ถ้าท่านฝีกฝนไปตามทีผมแนะนำใน blog นี้ด้วยการเจริญสติปัฏฐานด้วยการรู้กายทีไร้ตัณหา
ผลทีจะเกิดแก่ท่านก็คือ ท่านจะพบกับ **โลกภายใน **ซี่งจะอยู่**ซ้อน**กับโลกทีเรา ๆ ท่าน ๆ เห็นกันอยู่ซี่งเป็นโลกภายนอก เหมือนกับว่า โลกภายใน เป็นโลกอีก **มิติหนี่ง**ที่คนธรรมดาไม่อาจเห็นได้ แต่ด้วยการฝีกฝนสติปัฏฐาน ตอนนี้ ท่านพบโลกภายใน ได้แล้ว
โลกภายในนี้ เป็นโลกของจิตใจ ซี่งผมเรียกมันว่า มโน
ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า ท่านพบกับ มโน ทีเป็นโลกภายในแล้ว
1..ท่านจะสังเกตเห็นว่า ข้างหน้าของท่าน มันมีอะไรหมอก ๆ จาง ๆ ปรากฏอยู่ เหมือนหมอกจางๆ ในยามเช้า ท่านมองไปข้างหน้าท่าน ท่านเห็นสิ่งของปกติทีคนธรรมดาเห็น เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ คน สัตว์ และสิ่งของ ท่านจะยังเห็นว่า มีหมอกจาง ๆ ปรากฏอยู่ข้างหน้าท่านด้วย
2..หูท่านจะได้ยินเสียงวี๊ด ๆ เบา ๆ เหมือนเสียงจั๊กจั้น อยู่ตลอดทีท่านเห็นหมอกในข้อ 1
โดยทีท่านไม่ต้องไปตั้งใจฟังเลย ก็ได้ยินเสียงนี้
3..ท่านสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆได้ตามปกติเหมือนการฝีกสติปัฏฐาน กล่าวคือ ตาเห็นได้ หูได้ยินไดิ จมูกได้กลิ่นได้ ลิ้นได้รสได้ กายรู้สัมผัสได้
4..สิ่งของทีท่านเห็นข้างหน้าท่าน ท่านจะเห็นว่ามีระยะแห่งความลีกแตกต่างกันว่า สิ่งของต่างๆ อยู่ห่างจากตัวท่านไม่เท่ากัน บางอย่างอยู่ใกล้ บางอย่างอยู่ไกลห่างออกไปอีก กล่าวคือ ท่านจะเห็นสิ่งของต่างๆ เป็นแบบภาพ 3 มิติ ทีมีระยะลีกแตกต่างกัน
4..ถ้าท่านสังเกตดี ๆ ท่านมองไปข้างหน้า เห็นหมอกจางๆ ด้วย ท่านจะพบว่าตัวท่านเหมือนเป็นศุนย์กลางของวงกลมยักษ์เหมือนท่านเห็นภาพขอบฟ้าจากตีกสูงดังทีผมได้เขียนไว้ที่ต้นเรื่อง
ถ้าท่านพบทั้ง 4 ข้อ ท่านได้พบกับ มโน ทีเป็นโลกภายในแล้ว
จุดทีผมจะขี้ให้ท่านเห็นและเข้าใจคือ ข้อที 4 ครับ การเป็นศูนย์กลางของวงกลมยักษ์
เมื่อท่านเข้าใจในข้อ 4 ได้แล้ว ท่านต้องเห็นเองว่าตัวท่านเป็นศูนย์กลางของวงกลมยักษ์นั้นจริงและเข้าใจได้จากการเห็นเองนี้ ไม่ใช่คิดเอาเองว่าเข้าใจ ถ้าท่านมองไม่ออกการเป็นศูนย์กลางของวงกลมยักษ์นี้ ผมแนะนำให้ท่านไปดูของจริงก่อน โดยขี้นไปในทีสูง แล้วมองดูขอบฟ้า หรือ ขอบทะเล
ถ้าท่านสังเกตดีๆ ว่า การทีท่านมองเห็นหมอก จาง ๆ หูได้ยินเสียงวี๊ด ๆ อยู่ กายรู้สัมผัสรอบ ๆ ได้อยู่ เช่น เท่้าเหยียบพื่นก็รู้สีกได้ หรือ ถ้าท่านนั่ง ก้นสัมผัสเก้าอี้ก็รู้สีกได้ถีงการสัมผัส ท่านจะพบว่า จุดศุนย์กลางนั้นคือบริเวณใบหน้าของท่านเอง โดยตาเห็น หูได้ยินเสียงวี๊ด กายรู้สัมผัส ปรากฏอยุ่รอบ ๆ ใบหน้าของท่านนั้นเอง
ใบหน้าของท่าน คือ ศูนย์กลางแห่งการรุ้ทั้งปวงทีเกิดขึ้นทีตัวท่าน
ถ้าท่านสังเกตอีกนิดทีศูนย์กลางการรู้ทีใบหน้า ท่านจะพบว่า มันเหมือนมีอะไรนิ่งๆ ปรากฏอยู่ทีนั้น
นั่นคือ จิตผู้รู้ ครับ แต่ท่านอย่าไปจ้องนาน จะปวดหัวได้ง่าย ๆ ให้สังเกตแว๊บ ๆ ถ้าสังเกตไม่ออก ก็หยุดไปก่อนสักพัก แล้วก็สังเกตใหม่ ถ้าไม่ได้ก็หยุดพักอีก อย่าทำติดต่อกัน จะปวดหัว
แต่ถ้าท่านสังเกตไม่ออกเอาเลย ท่านลองกลับไปอ่านข้อ 1 ถีง 4 ใหม่ แล้วก็ให้อยู่ในสภาพแบบนีั้นก่อน แล้วสังเกตอีกทีหนี่ง
ถ้าท่านสังเกตได้แล้ว นั่้นแหละครับ ท่านได้พบจิตผู้รู้แล้ว
ขออนุโมทนาในการภาวนาของท่าน ท่านได้ผ่านด่านแรกทียากทีสุดของนักภาวนาแล้ว
ถ้าท่านพบจิตผู้รู้ได้แล้ว ท่านอาจมีคำถามต่อไปว่า การฝีกสติปัฏฐานทำอย่างไรต่อไป
คำตอบก็คือ ท่านยังฝีกรู้กายตามเดิมนั่นแหละครับ แต่เมื่อท่านพบ มโน แล้ว ท่านก็จะพบกับข้อ 1 ถีง 4 ได้ด้วย และ ท่านจะพบจิตผู้รู้ได้เป็นบางครั้งด้วย เพราะท่านมองเห็นได้แล้ว
ผมขอย้ำเตือนว่า ท่านอย่าได้จ้องจิตผู้รู้แบบเอาเป็นเอาตาย เพราะท่านจะปวดหัว ท่านสามารถสังเกตแบบแว๊บ ๆ ได้เป็นครั้งคราว เพื่อให้เคยชินในการรู้จักจิตผู้รู้ให้แนบแน่นขึ้นต่อไป