รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กันยายน 2565
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
23 กันยายน 2565
 
All Blogs
 

มือใหม่ย่อมมีข้อสงสัยมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนบั่นทอนกำลังใจในการภาวนา

0..บทความนี้ เขียนขึ้นมาจากคำถามของนักภาวนามือใหม่ ที่ล้มลุกคลุกคลาน แล้ว เลิกไปสักพัก
แล้วต้องการจะเริ่มเดินทางใหม่อีกครั้ง  เมื่อผู้เขียนสามารถช่วยได้ ก็เขียนบทความนี้ขึ้นมาให้เขาได้อ่าน และก็นำมาลงใน Bloggang ของผู้เขียน เพื่อแบ่งปัน
อาจเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่เข้ามาอ่าน
.
1..นักภาวนามือใหม่ที่เข้ามาในแวดวงการภาวนา ส่วนมากจะท้อแท้ใจ หมดกำลังใจในการภาวนา
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ และจะปรับการภาวนาอย่างไรดี  บทความนี้มีคำตอบให้
.
2..สิ่งที่มือใหม่หมดกำลังใจในการภาวนา ส่วนใหญ่นั้นมาจากข้อมูลที่รับเข้ามา แล้ว เมื่อตนเอง
มาภาวนา ไม่เห็นได้เหมือนสิ่งที่ตนได้รับรู้มาก่อน เรื่องแบบนี้ เป็นสิ่งธรรมดาของสังคมนักภาวนาในยุคปัจจุบัน เพราะมีระบบอินเตอร์เนทที่นำข้อมูลหลากหลายอาจารย์ หลากหลายนักภาวนาที่มาเขียนลงไว้  ทำให้หาอ่าน หาฟังกันได้ไม่ยากนัก แล้ว ข้อมูลที่ได้รับเข้ามาส่วนใหญ่ มักแสดงถึงความก้าวหน้าของการภาวนาต่างๆ   ก็ฝังเข้าไปในความจำว่า เมื่อภาวนาแล้วจะต้องได้แบบนี้นะ จึงจะก้าวหน้า   แต่เมื่อได้ลงมือทำการภาวนาแล้วกลับไม่ได้แบบนั้น ก็เกิดอาการท้อแท้ใจ หมดกำลังใจในที่สุด แล้วก็ล้มเลิกการภาวนากันไป
.
3..สิ่งที่ผู้เขียนขอแนะนำมือใหม่ในการภาวนา   เริ่มต้นที่ดีก็คือ ต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนในการภาวนา  เพราะถ้าเข้าใจผิด  ไม่มีทางได้ผลในการภาวนาได้เลย  
สิ่งที่ นักภาวนามือใหม่ สมควรศึกษาให้เข้าใจให้ดีก่อนทำการภาวนา มี สาม เรื่องดังนี้
 //// 1... สติทางธรรม / ////2... สมาธิในองค์มรรค  ///// 3...ปัญญาญาณ
.
4... สติทางธรรม คืออะไร อาการของสติ เป็นอย่างไร
สติทางธรรม นั้น เป็นอาการของ จิตที่ยังไม่ถูกกิเลสครอบงำ จิตที่ยังมีการรู้ที่ทำงานได้ดีอยู่ 
อายตนะต่างๆ  ยังทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพ เมื่อกำลังมีสติทางธรรม ก็ยังจะสามารถทำงานทางโลกได้ด้วย 
.
เมื่อคนที่กำลังมีสติทางธรรมอยู่ ระบบประสาทในร่างกายทุกประสาท จะทำงานได้ดีอยู่
เช่น ถ้านั่งอยู่และเปิดพัดลมส่ายไปมา ถ้าลมมาโดนร่างกาย ก็รู้สีกได้ว่ามีลมมากระทบกาย
ถ้ามีเสียงของรถยนต์ หรือ เสียงสุนัขเห่า เกิดขึ้น หูก็จะได้ยินเสียงนั้นได้
ในขณะเดียวกัน ตา ก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ด้วย
ถ้าตอนนั้น กำลังกินอาหารอยู่  รสอาหาร เปรี้ยว  หวาน มัน เค็ม ฝาด ขม  ก็จะรู้สีกรับรสได้
.
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ท่านมือใหม่จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า สติทางธรรม นั้น ถ้ากำลังเกิดอยู่
มันก็คือ อาการปกติธรรมดาของคนธรรมดาทั่วไปนั้นเอง ที่ ตาเห็นได้ หูได้ยินเสียงได้ จมูกได้กลิ่นได้ ลิ้นรับรู้รสได้  ผิวกายก็รู้อาการสัมผัสที่เกิดขึ้นได้ และ ถ้ามีการนึกคิดก็รู้ได้
.
ทีนี้ ขอให้ดูอาการตอนที่มีสติ และ ไม่มีสติ  ที่ผู้เขียนจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นของจริง
>>> อาการของคนที่มีสติทางธรรมที่ดีพร้อม ....ระบบประสาททั้ง 6  ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย และการรู้ได้ที่จิตใจ  จะสามารถทำงานได้ครบถ้วนดี  
>>> อาการของคนที่ไม่มีสติทางธรรมที่ดีพร้อม.... ระบบประสาททั้ง ุ6  ไม่สามารถทำงานได้ครบทุกระบบ บางระบบอาจไม่ทำงาน  บางระบบยังทำงานได้ ยกตัวอย่างเช่น  คนส่วนมาก เมื่อกำลังสนใจดูทีวีในรายการโปรดอยู่  ถ้ามีลมพัดมาโดนกาย จะไม่สามารถรู้ได้ว่า ขณะนั้น มีลมมาโดนกาย  หรือ ถ้ามีคนมายืนใกล้ ๆ  ก็ไม่รู้ว่า มีคนมายืนใกล้ ๆ   อาการที่ระบบประสาททำงานได้ไม่ครบ เป็นเพราะว่า ในขณะที่กำลังสนใจดูทีวีอยุ่  ตัวจิตนั้นถูกสิ่งที่เรียกว่า โมหะ ครอบงำอยู่
เมื่อ โมหะครอบงำอยู่  ก็จะเกิดกิเลส โลภ โกรธ หลง ขึ้นมาได้ต่อไปโดยง่าย
.
5..สมาธิในองค์มรรค
สมาธินั้น มี 2 แบบ แบบที่ 1 มีชื่อเรียกว่า สมาธิฤาษี ////  แบบที่ 2  มีชื่อเรียกว่า สมาธิแบบพุทธ หรือ สมาธิในองค์มรรค
.
สมาธิฤาษี .....พระพุทธองค์สมัยยังไม่ตรัสรู้ ได้เป็นเจ้าชายแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อเจ้าชายได้ออกแสวงหาโมกขธรรม พระองค์ได้ทรงเรียนวิชาการทำสมาธิกับอาจารย์ฤาษี 2 ท่าน แล้ว พระองค์ก็ทรงทราบด้วยปัญญาว่า วิชาสมาธิฤาษี ไม่ใช่ทางแห่งการพ้นทุกข์ แล้วพระองค์ก็ออกจากสำนักของอาจารย์ไป
.
ผู้เขียนจะไม่เขียนถึงสมาธิฤาษีว่า เป็นอย่างไร  แต่ ผู้เขียนจะเขียนถึงแต่สมาธิแบบพูทธ หรือ สมาธิในองค์มรรคต่อไป
.
สมาธิในองค์มรรค สามารถเกิดขึ้นให้พบได้ 3 แบบด้วยกัน
.
>>>>แบบ A... สมาธิในองค์มรรคแนบแน่นไม่หลุด  แบบนี้ได้ความสงบ แต่ไม่เกิดปัญญา
แบบนี้ เป็นที่หมายปองของนักภาวนามือใหม่กันมาก  แต่ผู้เขียนได้เขียนไว้แล้วว่า
จะได้แต่ความสงบ แต่ไม่เกิดปัญญา  ซี่งแบบเกิดปัญญา จะได้เขียนต่อไปในแบบ B และ C
.
เมื่อท่านมือใหม่ ได้อ่านเรื่อง สติในทางธรรมแล้ว และ ได้ความรู้ว่า เมื่อใดที่มีสติในทางธรรมเกิดอยู่ อายตนะหรือระบบประสาททั้ง ุ6 ยังทำงานได้ดีอยู่  ไม่มีระบบประสาทใดที่หยุดทำงานเลย
.
สำหรับสมาธิแบบพุทธ หรือ สมาธิในองค์มรรค จะต้องเกี่ยวเนื่องกับสติในทางธรรม
กล่าวคือ  ถ้าในขณะใด ที่ท่านนักภาวนากำลังมีสติในทางธรรมเกิดอยุ่แล้ว ต่อไป ไม่ว่า จะมีสิ่งรบกวนใด ๆ โผล่เข้ามา  สติในทางธรรมจะยังมั่นคงทำงานได้ดีอยู่ต่อไป ไม่มีระบบประสาทใดไม่ทำงาน  อาการที่ สติในทางธรรมยังคงดำเนินต่อเนื่องไปได้ตามเดิม โดยสิ่งที่เข้ามากระทบใด ๆ ไม่อาจทำให้สติทางธรรมหลุดหายไปได้ นั่นแหละ คือ อาการของ สมาธิแบบพุทธ หรือ สมาธิในองค์มรรคแบบแรกนี้
.
ขอยกตัวอย่าง  สมมุติว่า ท่านนักภาวนากำลังเจริญสติในทางธรรมอยู่ แล้วต่อมา ปรากฏว่า มีคนในบ้านเปิดทีวีเสียงดังขึ้นมา  ถ้าท่านนักภาวนา เพียงได้ยินเสียงทีวีที่ปรากฏอยู่ แต่ระบบประสาทอื่นๆ ยังทำงานอยู่ต่อไปได้ตามปกติ  อาการแบบนี้ คือ การมีสมาธิในองค์มรรค
แต่ถ้า ท่านนักภาวนากำลังภาวนา แล้ว มีเสียงทีวีดังมารบกวน ท่านนักภาวนาได้ยินเสียง ทนไม่ไหว  ออกปากดุด่าไปแรงๆ ด้วยอาการไม่พอใจ  ว่า ปิดทีวีเดียวนี้ ปิดทีวีเดียวนี้ กำลังทำสมาธิอยู่ อย่ารบกวน  ถ้าแบนนี้ แสดงว่า โมหะเข้าครอบงำแล้ว กิเลสโผล่แล้ว ทนเสียงรบกวนไม่ได้ นี่คือ อาการของคนที่ไม่มีสมาธิในองค์มรรค  สมาธิหนีหายไปแล้ว
.
>>>>แบบ B  สมาธิในองค์มรรคหลุดเพราะมีสิ่งรบกวนภายนอกเกิดขึ้น แล้ว จิตนักภาวนาไปเห็นทันกิเลสที่เกิดขึ้นมา เมื่อ อาการแบบนี้เกิด จะได้ ปัญญาตามมา
         แบบนี้ นักภาวนามือใหม่มักไม่ชอบ ที่ไม่ชอบ เพราะการไม่เข้าใจ ข้อดีของอาการแบบนี้ในการภาวนา  
.
อาการของสมาธิแบบพุทธแบบนี้  ที่สามารถเกิดขึ้นได้ จากสิ่งรบกวนภายนอก
จากตัวอย่างข้างต้น  เมื่อท่านนักภาวนากำลังภาวนาอยู่  มีสติในทางธรรมกำลังดำเนินไป
ต่อมามีเสียงทีวีเปิดดังขึ้น  ท่านนักภาวนาได้ยิน รู้สีกถึงอาการที่ไม่พอใจเกิดขึ้น จิตมีการปรุงแต่ง
เป็นความโกรธปรากฏขึ้นมา  แต่จิตท่านนักภาวนามีกำลังมากพอ    ////  พอมีกิเลสที่เป็นความโกรธเกิดขึ้น จิตผู้รู้ที่มีสมาธิแบบพุทธ จะปรากฏตัวขึ้นแล้วไปเห็นกิเลสที่เป็นความโกรธที่ปรากฏตัวนั้นได้
พอจิตผู้รู้เห็นกิเลสปุ๊บ  กิเลสก็ดับสลายเป็นไตรลักษณ์ไปทันทีอย่างรวดเร็ว  เมื่อ กิเลสดับไปแล้ว จิตผู้รู้ ก็ดับสลายตัวตามไปเช่นกัน แล้ว อาการสติทางธรรมก็เกิดขึ้นต่อเนื่องดำเนินต่อไปได้อีกครั้ง
.
การเกิดแบบนี้ ถ้าเป็นการเกิดครั้งแรกๆ  ที่นักภาวนาเพิ่งเห็นได้  จะยังไม่เห็นตัวจิตผู้รู้ แต่จะเห็นได้แต่อารมณ์โกรธที่เป็นกิเลส เกิดขึ้นแล้วดับสลายตัวลงไปเป็นไตรลักษณ์  
ต่อเมื่อ เกิดอาการแบบนี้ขึ้นหลาบ   ๆ  ครั้ง และ นักภาวนาเห็นไตรลักษณ์ของกิเลสได้ดี ท่านนักภาวนาก็จะสามารถเห็นตัวจิตผู้รู้ปรากฏขึ้นมาให้พบได้  แต่ถ้าจิตผู้รู้ยังไม่ปรากฏขึ้นมา ห้ามไปจ้องมองหา ให้จิตผู้รู้ปรากฏขึ้นมาให้พบได้เอง  การไปจ้องหา ไม่สามารถหาจิตผู้รู้ให้พบได้ 
.
>>>>แบบ C  สมาธิในองค์มรรคหลุดเพราะมีสิ่งรบกวนภายในเกิดขึ้น ได้แก่นิวรณ์ 5 เกิดแล้ว นักภาวนาไปเห็นทันการหลุดได้ หรือ เห็นทันนิวรณ์เกิดได้ ซี่งหมายความว่า พอหลุดปุ๊บ เห็นปั๊บ ทันที อย่างรวดเร็ว  หลังจากที่เกิดขึ้นมา ถ้าอาการแบบนี้เกิด จะได้ ปัญญาตามมา

การเห็นแบบนี้  บางครั้ง นักภาวนาอาจเห็นเหมือนเห็นแสงจากกล้องถ่ายรูปปรากฏสว่างแว๊บขึ้นมาได้ 1 ครั้ง สั้น ๆ เร็วปานสายฟ้าแล๊บ   แต่การเห็นแสงแว๊บแบบนี้  จะเห็นได้ไม่กี่ครั้งในชีวิต แล้วจะไม่เห็นอีกเลย
.
การเห็นแสงแว๊บแบบนี้ไม่กี่ครั้ง ต่อไป จิตภายในจะสว่างขึ้นมาได้เอง แล้วอาการโหมะ หรือ การเผลอจากนิวรณ์ จะลดลงไปได้เอง นักภาวนาจะรู้สีกได้ว่า อาการเผลอสติได้ลดลงไปแล้ว
.
6..ผลของสติในทางธรรม และ สมาธิในองค์มรรค ที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง จะมีผลทำให้เกิดดวงตาเห็นเห็นธรรมขึ้นได้ของนักภาวนา (ธรรมจักษุ )  เมื่อ ธรรมจักษุ ปรากฏขึ้น นักภาวนา จะเห็นโลกอีกมิติหนี่ง ที่ซ้อนทับกับโลกของมนุษย์นี้  การมีธรรมจักษุปรากฏขึ้น เป็นก้าวแรกของการมีปัญญาญาณเกิดขึ้น แล้ว นักภาวนาก็ยังคงเจริญภาวนาต่อไป แล้วให้เรียนรู้อาการของ สติปัฏฐานภายใน ได้แก่ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมต่อไป
.
การเจริญสติปัฏฐานภายใน นักภาวนาจำเป็นต้องทำ ธันมะวิจัยธรรม ของสติปัฏฐายภายใน
เพื่อสังเกต พฤติกรรมของจิต พฤติกรรมของทุกข์และไม่ทุกข์  เมื่อสังเกตไปเรื่อย ๆ จนเข้าใจพฤติกรรม ก็จะเข้าใจในธรรมของพุทธศาสนา  และไม่ยีดมั่นถือมั่นในธรรมอีก
.
การเจริญสติปัฏฐานภายใน เป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้  นักภาวนาต้องมีปัญญาที่คิดค้นเองว่าจะทดลองอย่างไร    เหมือนนักวิทยาศาสตร์ ที่ทดลองสิ่งต่างๆ  ในห้องทดลอง 
.
ถ้านักภาวนาไม่เจริญสติปัฏฐานภายใน  การมีธรรมจักษุปรากฏขึ้น อาการทุกข์ใจจะลดน้อยลงไปมาก  สติทางธรรมจะมั่นคงพอประมาณ  สมาธิในองค์มรรคจะมีกำลังพอประมาณ  แต่สิ่งที่ได้นี้
นักภาวนาจะพบอาการทุกข์กายปรากฏขึ้นมากมาย  ทุกข์กายบางอย่าง ถ้าไม่แก้ไข ก็อันตรายถึงชีวิตได้  แต่บางอย่างก็ไม่ถึงชึวิต  แต่ถ้าผ่านสติปัฏฐานภายในได้ จะมีความรู้ในทางธรรมในการดับทุกข์กายได้ เมื่อดับทุกข์กายได้ เมื่อทุกข์ใจไม่ปรากฏ  ก็จะเป็นผู้ที่ไม่มีทุกข์อีกต่อไป
.
7 บทความข้อ 2 ถึง  6  ผู้เขียนขอแนะนำว่า ควรหาเวลาอ่านมากกว่า 1 รอบ และอ่านทบทวนเมื่อเวลาผ่านไปสัก 6 เดือนครั้ง เพื่อความเข้าใจในหลักการทางวิชาการ 
.
8..แล้วจะให้มือใหม่เริ่มต้นต่อไปอย่างไร
>>>>สิ่งที่ดีทีสุดของมือใหม่ที่ขอแนะนำ คือ การฝีกเพื่อรู้กาย
ผู้เขียนได้เขียนตัวอย่างการฝีกไว้แล้วที่  https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=30-05-2009&group=1&gblog=20
แต่ถ้าท่านมีวิธีการของท่านเอง ก็ใช้ได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องทำแบบผู้เขียนที่เขียนไว้นี้

>>>>เมื่อท่านมือใหม่ภาวนา จนมีดวงตาเห็นธรรม แล้วเกิดอาการทุกข์กายปรากฏขึ้นเมื่อใด
ต่อไป ผู้เขียนขอแนะนำให้ท่านเปลี่ยนกรรมฐานจาก การรู้กาย มาที่รู้ที่จิต
.
การฝีกรู้กาย จะช่วยลดอาการเรื่องทุกข์ใจได้ดี
.
การฝีกรู้จิต จะช่วยเรื่องลดทุกข์กายได้ดี  แต่ถ้าทุกข์กายแล้วไปรู้กายอีก ก็จะเกิดอาการทุกข์กาย
ทีมากยิ่งขึ้น  อันเป็นผลเสียต่อสุขภาพ
.
9..อาจมีคำถามของมือใหม่ว่า ถ้าได้เริ่มต้นแล้ว ฝีกฝนไป จะใช้เวลานานแค่ไหน จึงจะได้ธรรมจักษุ
>>>>เรื่องนี้ ผู้เขียนไม่สามารถตอบได้  แต่ธรรมจักษุ ไม่ใช่่สิ่งทีเกิดได้ง่าย ๆ เลย
เพราะต้องผ่านการมีสติในทางธรรม ผ่านการมีสมาธิในองค์มรรค เห็นไตรลักษณ์ของกิเลสได้มาก่อน แล้ว ธรรมจักษุ ก็จะปรากฏขึ้นมาได้เองในวันหนี่ง
แต่ผู้เขียนคาดว่า คงมากกว่า 3 ปี กว่าจะได้พบธรรมจักษุได้
.
10..ขอความสวัสดี และความก้าวหน้าในทางธรรมแด่ท่านนักภาวนาทุกท่านเทอญ

 




 

Create Date : 23 กันยายน 2565
0 comments
Last Update : 23 กันยายน 2565 14:51:55 น.
Counter : 501 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณmcayenne94

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.