรากฏขึ้นได้อย่างง่ายดาย ท่านจะไม่รู้สีกอีดอัดใด ๆ เลย ใจจะเป็นอย่างทีท่านพบในข้อ 3 นี้ ถ้าท่านทำแบบนี้แล้ว สามารถรู้ลมหายใจได้ด้วย ก็ยิ่งดี แต่อย่าไปสนใจลมหายใจเด็ดขาด เพียงรู้ได้ก็พอให้เปรียบเหมือน แม่ทีได้ยินเสียงลูกร้อง แต่ไม่สนใจในเสียงร้องนั้นเลย
การนำไปใช้งาน ทุกครั้งทีท่านต้องการพบกับอาการของใจแบบนี้ ขอให้ท่านนึกไปถึงชื่อทีท่านตั้งไว้ แล้วกลไกธรรมชาติภายในของท่าน จะทำงานให้เอง คือ ใจท่านจะไม่เร่าร้อน ถ้าสามารถรู้ลมหายใจได้ด้วย ก็ยิ่งดี ถ้ายังรู้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
5..หัวข้อ C...วิธีการพัฒนาความตั้งมั่นแห่งการรู้อาการของใจ
เมื่อท่านรู้จักแล้ว อาการของใจทีไม่เร่าร้อน ท่านควรจะพัฒนาการรู้อาการของใจนี้ให้มั่นคง ซี่งก็คือ การทำสัมมาสมาธิ ทีมีสัมมาสติไปรู้อาการของใจทีไม่เร้าร้อน วิธีการทำนั้น ท่านไม่ควรนั่งนิ่งๆ เฉย ๆ เพราะถ้าทำอย่างนี้ การพัฒนาจะช้า และ ยากทีจะก้าวหน้าได้ ผู้เขียนขอแนะนำวิธีการพัฒนาเป็นขั้น ๆ ดังนี้
ขั้นที่ 1...ท่านใช้เทคนิคการตั้งชื่อตามหัวข้อที่ 4 ท่านนึกถึงชื่อนั้น อาการใจของท่านทีไม่เร่าร้อนก็จะเกิดขึ้น จากนั้น ท่านไปดูทีวี จะดูหนัง ดูข่าว ฟังเพลง หรือ อะไรก็ได้ ที่ท่านชอบ ท่านจะพบว่า พอท่านดูทีวีปุ๊บ ท่านจะไม่สามารถรู้อาการของใจได้เลย ถ้าอย่างนี้เกิดขึ้น หมายความว่า สติ และ สมาธิ ของท่าน อ่อนแอมาก ๆ
ท่านอย่าได้กังวลใจในเรื่องการอ่อนแอนี้ ให้ท่านนึกชื่อทีท่านตั้งไว้ แล้ว อาการของใจก็จะปรากฏขึ้น แล้ว ท่านก็ไปดูทีวีใหม่ แล้วท่านก็จะเผลอ ไม่รู้อาการใจอีก ท่านก็ทำใหม่วนเวียนไปเรื่อย ๆ ท่านจะพบว่า ในสัปดาห์แรก ท่านจะพบว่า สติ สมาธิ ของท่านแย่มาก แต่ถ้าท่านไม่ท้อ ฝีกฝีกไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไป เป็นเดือน ท่านจะพบว่า ท่านจะสามารถรู้อาการของใจได้นานขึ้นไปเอง เมื่อดูทีวีไปด้วย นี่คือ การพัฒนาได้เกิดขึ้นแล้ว
การฝีกในขั้นที่ 1 นี้ เป็นการฝีกสมาธิ ทีต้านทานตัณหาที่เกิดจากผัสสะทีเข้ามาทางอายตนะ
หมายเหตุ ท่าน*อย่า*ได้เข้าใจว่า จิตทีพัฒนาแล้ว ต้องนิ่งสงบ ไม่มีความคิด นั่นมันเป็นสมาธิฤาษี สมาธิพุทธไม่ใช่แบบนี้ สมาธิพุทธ นั้น คือ ความมั่นคงตั้งมั่นแห่งการรู้อาการในสติปัฏฐาน จะนึกคิดก็ได้ แต่ยังรู้อาการในสติปัฏฐานได้อยู่ เหมือนท่านดูทีวี ท่านจะนึกคิดได้ตามเรื่องราวในทีวีทีท่านดู แต่ท่านควรรู้อาการของใจไปด้วยในขณะทีดูทีวี นี่คือ การมีสมาธิแบบพุทธ จะเป็นแบบนี้
ขั้นที่ 2...เมื่อท่านฝีกขั้นที่ 1 ได้ค่อนข้างดี ท่านจะพบตัวเองเลยว่า ตัวท่านได้เปลี่ยนแปลงจิตใจไปแล้ว ท่านจะทำงาน ทำหน้าทีทางโลก ด้วยอาการใจทีไม่เร่าร้อนมากขึ้น ความเร่าร้อน ฉุนเฉียวในใจ จะหดหายไปมากทีเดียว แต่ก็ยังมีได้อยู่ แต่จะไม่หนักเหมือนเดิม การฝีกระดับที่ 2 นี้ เป็นการฝีกทียากกว่าขั้นที่ 1 ท่านจะฝีกก็ได้ หรือ ไม่ฝีกก็ได้ แต่ถ้าต้องการการพัฒนาทีแข็งแรงมากขึ้น ผู้เขียนก็แนะนำให้ท่านฝีกดู
การฝีกขั้นที 2 นี้ เป็นการฝีกการต้านทานแรงดึงดูดทีเกิดจากการใช้จิตทีหนักหน่วง
การฝีกขั้นนี้ ท่านใช้จิตทีหนักหน่วง เช่น ถ้าต้องยกของหนัก เช่น ยกกิ่งไม้หนักให้พ้นทาง ตอนท่านออกแรงยกของหนัก ท่านจะพบว่า ท่านจะไม่สามารถรู้อาการของใจได้ มันจะหายไปทันทีทีท่านออกแรงอย่างหนักหน่วง ท่านฝีกไปเรื่อยๆ จนวันหนี่ง ท่านจะพบได้ว่า ขณะทีท่านออกแรงหนัก ท่านก็ยังรู้อาการของใจได้พร้อมกันไปด้วย นีแสดงว่า ท่านมีการพัฒนายิ่งขึ้นกว่าเดิม
6...สิ่งทีเขียนในนี้ ถ้าสามารถรู้อาการของใจทีไม่เร่าร้อนได้ เมื่อท่านทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิต ถ้าท่านทำไปเรื่อยๆ วันหนี่ง ท่านจะมี ดวงตาเห็นธรรม เกิดขึ้นได้เอง ถ้าท่านมี ดวงตาเห็นธรรม เกิดขึ้นแล่ว ซี่งการมี ดวงตาเห็นธรรม เกิดขึ้น จะสามารถพัฒนาต่อไปในการรู้อาการของใจ พร้อมกับ การมี ญาณ ในการรู้ได้ด้วย
การรู้ด้วย ญาณ จะปราณีตมากกว่า เพราะมีการเห็นได้ด้วย ท่านจะเข้าใจกลไกของจิตใจของท่านมากขึ้นกว่าเดิม อันเป็น ปัญญาระดับสูงในพุทธศาสนา ยิ่งท่านเห็นกลไกของจิตใจมากขึ้นเท่าใด ท่านจะมีปัญญาในพุทธศาสนามากขึ้นเท่านั้น ความสงสัยต่าง ๆ ก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ จากทีท่านได้เห็นกลไกของจิตใจนี้ด้วยตนเอง
*****จบ*****
Create Date : 04 พฤศจิกายน 2564 |
|
0 comments |
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2564 9:25:36 น. |
Counter : 816 Pageviews. |
|
|
|