พัฒนาชีวิตด้วยปัญญา และความดี
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2560
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
24 สิงหาคม 2560
 
All Blogs
 

‪#บันทึกการลงทุน “ผลตอบแทนจากการลงทุนในยุคดอกเบี้ยต่ำ กับการลงทุนหุ้น”



ในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำแบบนี้การนำเงินไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอย่างแน่นอน การมองหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหมาะสมจึงเป็นอะไรที่นักลงทุนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา … ผมลองคิดเล่นๆ ว่าหากซื้อ ‪#‎หุ้นรถไฟฟ้า ณ.ตอนนี้ 1 ล้านหุ้น เป็นตัวตั้ง จะใช้เงินราว 7-8 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีกำไรต่อหุ้นราวๆ 0.20 บาทต่อหุ้น (เป็นตัวเลขสมมติ) ถ้าหากเงินปันผล 50% ของกำไรก็ตกราว 0.10 บาทต่อหุ้น หรือถ้าเรามี 1 ล้านหุ้น = 1 แสนบาทต่อปี

หากเราถือไว้ 3-5 ปี หากราคาปรับตัวขึ้นสองเท่าตัวจากราคา ณ.ตอนนั้นควรมีกำไร 0.50 บาทต่อหุ้น ปันผลราวๆ 0.25 บาทต่อหุ้น หากเราคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินต้นที่เราซื้อไว้ ณ.วันนี้เกินกว่า 50% (รวมส่วนต่างราคา และเงินปันผลที่ได้รับ) … ตราบใดที่ผู้คนยังใช้ “รถไฟฟ้า” โดยสารเดินทาง และยังคงขับรถขึ้น “ทางด่วน” … กิจการนี้ก็เก็บเงินสดได้ทุกวันตลอด 360 วัน เราก็น่าจะได้รับ “เงินปันผล” เป็นผลตอบแทนจากการลงทุนได้เรื่อยๆ …

เทียบกับการลงทุนรูปแบบอื่นๆ

ลองเปรียบเทียบกับการที่เราไปซื้อคอนโดมิเนียมแล้วปล่อยเช่าในราคาใกล้เคียงกัน ยกตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมราคา 8 แสนบาทต่อยูนิต เราซื้อไว้ 10 ยูนิต ใช้เงินราว 8 ล้านบาทพอๆ กัน หากเราปล่อยเช่าได้ราว 3,000 – 5,000 บาทต่อห้อง ก็จะมีรายได้ต่อปีที่ 360,000 – 600,000 บาทต่อปี

ผมไม่ได้บอกอย่างเจาะจงว่าลงทุนแบบไหนดูจะคุ้มค่ากว่ากัน แต่ลองเก็บไปคิดเล่นๆ ซักทีคงไม่เสียหายอะไรนะครับ เพราะทุกวันนี้ดอกเบี้ยต่ำ “ติดดิน” ทำให้นักลงทุนต้องมองหาทางเลือกไว้หลายๆ ทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนที่สามารถ “เอาชนะเงินเฟ้อ” มีการเติบโตในระยะยาวอย่างมั่นคงนั่นเองครับ (การลงทุนทั้งสองแบบที่กล่าวมาสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ครับ)

ราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

เมื่อเราคิดจะลงทุนในหุ้นเรา สิ่งที่นักลงทุนติดตามเป็นอันดับแรกๆ ก็คือ “ราคาหุ้น” จากประสบการณ์การลงทุนของผมนั้น … เวลาทีหุ้นปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนที่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึก หรือไม่ได้ติดตามหุ้นตัวที่ขึ้นมักจะงงว่าทำไมราคาหุ้นจึงขยับขึ้น … หลายคนคิดไปว่า หุ้นมีเจ้ามือ ถ้าเจ้ามือจะเอาขึ้น มันก็จะขึ้น แต่ความจริงแล้วมันเป็นเช่นนั้นเสมอไปหรือไม่…

ตามปกติแล้วเราต้องเข้าใจก่อนว่า… เบื้องหลังของราคาหุ้น คือ กิจการที่ทำธุรกิจจริง มีคนทำงานจริงๆ ไม่ใช่ราคาที่ขึ้นๆ ลงๆ นั้นไม่มีอะไรมาอ้างอิง ถ้าเป็นแบบนั้นผมคิดว่ามันเข้าข่าย “หุ้นปั่น”

สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จะรู้ว่า… ราคาหุ้นที่ขยับขึ้นนั้นมีเหตุผลเสมอ และตัวราคาหุ้นก็มี “อัตราทด” หรือ ค่า PE ที่เป็นตัวคูณกับผลกำไรต่อหุ้น หรือ EPS สูตรก็คือ

ราคาหุ้น (Prize) = กำไรต่อหุ้น (EPS) x ค่าความถูกแพงของหุ้น (PE)

ยกตัวอย่างเช่น หุ้นตัวหนึ่งมีกำไรต่อหุ้นหรือ EPS 1 บาทต่อหุ้น และมีการเติบโตราว 5-10% ต่อปี ทำให้คนในตลาดให้ค่า PE 10 เท่า ดังนั้นราคาหุ้นที่ควรจะเป็น คือ …

ราคาหุ้น = 1 x 10 = 10 บาทต่อหุ้น นั่นเอง

หากตลาดให้ค่าความถูกแพงเท่าเดิม แต่กำไรต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นก็จะขยับไปที่ 20 บาทต่อหุ้นทันที หรือขยับไป 1 เท่า

จากทฤษฏีนี้ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่จะทำให้ราคาหุ้นขยับปรับตัวก็คือ “กำไรต่อหุ้น” หรือค่า EPS นั่นเอง … โดยค่ากำไรต่อหุ้นนี้มีเบื้องหลังก็คือ การทำงานของเจ้าของกิจการคอยหนุนอยู่ …

ด้วยเหตุนี้ถ้านักลงทุนต้องการมองหาหุ้นที่กำลังจะวิ่ง ต้องประมาณกำไรต่อหุ้นในอนาคตออกมาให้ได้ แล้วประเมินความเป็นไปได้ว่ามันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน …

หลังจากนั้นก็มาดูราคา และค่าความถูกแพงของหุ้นว่าเหมาะสมหรือไม่ สะท้อนอนาคตไปหรือยัง และมีส่วนเผื่อความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน จึงตัดสินใจลงทุน และรอจนกว่ากำไรจะมา …

นั่นแหละครับ เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลต่อกันเสมอ สำหรับหุ้นบางตัวที่ขึ้นไปโดยไม่มีฐานของผลประกอบการมารองรับ … คงไม่ต้องบอกนะครับว่าหนีให้ห่างเข้าไว้จะดีที่สุด

แล้วถือหุ้นกี่ตัวจึงจะเหมาะสม

กับคำถามที่ว่า… ถือหุ้นกี่ตัวในพอร์ตจึงจะเหมาะสม จึงจะดีนั้น … ผมเข้าใจว่ามันต้องขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของนักลงทุนแต่ละท่าน และจังหวะเวลา หรือสภาพตลาดหุ้นในห้วงนั้นๆ ประกอบกันด้วย …

ผมเคยถือหุ้นเพียงตัวเดียวทั้งพอร์ต ด้วยความที่รู้สึก “มั่นใจ” กับหุ้นตัวนั้นมาก อาจจะมั่นใจมากเกินไป… แต่ผมโชคดีที่หุ้นที่ผมถือมันขึ้นเกินกว่า 100% จึงทำให้ผมเริ่มทยอยขายหุ้นออกไปบางส่วน …

จากประสบการณ์ที่ถือหุ้นตัวเดียวทั้งพอร์ตเป็นจำนวนมาก (ปัจจุบันถือหุ้นทั้งพอร์ตราวๆ 3-5 ตัว) ผมพบว่า … มันค่อนข้างจะ “น่าเบื่อ” หมายความว่า ตอนนั้นผมใช้เงินทั้งหมดไปซื้อหุ้นเพียงตัวเดียว และไม่มีเงินเหลือไปซื้อหุ้นตัวอื่นเลย …

แม้ผมจะพยายามมองหาหุ้นตัวอื่นๆ เพื่อลงทุนบ้าง แต่การที่ผมถือหุ้นเพียงตัวเดียว ทำให้ความรู้สึกที่จะ “ขุดหุ้น” หาหุ้นตัวใหม่ๆ น้อยลง หรือกระตือรือร้นน้อยลงไปนั่นเอง

ปัจจุบันผมถือหุ้นมากกว่า 1 ตัวในพอร์ต แต่จะไม่ให้เกิน 5 ตัว เพราะเกรงจะติดตามไม่ไหว ผมกลับพบว่า ผมรู้สึก “สนุก” ที่ได้ติดตามกิจการใหม่ๆ ได้เห็นไอเดียการทำธุรกิจ จากเจ้าของกิจการ ทำให้ผมกระตือรือร้นมากขึ้น และขยันมากกว่าตอนที่ถือหุ้นเพียงตัวเดียวทั้งพอร์ต …

ว่าที่จริงการถือหุ้นเพียงตัวเดียวทั้งพอร์ตนั้นถือเป็นเรื่องที่ “อันตราย” นอกจากคุณจะมั่นใจจริง ๆ สามารถตีแตกหุ้นที่คุณเข้าใจมันเป็นอย่างดี และแน่นอนที่สุดว่าผมไม่แนะนำให้มือใหม่ทำแบบนี้ เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์นั้นมีความหมาย

ถ้าถามว่า… ควรจะถือหุ้นกี่ตัวดี ผมขอตอบว่า ไม่ควรเกิน 5 ตัวในพอร์ต ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเหมาะสมกำลังดีสำหรับการติดตามความเป็นไปของกิจการ เพราะหากเราไม่ติดตามกิจการที่มันมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เราอาจจะพลาด หุ้นตกลงมา โดยเราไม่รู้ว่าทำไม นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นสำหรับนักลงทุนระยะยาวนั่นเองครับ …

#นายแว่นลงทุน

เพื่อนๆ ใครมีบ้าน คอนโด ที่ดินเปล่า มาโพสขายได้ที่นี่ฟรีนะครับ//www.topofliving.com/property-exchange/

#หนังสือเสียง … “กลยุทธ์ลงทุนหุ้นโตเร็ว”
หนังสือ นายแว่นฯ มี audio book ด้วยนะครับ … คลิ๊กหนังสือเสียงที่นี่เลยครับ

แนะนำหนังสือ

เก็บหุ้นสร้างพอร์ต สไตล์ VI – โต 10 เท่าในสิบปี

หนังสือเล่มนี้ “เก็บหุ้นสร้างพอร์ตสไตล์วีไอ” ผมเขียนขึ้นมาในช่วงที่ยากลำบากช่วงหนึ่งของตลาดหุ้นไทย คือเป็นช่วงตลาดไม่ไปไหนเลย หรือ Sideway นั่นเอง การลงทุนในภาวะตลาดแบบนี้ย่อมทำให้หลายคนรู้สึก “อึดอัด” ได้ไม่ยาก … แต่ในภาวะแบบนี้ก็มีข้อดีของมัน … ข้อดีดังกล่าวก็คือ … การที่ตลาดไม่ไปไหน แต่แรงเก็งกำไรยังคงมีอยู่ มันเปิดโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวเก็บหุ้นกอดเอาไว้ กินปันผลไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ หรือแม้แต่นักลงทุนระยะสั้นๆ ก็สามารถทำกำไรได้หากเรามองพื้นฐานออก และมองแนวโน้มของราคาเป็น ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้มีทั้งสองเรื่องราวดังกล่าวอย่าง “ครบถ้วน”#NaiwaenInvestment

อ่านเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ How to การบริหารจัดการเงิน อสังหา “คลิ๊กอ่านที่นี่เลยครับ”

[เกี่ยวกับผู้เขียน]

นายแว่นธรรมดา stand top of living“นายแว่นธรรมดา” หนึ่งในกูรูหุ้น FINOMENA และผู้ก่อตั้ง //www.topofliving.com ผู้เขียนหนังสือ “ลงทุนหุ้นโตเร็ว” และหนังสือขายดี “กลยุทธุ์จับจังหวะลงทุนหุ้น” ปัจจุบันเป็นนักลงทุนอิสระ นักเขียนอิสระ ขอถ่ายทอดความรู้ด้านการลงทุน เผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ทุกคนนะครับ

ติดต่อนายแว่นธรรมดาได้ที่นี่ครับ  naiwaentammada@gmail.com

Top Banner




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2560
0 comments
Last Update : 24 สิงหาคม 2560 15:18:05 น.
Counter : 715 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ตี๋2555
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 165 คน [?]




สวัสดีครับผม "นายแว่นธรรมดา" ผู้เขียนหนังสือขายดี "รวยหุ้นแบบ VI ไม่เสี่ยง" หนังสือ "หุ้น 5 พารวย" และเป็นผู้ก่อตั้ง http://www.naiwaen.com เว็บไซค์การลงทุนในหุ้น กองทุนรวม และ Money Market อีกมากมาย
และ http://www.topofliving.com เว็บไซค์เกี่ยวกับการเลือกซื้อบ้านหลังแรก การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยนิยามส่วนตัวก็คือ ทำให้ความมั่งคั่ง กลายเป็นเรื่อง "สนุก"
หากต้องการข้อมูลข่าวสารการลงทุนอย่างรวดเร็ว และเชื่อถือได้ แวะไปกด LIKE ที่นี่นะครับ https://www.facebook.com/NaiwaenTammada

ผมยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่าน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
Free counters!
New Comments
Friends' blogs
[Add ตี๋2555's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.