ในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำแบบนี้การนำเงินไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอย่างแน่นอน การมองหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหมาะสมจึงเป็นอะไรที่นักลงทุนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
ผมลองคิดเล่นๆ ว่าหากซื้อ #หุ้นรถไฟฟ้า ณ.ตอนนี้ 1 ล้านหุ้น เป็นตัวตั้ง จะใช้เงินราว 7-8 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีกำไรต่อหุ้นราวๆ 0.20 บาทต่อหุ้น (เป็นตัวเลขสมมติ) ถ้าหากเงินปันผล 50% ของกำไรก็ตกราว 0.10 บาทต่อหุ้น หรือถ้าเรามี 1 ล้านหุ้น = 1 แสนบาทต่อปี
หากเราถือไว้ 3-5 ปี หากราคาปรับตัวขึ้นสองเท่าตัวจากราคา ณ.ตอนนั้นควรมีกำไร 0.50 บาทต่อหุ้น ปันผลราวๆ 0.25 บาทต่อหุ้น หากเราคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินต้นที่เราซื้อไว้ ณ.วันนี้เกินกว่า 50% (รวมส่วนต่างราคา และเงินปันผลที่ได้รับ)
ตราบใดที่ผู้คนยังใช้ รถไฟฟ้า โดยสารเดินทาง และยังคงขับรถขึ้น ทางด่วน
กิจการนี้ก็เก็บเงินสดได้ทุกวันตลอด 360 วัน เราก็น่าจะได้รับ เงินปันผล เป็นผลตอบแทนจากการลงทุนได้เรื่อยๆ
เทียบกับการลงทุนรูปแบบอื่นๆ
ลองเปรียบเทียบกับการที่เราไปซื้อคอนโดมิเนียมแล้วปล่อยเช่าในราคาใกล้เคียงกัน ยกตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมราคา 8 แสนบาทต่อยูนิต เราซื้อไว้ 10 ยูนิต ใช้เงินราว 8 ล้านบาทพอๆ กัน หากเราปล่อยเช่าได้ราว 3,000 5,000 บาทต่อห้อง ก็จะมีรายได้ต่อปีที่ 360,000 600,000 บาทต่อปี
ผมไม่ได้บอกอย่างเจาะจงว่าลงทุนแบบไหนดูจะคุ้มค่ากว่ากัน แต่ลองเก็บไปคิดเล่นๆ ซักทีคงไม่เสียหายอะไรนะครับ เพราะทุกวันนี้ดอกเบี้ยต่ำ ติดดิน ทำให้นักลงทุนต้องมองหาทางเลือกไว้หลายๆ ทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนที่สามารถ เอาชนะเงินเฟ้อ มีการเติบโตในระยะยาวอย่างมั่นคงนั่นเองครับ (การลงทุนทั้งสองแบบที่กล่าวมาสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ครับ)
ราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เมื่อเราคิดจะลงทุนในหุ้นเรา สิ่งที่นักลงทุนติดตามเป็นอันดับแรกๆ ก็คือ ราคาหุ้น จากประสบการณ์การลงทุนของผมนั้น
เวลาทีหุ้นปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนที่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึก หรือไม่ได้ติดตามหุ้นตัวที่ขึ้นมักจะงงว่าทำไมราคาหุ้นจึงขยับขึ้น
หลายคนคิดไปว่า หุ้นมีเจ้ามือ ถ้าเจ้ามือจะเอาขึ้น มันก็จะขึ้น แต่ความจริงแล้วมันเป็นเช่นนั้นเสมอไปหรือไม่
ตามปกติแล้วเราต้องเข้าใจก่อนว่า
เบื้องหลังของราคาหุ้น คือ กิจการที่ทำธุรกิจจริง มีคนทำงานจริงๆ ไม่ใช่ราคาที่ขึ้นๆ ลงๆ นั้นไม่มีอะไรมาอ้างอิง ถ้าเป็นแบบนั้นผมคิดว่ามันเข้าข่าย หุ้นปั่น
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จะรู้ว่า
ราคาหุ้นที่ขยับขึ้นนั้นมีเหตุผลเสมอ และตัวราคาหุ้นก็มี อัตราทด หรือ ค่า PE ที่เป็นตัวคูณกับผลกำไรต่อหุ้น หรือ EPS สูตรก็คือ
ราคาหุ้น (Prize) = กำไรต่อหุ้น (EPS) x ค่าความถูกแพงของหุ้น (PE)
ยกตัวอย่างเช่น หุ้นตัวหนึ่งมีกำไรต่อหุ้นหรือ EPS 1 บาทต่อหุ้น และมีการเติบโตราว 5-10% ต่อปี ทำให้คนในตลาดให้ค่า PE 10 เท่า ดังนั้นราคาหุ้นที่ควรจะเป็น คือ
ราคาหุ้น = 1 x 10 = 10 บาทต่อหุ้น นั่นเอง
หากตลาดให้ค่าความถูกแพงเท่าเดิม แต่กำไรต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นก็จะขยับไปที่ 20 บาทต่อหุ้นทันที หรือขยับไป 1 เท่า
จากทฤษฏีนี้ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่จะทำให้ราคาหุ้นขยับปรับตัวก็คือ กำไรต่อหุ้น หรือค่า EPS นั่นเอง
โดยค่ากำไรต่อหุ้นนี้มีเบื้องหลังก็คือ การทำงานของเจ้าของกิจการคอยหนุนอยู่
ด้วยเหตุนี้ถ้านักลงทุนต้องการมองหาหุ้นที่กำลังจะวิ่ง ต้องประมาณกำไรต่อหุ้นในอนาคตออกมาให้ได้ แล้วประเมินความเป็นไปได้ว่ามันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
หลังจากนั้นก็มาดูราคา และค่าความถูกแพงของหุ้นว่าเหมาะสมหรือไม่ สะท้อนอนาคตไปหรือยัง และมีส่วนเผื่อความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน จึงตัดสินใจลงทุน และรอจนกว่ากำไรจะมา
นั่นแหละครับ เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลต่อกันเสมอ สำหรับหุ้นบางตัวที่ขึ้นไปโดยไม่มีฐานของผลประกอบการมารองรับ
คงไม่ต้องบอกนะครับว่าหนีให้ห่างเข้าไว้จะดีที่สุด
แล้วถือหุ้นกี่ตัวจึงจะเหมาะสม
กับคำถามที่ว่า
ถือหุ้นกี่ตัวในพอร์ตจึงจะเหมาะสม จึงจะดีนั้น
ผมเข้าใจว่ามันต้องขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของนักลงทุนแต่ละท่าน และจังหวะเวลา หรือสภาพตลาดหุ้นในห้วงนั้นๆ ประกอบกันด้วย
ผมเคยถือหุ้นเพียงตัวเดียวทั้งพอร์ต ด้วยความที่รู้สึก มั่นใจ กับหุ้นตัวนั้นมาก อาจจะมั่นใจมากเกินไป
แต่ผมโชคดีที่หุ้นที่ผมถือมันขึ้นเกินกว่า 100% จึงทำให้ผมเริ่มทยอยขายหุ้นออกไปบางส่วน
จากประสบการณ์ที่ถือหุ้นตัวเดียวทั้งพอร์ตเป็นจำนวนมาก (ปัจจุบันถือหุ้นทั้งพอร์ตราวๆ 3-5 ตัว) ผมพบว่า
มันค่อนข้างจะ น่าเบื่อ หมายความว่า ตอนนั้นผมใช้เงินทั้งหมดไปซื้อหุ้นเพียงตัวเดียว และไม่มีเงินเหลือไปซื้อหุ้นตัวอื่นเลย
แม้ผมจะพยายามมองหาหุ้นตัวอื่นๆ เพื่อลงทุนบ้าง แต่การที่ผมถือหุ้นเพียงตัวเดียว ทำให้ความรู้สึกที่จะ ขุดหุ้น หาหุ้นตัวใหม่ๆ น้อยลง หรือกระตือรือร้นน้อยลงไปนั่นเอง
ปัจจุบันผมถือหุ้นมากกว่า 1 ตัวในพอร์ต แต่จะไม่ให้เกิน 5 ตัว เพราะเกรงจะติดตามไม่ไหว ผมกลับพบว่า ผมรู้สึก สนุก ที่ได้ติดตามกิจการใหม่ๆ ได้เห็นไอเดียการทำธุรกิจ จากเจ้าของกิจการ ทำให้ผมกระตือรือร้นมากขึ้น และขยันมากกว่าตอนที่ถือหุ้นเพียงตัวเดียวทั้งพอร์ต
ว่าที่จริงการถือหุ้นเพียงตัวเดียวทั้งพอร์ตนั้นถือเป็นเรื่องที่ อันตราย นอกจากคุณจะมั่นใจจริง ๆ สามารถตีแตกหุ้นที่คุณเข้าใจมันเป็นอย่างดี และแน่นอนที่สุดว่าผมไม่แนะนำให้มือใหม่ทำแบบนี้ เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์นั้นมีความหมาย
ถ้าถามว่า
ควรจะถือหุ้นกี่ตัวดี ผมขอตอบว่า ไม่ควรเกิน 5 ตัวในพอร์ต ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเหมาะสมกำลังดีสำหรับการติดตามความเป็นไปของกิจการ เพราะหากเราไม่ติดตามกิจการที่มันมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เราอาจจะพลาด หุ้นตกลงมา โดยเราไม่รู้ว่าทำไม นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นสำหรับนักลงทุนระยะยาวนั่นเองครับ
#นายแว่นลงทุน
เพื่อนๆ ใครมีบ้าน คอนโด ที่ดินเปล่า มาโพสขายได้ที่นี่ฟรีนะครับ//www.topofliving.com/property-exchange/
#หนังสือเสียง
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นโตเร็ว
หนังสือ นายแว่นฯ มี audio book ด้วยนะครับ
คลิ๊กหนังสือเสียงที่นี่เลยครับ
แนะนำหนังสือ
เก็บหุ้นสร้างพอร์ต สไตล์ VI โต 10 เท่าในสิบปี
หนังสือเล่มนี้ เก็บหุ้นสร้างพอร์ตสไตล์วีไอ ผมเขียนขึ้นมาในช่วงที่ยากลำบากช่วงหนึ่งของตลาดหุ้นไทย คือเป็นช่วงตลาดไม่ไปไหนเลย หรือ Sideway นั่นเอง การลงทุนในภาวะตลาดแบบนี้ย่อมทำให้หลายคนรู้สึก อึดอัด ได้ไม่ยาก
แต่ในภาวะแบบนี้ก็มีข้อดีของมัน
ข้อดีดังกล่าวก็คือ
การที่ตลาดไม่ไปไหน แต่แรงเก็งกำไรยังคงมีอยู่ มันเปิดโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวเก็บหุ้นกอดเอาไว้ กินปันผลไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ หรือแม้แต่นักลงทุนระยะสั้นๆ ก็สามารถทำกำไรได้หากเรามองพื้นฐานออก และมองแนวโน้มของราคาเป็น ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้มีทั้งสองเรื่องราวดังกล่าวอย่าง ครบถ้วน#NaiwaenInvestment
อ่านเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ How to การบริหารจัดการเงิน อสังหา คลิ๊กอ่านที่นี่เลยครับ
[เกี่ยวกับผู้เขียน]
นายแว่นธรรมดา หนึ่งในกูรูหุ้น FINOMENA และผู้ก่อตั้ง //www.topofliving.com ผู้เขียนหนังสือ ลงทุนหุ้นโตเร็ว และหนังสือขายดี กลยุทธุ์จับจังหวะลงทุนหุ้น ปัจจุบันเป็นนักลงทุนอิสระ นักเขียนอิสระ ขอถ่ายทอดความรู้ด้านการลงทุน เผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ทุกคนนะครับ
ติดต่อนายแว่นธรรมดาได้ที่นี่ครับ naiwaentammada@gmail.com