#จับหุ้นทำเงิน : หุ้นรถไฟฟ้า ยังน่าลงทุนหรือไม่
การเป็นนักลงทุนที่ดี สิ่งที่ควรทำก็คือ มองภาพอนาคตให้ออก การมองภาพอนาคตให้ออกนั้น บางครั้งไม่ต้องอาศัยความคิดที่ซับซ้อนจนเกินไป แค่เราเห็นว่าในต่างประเทศมีอะไรพัฒนาขึ้นมาบ้าง และประเทศไทยยังไม่มีอะไร ด้วยความคิดแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เราจับเทรนด์อนาคตได้บ้างแล้วครับ
เมื่อเรามองเห็นเทรนด์ในอนาคต หน้าที่ต่อไปก็คือ เราต้องพลิกหินหาหุ้นเด้ง หรือ ขุดหาหุ้น ที่จะกลายเป็นหุ้นเด้งในอนาคต ซื้อถือ และลงทุนกับกิจการเหล่านั้นไปยาวๆ โดยหนึ่งในหุ้นที่น่าจะมีอนาคตสดใสก็คือ หุ้นรถไฟฟ้าเนื่องจากตัวผมเองเคยเดินทางไปเห็นรถไฟฟ้าใต้ดินที่กรุงโตเกียว และทำให้เห็นภาพชัดเจนเลยว่าประเทศไทยก็จะเป็นแบบนี้ในอนาคตอย่างแน่นอน เรามาดูกันดีกว่าครับว่า หุ้นรถไฟฟ้าจะเป็นอนาคตของประเทศไทยได้อย่างไร
มองอนาคตอันใกล้ของหุ้นรถไฟฟ้า BTS
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าในปัจจุบัน (2560) บีทีเอสได้ขายรายได้จากการเก็บเงินค่าโดยสารรถไฟฟ้าเข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน btsgif เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้รายได้ของบีทีเอสนั้นมาจากเงินปันผลจากกองทุนรวม บวกกับเงินค่าโฆษณาในระบบบีทีเอสทีได้จาก VGI และเงินรายได้จากบัตร Rabbit Card รายได้จากการสร้างคอนโดมิเนียมขาย และอื่นๆ (มีร้านอาหารด้วนะครับ) ซึ่งผมคงไม่แจกแจงหมด เพราะหาอ่านได้ในแบบ 56-1 ที่บริษัทได้ระบุไว้แล้ว
สำหรับข้อมูลการเติบโตของผู้โดยสารรถไฟฟ้า bts ที่ถูกขายให้กองทุน btsgif แม้จะเป็นข้อมูลเก่าปี 2014 แต่จะเห็นได้ว่าจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจนทะลุ 7 แสนเที่ยวต่อวัน โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วนที่อาจมีตัวเลขสูงมากกว่านี้ก็เป็นไปได้
เมื่อผู้โดยสารทะลุ จุดคุ้มทุน หรือ Break Even Point รายได้ที่จัดเก็บแทบจะถูกแปลงเป็นกำไรทั้งหมด โดยล่าสุด BTS มี EBIT Margin (%) สูงถึง 30-40% โดยรายได้ของ bts สังเกตเห็นว่าเก็บค่าโดยสารได้เท่าไร แทบแปลงเป็นกำไรทั้งหมด นี่คือ โมเดลรถไฟฟ้าที่เลยจุดคุ้มทุนไปแล้ว? ซึ่ง Net margin ที่สูงถึง 20% ทำให้ bts มีกำไรสูง และเนื่องจากมีเงินสดเหลือเยอะ และนำไปลงทุนในตราสารต่างๆ จนมีกำไรกลับมาบันทึกบรรทัดสุดท้ายเป็นกำไรสุทธิ
ดังนั้น อนาคตของบีทีเอส จึงขึ้นอยู่กับเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ซึ่งได้แก่ สายสีชมพู และสายสีเหลือง ซึ่งต้องบอกว่าบีทีเอสคงต้องใช้เม็ดเงินอีกพอสมควรในการลงทุนรอบใหม่ ใครสามารถถือระยะยาว และอดทนรอคอยความสำเร็จของบีทีเอสได้ ก็น่าสนใจในมุมมองของคนลงทุนยาวๆ ครับ
สำหรับ BEM
สำหรับหุ้นรถไฟฟ้าอีกตัวก็คือ BEM ซึ่งหุ้นตัวนี้มีกิจการสองอย่างในบริษัทเดียวกัน ได้แก่ ทางด่วน และ รถไฟฟ้าใต้ดิน
มาดูกิจการทางด่วน ต้องถือว่าเลยจุดคุ้มทุนไปนานแล้ว และเป็นกิจการสร้างกระแสเงินสดอย่างแท้จริง โดยแต่ละวันมีรถยนต์มาใช้บริการทางด่วนกว่า 1.2 ล้านคัน แม้จะเก็บเงินได้เรื่อยๆ แต่ด้วยความเป็นระบบสัมปทาน ก็ต้องแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และที่สำคัญสัญญาสัมปทานกำลังจะหมดลงเร็วๆ นี้ คงต้องไปลุ้นกันว่าจะต่ออายุหรือไม่ อย่างไร?
สำหรับกิจการรถไฟฟ้าใต้ดินรอวันที่ bem เลยจุดคุ้มทุน (Break Even Point) แล้วเริ่มผลิตกระแสเงินสดแบบ bts คาดว่าน่าจะอีกซักระยะ เมื่อมีการเชื่อมต่อ 1 สถานีระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเดิม กับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ทำให้จำนวนผู้โดยสาร mrt เพิ่มขึ้นราว 20,000 40,000 เที่ยวต่อวัน ถ้ามีการเชื่อมกันจนครบลูปเป็นวงกลมของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน จะทำให้เลยจุดคุ้มได้ไม่ยาก
สถิติจำนวนเที่ยวโดยสารรถไฟฟ้าทะลุ 3 แสนคนแล้ว เป็น new high ได้สัมปทานสีน้ำเงินเต็มลูป ถ้าตามกฏต้องบันทึกสินทรัพย์ที่เป็นสัญญาสัมปทานภายใน 21 วัน (สัญญาสัมปทานได้มาเมื่อราวเดือนสิงหาคม 2560) ซึ่ง เบม เลือกที่จะบันทึกแบบตลอดอายุสัมปทาน และการที่สัญญาสัมปทานยาวขึ้น ทำให้ เบม ลดค่าเสื่อมราคาลงค่อนข้างมาก ทำให้กำไรสุทธิในบรรทัดสุดท้ายดีขึ้นได้ไม่ยาก
สำหรับผมแล้ว หากรถไฟฟ้าที่ยังไม่เคยทำกำไรให้เบมเลย ถึงจุดคุ้มทุน และเริ่มทำกำไร จะทำให้กิจการดีขึ้นอย่างมาก เพราะการที่รถไฟฟ้ามีคนมาใช้บริการมากขึ้น จะทำให้พื้นที่เช่า และจุดที่เป็นป้ายโฆษณาในระบบเดินรถไฟฟ้าดีตามไปด้วย ซึ่งเบมมีบริษัทลูก คือ BMN ที่ยังเติบโตได้อีกมาก เพราะคนไทยยังไม่ค่อยมี Life Style ในระบบเดินรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่เหมือนกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นที่บางช่วงคนเดินในระบบใต้ดินเยอะกว่าบนถนนเสียอีก
นอกจากนั้น เบม ยังลงทุนในหุ้น CKP และ TTW ซึ่งเป็นหุ้นโรงไฟฟ้า และหุ้นผลิตน้ำประปา โดยเฉพาะการลงทุนใน CKP ที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ยังเดินเครื่องไม่เต็มที่ เมื่อโรงไฟฟ้าพลังน้ำเดินเต็มกำลังเมื่อไร ก็จะกลายเป็น เครื่องปั้มเงิน ให้กับ เบม ได้ไม่ยาก
ข้อสรุปของการลงทุนในหุ้นรถไฟฟ้าก็คือ ผมเข้าใจว่าเป็นหุ้นเติบโตที่มีอนาคต แต่การเติบโตต้องใช้เวลา เป็นหุ้นที่เหมาะกับคนที่ชอบลงทุนยาวๆ และมีความอดทนสูง ใครสนใจหุ้นกลุ่มนี้ค่อยๆ ศึกษาไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะพบจุดเด่นจุดด้อย ที่สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองจะดีที่สุดครับ
#นายแว่นลงทุน
เพื่อนๆ ใครมีบ้าน คอนโด ที่ดินเปล่า มาโพสขายได้ที่นี่ฟรีนะครับhttps://www.topofliving.com/property-exchange/
#หนังสือเสียง
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นโตเร็ว
หนังสือ นายแว่นฯ มี audio book ด้วยนะครับ
คลิ๊กหนังสือเสียงที่นี่เลยครับ
แนะนำหนังสือ
เก็บหุ้นสร้างพอร์ต สไตล์ VI โต 10 เท่าในสิบปี
หนังสือเล่มนี้ เก็บหุ้นสร้างพอร์ตสไตล์วีไอ ผมเขียนขึ้นมาในช่วงที่ยากลำบากช่วงหนึ่งของตลาดหุ้นไทย คือเป็นช่วงตลาดไม่ไปไหนเลย หรือ Sideway นั่นเอง การลงทุนในภาวะตลาดแบบนี้ย่อมทำให้หลายคนรู้สึก อึดอัด ได้ไม่ยาก แต่ในภาวะแบบนี้ก็มีข้อดีของมัน ข้อดีดังกล่าวก็คือ การที่ตลาดไม่ไปไหน แต่แรงเก็งกำไรยังคงมีอยู่ มันเปิดโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวเก็บหุ้นกอดเอาไว้ กินปันผลไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ หรือแม้แต่นักลงทุนระยะสั้นๆ ก็สามารถทำกำไรได้หากเรามองพื้นฐานออก และมองแนวโน้มของราคาเป็น ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้มีทั้งสองเรื่องราวดังกล่าวอย่าง ครบถ้วน#NaiwaenInvestment
อ่านเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ How to การบริหารจัดการเงิน อสังหา คลิ๊กอ่านที่นี่เลยครับ
[เกี่ยวกับผู้เขียน]
นายแว่นธรรมดา หนึ่งในกูรูหุ้น FINOMENA และผู้ก่อตั้ง https://www.topofliving.com ผู้เขียนหนังสือ ลงทุนหุ้นโตเร็ว และหนังสือขายดี กลยุทธุ์จับจังหวะลงทุนหุ้น ปัจจุบันเป็นนักลงทุนอิสระ นักเขียนอิสระ ขอถ่ายทอดความรู้ด้านการลงทุน เผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ทุกคนนะครับ