เหตุที่นักปฏิบัติธรรมไม่อาจเดินไปถึงทีสุดแห่งทุกข์ได้
เหตุทีนักปฏิบัติไม่อาจเดินไปถึงทีสุดแห่งทุกข์ได้ . 1..อะไร คือ ทีสุดแห่งทุกข์ ในพระไตรปิฏกเถรวาท ได้กล่าวไว้ในทำนองนี้ว่า เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นก็รู้ว่าหลุดพ้น . สรุป ทีสุดแห่งทุกข์ คือ สภาวะทีจิตหลุดพ้น ซี่งจะตรงกับอริยสัจจ์ 4 ทีว่า การสิ้นตัณหา . 2..ปฏิบัติอย่างไร จึงจะถึงทีสุดแห่งทุกข์ได้ เหล่าชาวพุทธนักปฏิบัติธรรม ย่อมทราบกันดีทุกคนว่า สติปัฏฐาน 4 ในพระไตรปิฏก ได้กล่าวไว้ว่า ทางสายเอก ทีนำพาให้พ้นไปจากกองทุกข์ได้ คือ สติปัฏฐาน 4 ทุกคนรู้เหมือนกันหมด แต่ก็ยากทีจะพ้นไปจากกองทุกข์ได้ เพราะในสติปัฏฐาน 4 ไม่ได้บอกวิธีการปฏิบัติเอาไว้ แต่บอกไว้แต่หลักการใหญ่ ๆ 4 หมวด ซี่งกล่าวย่อ ๆ ว่า ให้มีสติพิจารณาอยู่ที กาย เวทนา จิต ธรรม อยุ่เนือง ๆ อย่างช้า 7 ปี อย่างเร็ว 7 วัน จักสำเร็จเป็นพระอรหันต์ หรือ ไม่ก็พระอนาคามี แต่ทำไม นักปฏิบัติส่วนใหญ่ บ้างก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด มานานเกิน 7 ปี ยังไม่ไปถึงไหน จิตยังเป็นปุถุชนอยู่ ไม่กาวหน้า คำตอบง่ายๆ ก็คือ นักปฏิบัติได้ปฏิบัติผิดไปจากสติปัฏฐาน 4 นั่นเอง การตีความจากหลักการในสติปัฏฐาน 4 ไปสู่การปฏิบัติจริง ไม่ถูกต้อง จึงไม่อาจมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้ . 3..จะรู้ได้อย่างไรว่า ปฏิบัติได้ถูกต้องตามสติปัฏฐาน 4 การรู้ได้นั้น จะพิสูจน์ได้ ก็ต่อเมื่อ นักปฏิบัติสามารถพบ นาม-รูป เป็นไตรลักษณ์ได้จริง ๆ ไม่ได้นึกคิดเอาตามตำรา ถ้าปฏิบัติไป 7 ปี ยังไม่พบ นาม-รูป เป็นไตรลักษณ์ได้จริง ๆ ละก็ ฟันธงได้เลย ท่านปฏิบัติผิดไปจากสติปัฏฐาน 4 แล้วละ . 4..ทำไมต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้พบ นาม-รูป เป็นไตรลักษณ์ด้วย การพบ นาม-รูป เป็นไตรลักษณ์ นีคือสภาวะธรรมแท้ ๆ ของ กาย-ใจ ทีไม่เที่ยงแท้ การพบสภาวะธรรมแท้ ๆ ทีเป็นไตรลักษณ์นี้ อยู่เสมอ ๆ จิตจะคลายจากการยีดมั่นถือมั่นใน กาย-ใจ และเกิดปัญญาว่า กาย-ใจ นี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแบบนี้ จะเกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด แล้วไม่ยีดมั่นถือมั่นใน กาย-ใจ นี้ต่อไป ...... สิ่งทีเขียนข้างบน คือ หลักการ ทีเหล่าชาวพุทธรู้กันดีอยู่เต็มอก แต่ก็ไม่อาจเดินทางสู่องค์มรรค จนถึงขั้นการสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ ทีเป็นอย่างนี้ เพราะมีเส้นผมเส้นเล็ก ๆ ทีสามารถบังภูเขาอันใหญ่โตได้ เส้นผมนี้ มีอยู่ใน กาลามสูตร นี่เอง . นักปฏิบัติเชื่อมั่นในความเชื่อของตนเองว่า การปฏิบัตินั้น ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ แต่เมื่อปฏิบัติมานานเกิน 7 ปี แล้วไม่พบไตรลักษณ์เลย แสดงว่า ความเข้าใจในความเชื่อของตนเองนั้นมีอะไรผิดพลาดแล้ว เพราะการหลงไปกับความเชื่อของตนอย่างเหนียวแน่น จึงพุ่งเป้าสู่ทางเดินของตนตามความเชื่อนั้นทันที เมื่อสิ่งทีเชื่อนั้นผิด นักปฏิบัติก็ไม่อาจถึงทางแห่งมรรคได้ . แล้วอะไร คือ ความเชื่อทีผิด ที่ถูกเป็นเช่นไร เรื่องนี้ ท่านเท่านั้นทีจะรู้ได้ คนอื่นมารู้ความเชื่อของท่านไม่ได้เป็นแน่แท้ นี่คือ สาเหตุสำคัญทีเหล่าชาวพุทธ ปฏิบัติอย่างไร ก็ไม่อาจถึง ทีสุดแห่งทุกข์ได้นั่นเอง . ผู้หลงไปกับความเชื่อผิด ๆ ยากมากทีจะปรับตัวไปสู่หนทางทีถูกต้องได้ วาสนาของท่านต้องถึงจริงๆ จึงจะหลุดออกมาได้จากความเชื่อผิด ๆ แล้วพบความเข้าใจใหม่ ทีเป็นความเข้าใจทีตรงตามองค์มรรคจึงจะเกิด ขึ้นได้ต่อไป . ขอเพียงปฏิบัติได้ถูกตามองค์มรรค ท่านต้องได้พบไตรลักษณ์ของ นาม-รูป ได้ก่อน ซี่งเป็นการพิสูจน์ได้ว่า ท่านเดินมาตรงทางองค์มรรคได้แล้ว จากนั้น ท่านก็ปฏิบัติต่อไป เรื่อยๆ พบไตรลักษณ์ของ นาม-รูป ได้เรื่อยๆ ปัญญาในทางธรรมของท่านจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้อย่างแท้จริง . ขออนุโมทนา ต่อนักปฏิบัติทุกท่าน ทีสามารถพบ ไตรลักษณ์ของ นาม-รูป ได้แล้วอย่างแท้จริง
Create Date : 16 กันยายน 2562 |
|
0 comments |
Last Update : 16 กันยายน 2562 19:05:45 น. |
Counter : 1599 Pageviews. |
|
|
|