อาณาปานสติ - ยีดลมหายใจอย่างนั้นหรือ
ในวงการภาวนาของไทย มีท่านทีสอนอาณาปานสติเป็นจำนวนมาก ซี่งการสอนก็จะแตกต่างกันไปตามเทคนิคการสอนและเทคนิคการภาวนาของแต่ละท่าน บทความข้างล่างนี้ ผมเขียนขึ้นเพื่อประโยชน์ด้านการภาวนาแก่ท่านทีเข้าร่วมกิจกรรมทีผมได้บรรยายเรื่องอาณาปานสติไป ดังนั้น บทความทีเขียนขึ้นจะไม่เหมือนกับท่านทีสอนอาณาปานสติท่านอื่น จึงเรียนมาเพื่อทราบก่อนทีจะอ่านต่อไป ขอบคุณครับ
************************************ 1...ในการภาวนานั้น นักภาวนาสมควรจะเดินตามอริยสัจจ์ 4 เป็นแม่บท กล่าวคือ การรู้ทุกข์ทีเป็นอริยสัจจ์ข้อที 1 ด้วยการละตัณหา อันเป็นอริยสัจจ์ข้อที 2 ถ้านักภาวนาเดินตามนี้ การภาวนาจะมุ่งตรงสู่อริยมรรคมีองค์ 8 เพื่อการพ้นทุกข์ทันที
2...ธรรมชาติของจิตนั้น เมื่อจิตไปทำหน้าที *ระลีกรู้* ซี่งภาษาพระเรียกว่า *สติ* นั้น เมื่อสติไประลีกรู้ลมหายใจ จะไม่มีอวัยวะใด ๆ ของร่างกายปรากฏอยู่ ดังนั้น เมื่อสติระลีกรู้ลมหายใจ จะไม่ปรากฏอวัยวะใด ๆ เช่น ไม่มีรูจมูก ไม่มีท้อง แต่ถ้านักภาวนาเข้าใจว่า การรู้ลมหายใจนั้น ให้ไปรู้ลมทีปลายจมูก ถ้าทำอย่างนั้น จะไม่ใช่เป็นการระลีกรู้ด้วยสติ แต่จะเป็นการจ้องรู้ไป ซี่งเมื่อเป็นการจ้องรู้ไป จะไม่ใช่การภาวนาทีรู้ทุกข์(คือ รู้ลม)ด้วยการละตัณหา(เพราะเป็นการจ้องรู้)
เมื่อไม่มีอวัยวะของกาย ไม่มีรูจมูก ไม่มีท้อง การระลีกรู้จะออกมาในลักษณะของอาการสั่นไหวกระเพื่อม ๆ ทีมาจากการหายใจ นี่คือการระลีกรู้
3...เป็นความจริงทีว่า ถ้าไปรู้ลมที่ปลายจมูกจะรู้ลมได้ชัด นี่เป็นความจริง เพราะจิตไปจอจ่ออยู่ที่ปลายจมูกแล้ว การรู้ลมย่อมจะชัด เปรียบเหมือนกับ การนั่งดูทีวี ถ้าคนนั่งดูใบหน้าของนางเอกอยู่ ย่อมเห็นใบหน้าทีชัดเจนของนางเอก แต่สิ่งอื่น ๆ ทีปรากฏในจอทีวีในขณะเดียวกัน ก็จะเห็นได้ไม่ชัด
ความชัดเจนแบบนี้โดยการไปจ้องลมทีปลายจมูก ถีงแม้ว่าจะรู้ชัด แต่จิตไปยีดติดด้วยตัณหา ซึ่งการกระทำดังกล่าว จะไม่ไปส่งเสริมการลดละตัณหาทีอยู่ในจิตใจ แต่กลับไปเสริมตัณหาในจิตใจเข้า ดังนั้น การเติบโตขึ้นของพลังจิตเพื่อการต่อต้านแรงตัณหาจึงไม่เกิดขึ้นด้วยการไปจ้องรู้ลมแบบนี้ หมายเหตุ **การภาวนาเพื่อพ้นทุกข์นั้น จะฝีกจิตเพื่อการลดลงของตัณหา ถ้ากลับไปฝีกแล้วเพิ่มตัณหา จะเป็นการสวนทางกัน **
4..เป็นความจริงอีกเช่นกันว่า การฝีกระลีกรู้โดยไม่จ้องลม แต่ให้จิตไปรู้การสั่นไหวกระเพื่อม ๆ ทีมาจากการหายใจ จะรู้ได้ไม่ชัดและบ่อยครั้ง ก็รู้ลมกระเพื่อม ๆ ไม่ได้ ซึ่งการเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ไม่ใช่เป็นการฝีกผิด แต่เป็นเพราะว่า กำลังสัมมาสติของผู้ภาวนายังไม่กล้าแข็งพอ การระลีกรู้ลมแบบนี้ จึงรู้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่การภาวนาแบบนี้ จะส่งเสริมการละตัณหาทีสอดคล้องกับอริยสัจจ์ 4 ทีเขียนไว้ในข้อ 1
เมื่อฝีกรู้ลมแบบนี้ทีไม่ชัด แต่ไม่เพิ่มตัณหาเข้าไปในจิต จะทำให้จิตลดละตัณหาได้ในขณะทีรู้สภาวะธรรม ซี่งหมายความว่า จิตจะมีความสามารถทีจะเริ่มการไม่ยีดติดทีเพิ่มขึ้นได้ด้วยการฝีกแบบนี้
เมื่อจิตได้รับการฝีกฝนบ่อยครั้งเข้า ความสามารถแห่งการไม่ยีดติดในสภาวะธรรมจะค่อยๆ มีการพัฒนาขึ้น แล้วต่อไป ก็จะสามารถทีจะไม่ยีดติดทุกข์ทีเกิดในจิตใจได้ต่อไป
5..เมื่อรู้ลมทีปลายจมูก จะรู้สีกสงบดีมาก นี่เป็นความจริงทีทำให้นักภาวนาส่วนมากเข้าใจว่า เมื่อทำแบบนี้ การภาวนาจะถูกต้องแล้ว เพราะเกิดความสงบในจิตใจ แต่ดังทีผมเขียนไว้ข้างบนในข้อ 3 และ ข้อ 4 ถีงแม้ว่าจะสงบ แต่จิตเป็นการยีดติดด้วยตัณหา จึงไม่ถูกต้องตามหลักการแห่งการพ้นทุกข์ของอริยสัจจ์ 4 ทีผมเขียนไว้ในข้อ 1
6..การภาวนาเพื่อการพ้นทุกข์นั้น นักภาวนาต้องบ่มเพาะจิตอยู่เสมอ ด้วยการรู้สภาวะธรรมทีเกิดขึ้นด้วยการไม่ยีดติดหรือการละตัณหา เมื่อสภาวะธรรมใดเกิดขึ้น เพียงรู้แล้วปล่อยมันผ่านไป ไม่สนใจมันอีก แล้วก็รู้สภาวะใหม่ทีเกิดขึ้นอีกแล้วปล่อยผ่านไปอีก วนเวียนเช่นนี้ไปตลอดเวลาทียังตื่นอยู่ จะเห็นว่า การภาวนาแบบนี้ นักภาวนาจะไม่สนใจสภาวะธรรมว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ว่า จะเป็นสภาวะธรรมใด ๆ ก็ได้ **เพียงระลีกรู้ได้แล้วปล่อยผ่านไป** เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว นี่เป็นพืนฐานหรือว่าจะเป็นเคร็ดการภาวนาก็ได้ ทีผู้ไม่เข้าใจมักจะมองข้ามไปแล้วหลงไปภาวนาด้วยการยีดติดสภาวะธรรม ซี่งจะส่งผลก็คือ การภาวนาไม่ก้าวหน้าจนข้ามไปสู่การพ้นทุกข์ได้ในที่สุด
7..ยังมีเรื่องของอาณาปานสติทีผมเขียนไว้ สามารถอ่านได้ใน link นี้ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=30-11-2010&group=13&gblog=26
Create Date : 23 กรกฎาคม 2557 |
|
0 comments |
Last Update : 23 กรกฎาคม 2557 9:17:05 น. |
Counter : 1545 Pageviews. |
|
|
|