รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
เมษายน 2564
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
17 เมษายน 2564
 
All Blogs
 

ความเป็นอิสระของจิต

1.....บทความเรื่อง < ความเป็นอิสระของจิต > บทความนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวล้วน ๆ   ท่านทีเข้ามาอ่าน แนะนำให้อ่านด้วยวิจารณญาณ และใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อความเจริญในธรรมสืบต่อไป
.
2...จิตทีเป็นอิสระ มีสภาวะธรรมเป็นเช่นไร
.
          ตัวจิตนั้นมี 2 ส่วน 
          *****ส่วนที่หนี่ง ผู้เขียนขอตั้งชื่อว่า จิตพลังงาน จิตส่วนนี้ มีหน้าทีในการขับเคลื่อนร่างกายให้มีชีวิตดำเนินต่อไปได้ และร่างกายสามารถทำงาน กิจการต่าง  ๆ ทางโลกได้  
 ในทางธรรมจะพูดว่า จิตพลังงาน ก็คือ ตัวจิตทีมีหน้าทีสร้างขันธ์ขึ้นมา ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เพื่อให้ขันธ์ไปทำงานกิจการต่างๆ ทางโลก
         *****ส่วนทีสอง ผู้เขียนขอตั้งชื่อว่า จิตตัวรู้  ในทางธรรมทีเกี่ยวเนื่องกับทุกข์นั้น จิตตัวรู้ จะมีหน้าที่ 2 อย่างคือ  หน้าที่ที่ 1.. ทำหน้าที่ รู้ สภาวะปรมันถธรรมทีเกิดขึ้น   หน้าที่ที่ 2..ถ้าจิตตัวรู้ เข้าไปเสริมกับจิตพลังงานในการสร้างขันธ์  จิตพลังงานจะสร้างขันธ์ต่อเนื่องได้ยาวนาน

หมายเหตุ... ขออธิบายเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า รู้ ขอให้อ่านเรื่อง รู้มีกี่แบบ
ทีลิงค์นี้  https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=26-03-2021&group=17&gblog=215

***** จิตทีเป็นอิสระนั้น คือ สภาวะที จิตตัวรู้ ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจการครอบงำของจิตพลังงาน ***

 ***** จิตทีเป็นอิสระนั้นในสภาวะปรมัตถธรรม จะมี 3 แบบ คือ
          แบบที่ 1... จิตตัวรู้ ไม่ยีดติดกับ จิตพลังงาน แต่จะแยกตัวออกเป็น 2 ส่วน คือ จิตตัวรู้ อยู่ส่วนจิตตัวรู้  และ จิตพลังงาน อยู่ส่วนจิตพลังงาน  ขอให้นึกถึงภาพ น้ำและน้ำมัน ทีทั้งสองส่วนจะไม่รวมตัวกัน แต่จะแยกตัวออกจากกัน 
               ในการแยกตัวออกแบบนี้ ก็จะมี 2 แบบ คือ 1..  แยกตัวออกแล้ว อยู่ติดกัน แต่ไม่รวมกัน ดังเช่น น้ำและน้ำมัน  2..แยกตัวออกแล้ว ทั้งสองส่วนอยู่ห่างจากกัน  ดังเช่น ใบไม้ ทีติดอยู่กับกิ่งไม้อยู่ เมื่อใบไม้หลุดออกจากกิ่งไม้ ใบไม้จะหล่นลงพื้น นี่คือลักษณะอาการทีใบไม้อยู่ห่างจากกิ่งไม้
*
*
          แบบที่ 2...จิตตัวรู้ แผ่กว้างใหญ่กว่าตัวจิตพลังงาน และคลุมจิตพลังงานเอาไว้ ขอให้นึกถึงภาพ ซาลาเปา ทีตัวแป้งใหญ่กว่าใส้ใน และ ตัวแป้งคลุมใส้ในเอาไว้


*
          แบบที่ 3...มีแต่ตัวจิตรู้ปรากฏอยู่เป็นความว่าง ที่ไม่เป็นเม็ด ไม่เป็นดวงไม่เป็นก้อน  พร้อมกับไม่มีตัวจิตพลังงานปรากฏตัวเป็นก้อน เป็นเม็ด เช่นกัน 
จิตทั้งสองส่วน ปรากฏเป็นความว่างเปล่า จิตทีปรากฏแบบนี้ ก็คือ สภาวะสุญญตาในพุทธศาสนา
.
3.. จะรู้ได้อย่างไรว่า จิตเป็นอิสระ

การรู้ได้ว่า จิตเป็นอิสระ จะรู้ได้ 2 วิธีด้วยกัน
วิธีที่ 1 ...
ในขณะทีจิตเป็นอิสระ ตัวจิตตัวรู้นั้น จะรู้ว่ามีการหายใจปรากฏอยู่ ( อาณาปานสติ )
และการหายใจ เป็นการหายใจทีไหลลื่น ไม่อึดอัด ส่วนจะสั้นหรือจะยาว ไม่ใช่ประเด็น
.
ผู้เขียนขออธิบาย อาณาปานสติ หรือ การรู้การหายใจ ในขณะทีจิตเป็นอิสระว่ามีลักษณะอาการอย่างไร เพราะ ในปัจจุบัน มีการสอนหรือบทความในอินเตอร์เนท หรือ ใน youtube เป็นจำนวนมาก ทีได้มีการกล่าวถึง อาณาปานสติ โดยมักกล่าวว่า ให้ไปรู้ลมหายใจ ทีปลายจมูก หรือ ให้ไปรู้อาการท้องพองยุบ  ซี่ง การรู้ลมหายใจแบบนี้ เป็นการรู้ลมหายใจในระดับเบื้องต้น ซี่งยังไม่ใช่ อาณาปานสติในขณะที่อยู่ในอาการของจิตทีเป็นอิสระ
           อาณาปานสติ หรือ การรู้ลมหายใจ ในขณะทีจิตเป็นอิสระ นั้น จะเป็นการรู้ทีไม่มีร่างกายเข้ามาเกี่ยวข้องเลย  ไม่มีจมูก ไม่มีปลายจมูก  ไม่มีท้อง  แต่เป็นการรู้ของจิตที่ไปรุ้ว่า ในขณะนั้น มีการหายใจอยู่ และ ไม่รู้ด้วยว่า ตำแหน่งของลมหายใจนั้นตั้งอยู่ ณ ทีใด และ ไม่ได้เป็นการจ้องรู้ตัวลมหายใจ แต่เป็นการรู้ด้วยจิตทีเป็นการรู้ด้วยความรู้สีกว่า มีการหายใจเกิดอยู่ ในบทความของผู้เขียนใน blog นี้ ผู้เขียนได้ตั้งขื่อการรู้แบบนี้ว่า รู้แบบ Secondary กล่าวคือ เป็นการรู้ได้เอง ไม่ได้จ้องรู้ ไม่ได้สนใจว่าจะรู้สิ่งนี้ 
          ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง การรู้แบบ Secondary เพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจ
สมมุติว่า ท่านกำลังนั่งอยู่ในรถ ทีกำลังแล่นไปบนท้องถนน  ถ้าท่านไม่คิดอะไรอยู่ในหัวสมอง ท่านไม่ได้สนใจจ้องมองสิ่งต่างๆ ทีรถกำลังแล่นผ่านไป  ตาทานเพียงเปิดขึ้นและมองเห็นตามธรรมชาติแต่ไม่ใส่ใจในสิ่งทีเห็น  ท่านจะพบว่า หู ของท่านจะได้ยินเสียงรอบตัวได้เอง โดยทีท่านไม่ได้สนใจทีจะฟังเสียงเลย การทีหูได้ยินแบบนี้ทีไม่ได้สนใจฟังเสียงนี่แหละ คือ อาการทีรู้แบบ Secondary ทีรู้ได้เอง ไม่ได้ตั้งใจจะฟังเสียง ไม่ได้ตั้งใจทีจะไปรู้เสียง

สรุปแบบที่ 1 นี้ก็คือ เมื่อใด ทีนักปฏิบัติ สามารถรู้การหายใจได้แบบ Secondary ในขณะนั้น คือ จิตตัวรู้เป็นอิสระอยู่ 
.
วิธีที่ 2...เป็นการรู้ด้วย ญาณปัญญา
การรู้แบบนี้ ไม่ใช่ทุกคนทีจะรู้แบบนี้ได้  คนทีจะรู้แบบนี้ได้ จะต้องมี ดวงตาเห็นธรรม ปรากฏขึ้นมาก่อน และ ต้องมีความชำนาญในการเห็นสภาวะธรรมทีมากพอ จนเข้าใจอะไรได้ดีพอ จึงจะเห็นแล้วเข้าใจในสิ่งทีเห็นได้
.
4...จิตทีเป็นอิสระ  ตั้งอยู่ได้นานหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ไม่ได้ตั้งอยู่อย่างถาวร
นี่เป็นธรรมชาติของจิตทีเป็นอิสระว่า  จิตทีมีกำลังแห่ง มรรค 8 อันมี สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และ ปัญญาญาณ ทีแข็งแกร่งมากพอ จิตก็จะเป็นอิสระได้ด้วยเหตุและปัจจัยที่เกื้อหนุนเหล่านี้

ถ้าจะถาว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ปัญญาญาณ มากพอ 
คำตอบก็คือ นักปฏิบัติ สามารถ รู้การหายใจได้แบบ Secondary ได้อยู่ในขณะนั้น
ถ้ามีสิ่งรบกวนเข้ามา  ถ้าจิตยังสามารถรู้การหายใจได้แบบ Secondary ได้อยู่อย่างต่อเนื่อง
และยาวนาน นี่เป็นการบ่งบอกว่า กำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ และ ปัญญาญาณ ของท่านนักปฏิบัติมีพลังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ผู้เขียนเห็นคนไทยทีฝีกฝนปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก  พอลงมือฝีกฝน ถ้ามีการรบกวนจากภายนอก เช่น เสียงเด็กวิ่งเล่นให้หนวกหู  เสียงรถยนต์ทีผ่านไปมา  ก็เกิดอาการไม่พอใจขึ้นในเสียง ไปด่าว่า เด็กทีมาวิ่งเล่นรบกวนนั้น นี่เป็นการไม่เข้าใจวิธีการทำสมาธิในองค์มรรค  สมาธิในองค์มรรคนั้น จะเกิดได้ ก็ต่อเมื่อ จิตตั้งมั่นและทนทานต่อการรบกวนทีเข้ามาทีจิตนั้นได้  
การฝีกฝนในสถานทีทีมีการบกวนนี่แหละ จะทำให้สมาธิในองค์มรรคของท่านนักปฏิบัติสามารถเจริญก้าวหน้าขึ้นได้เป็นอย่างดี  

5....อย่าลืมว่า บทความนี้ เป็นความเข้าใจส่วนตัวของผู้เขียน  ผู้เขียนเชื่อว่า ท่านทีเข้ามาอ่าน จะมีความเห็นต่างออกไป นี่เป็นสิ่งธรรมดาทีจะมีได้ ถ้าท่านเห็นต่าง ก็ขอให้ผ่านไป อย่าได้มีอารมณ์ขุ่นมัวทีได้อ่านบทความนี้   การทีจิตสร้างอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมานี่แหละ คือ จิตตัวรู้ได้ตกอยู่ในการครอบงำของจิตพลังงานแล้ว  แต่ถ้าท่านรู้ได้โดยเร็วพลันว่า จิตตัวรู้ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของจิตพลังงานได้ ท่านก็ได้ปัญญา 1 ครั้ง 
*
****การพ้นทุกข์ทางจิตไม่มีทางเกิดขึ้นได้่่ ถ้าท่านไม่เคยพบกับทุกข์ทางจิตมาก่อน******



 




 

Create Date : 17 เมษายน 2564
0 comments
Last Update : 3 พฤษภาคม 2564 10:32:15 น.
Counter : 1028 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.