เกษียณสุข มีเงินล้าน ดีจริงหรือ?
ทำงานมานานทำไมไม่มีเงินเก็บ ทำงานมานานทำไมเงินเก็บนิดเดียว แล้วเวลาไม่มีงานทำแล้ว หมดแรงทำงานแล้วจะหาเงินมาใช้จ่ายเติมเต็มชีวิตได้มากน้อยแค่ไหน?
คำถามข้างต้นบางคนก็เริ่มที่จะคิด เพราะเริ่มอยู่ในวัยที่ใกล้เกษียณแล้ว แต่บางคนอาจจะยังไม่ได้คิด เพราะคิดว่ามันยังไกลตัว แล้วจะเกษียณสุข มีเงินล้าน ทำได้จริงหรือ? เรามาพิจารณาเป็นข้อๆ ดีกว่าครับ
ข้อแรก เกษียณแล้วไม่จำเป็นต้องมีเงินมากก็ได้
สำหรับหลายคน คำว่าเงินอาจไม่ใช่ที่สุดของชีวิต เพียงแต่มีเงินมากพอที่จะไม่เป็นภาระคนรอบข้างก็พอใจละ คิดแบบนี้ก็ไม่เสียหายอะไรครับ เพราะความคิดมากเกินไปมักทำให้เราทุกข์ใจไปเปล่าๆ ถ้าเราไม่มีเงินมากพอ ยามเกษียณแล้ว เราอาจไม่ได้ทำงานประจำอะไรแล้ว แต่ถ้าเราพอหาเลี้ยงชีพเล็กๆ น้อยๆ เช่นขายของตามตลาดนัด หรือปลูกผักสวนครัว ทำเกษตรเล็กๆ ไว้พึ่งพาตนเองก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว แถมอาจจะสร้างความสุขให้กับเราอีกด้วย
ถ้าคิดแบบนี้เราก็แค่ พยายามเก็บเงินซักก้อน เอาไว้ต่อยอดชีวิตหลังเกษียณจากงานประจำก็พอแล้ว แต่อาจจะต้องรักษาสุขภาพควบคู่ไปด้วย เพราะหากเจ็บป่วยขึ้นมาจะเป็นปัญหาใหญ่ได้ แต่สำหรับคนที่คิดจะทำการเกษตรเพื่อพึ่งพาตนเอง ปลูกอาหารเป็นทุนชีวิต ความเจ็บป่วยอาจจะน้อยเพราะได้กินอาหารดีๆ ปลอดสารพิษ สรุปว่าคิดแบบนี้ก็ไม่เลวนะครับ
ข้อที่สอง เกษียณแล้วขอมีเงินแค่พอกินพอใช้ ไม่เป็นภาระลูกหลานก็พอ
คิดแบบนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน เพราะบางครั้งการดิ้นรนขวนขวายมากเกินไป อาจทำให้เราสะดุดหกล้มพลาดท่าเอาง่ายๆ คนเราไม่ได้เก่งเหมือนๆ กันทุกคนเสียหน่อย บางทีการที่เราแค่มีเงินพอกินพอใช้ ไม่เป็นภาระคนอื่นก็ดีแล้ว ถ้าแบบนี้เราก็ต้องวางแผนการเงินให้เหมาะสมกับความคิดของเรา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องปลอดหนี้สินที่เป็นภาระจ่าย ยามที่เราไม่มีเงินเดือนประจำแล้ว ลองวางแผนดีๆ เกษียณแบบนี้วางแผนไม่ยาก ไม่หนักมากเกินไป
ข้อที่สาม เกษียณแล้วมีเงินใช้ แถมยังเหลือส่งต่อให้ลูกหลาน
ถ้าคิดแบบนี้ก็ต้องวางแผนกันหน่อยครับ การวางแผนการเงินของแต่ละคนก็ขึ้นอยู่กับว่า เขาต้องการเงินใช้หลังเกษียณเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น อยากเกษียณแล้วมีเงินใช้เดือนละ 2 หมื่นบาท โดยเงินสองหมื่นอาจเป็นดอกผลจากการเก็บออม หรือเงินปันผลจากการลงทุน ไม่ต้องไปกินเงินต้น แล้วเงินต้นที่เหลือจะกลายเป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลานต่อไป
ถ้าแผนแบบนี้ เราควรมีเงินต้นที่สร้างผลตอบแทน 5-10% ต่อปี หากผลตอบแทน 10% ต่อปี แล้วเราต้องการเงินเดือนละ 2 หมื่น หรือปีละ 2.4 แสน หมายความว่าเราควรมีเงินต้นอย่างน้อย 2.4 ล้านบาท หรือหากเราได้ผลตอบแทนเพียง 5% เราก็ควรมีเงินต้น 4.8 ล้านบาทนั่นเอง
ส่วนวิธีการไปให้ถึงเป้าหมายก็มีหลายทาง ไม่ว่าจะเป็น ลงทุนกองทุนรวม ลงทุนหุ้น ลงทุนอสังหาปล่อยเช่า การที่เราจะเลือกวิธีไหนขึ้นอยู่กับความรู้ และความถนัดของเราเป็นสำคัญ
ถ้าสามข้อคิดจะเห็นว่า มันไม่มีอะไรที่ถูกต้องที่สุด ที่สำคัญคือ ความเหมาะสมของแต่ละชีวิตของคน ถ้าถามผมจากใจจริง ผมว่าเงินไม่ใช่คำตอบของชีวิต แต่ถ้าเราจำเป็นต้องใช้มัน เราก็ควรวางแผนเสียหน่อย แต่ไม่ควรไปซีเรียสเครียดขนาดทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข ความสุขจากการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายเป็นสิ่งที่งดงามสำหรับผม ลองหาความสุขจากการไม่มีสินทรัพย์มาเติมเต็มบ้าง แล้วเราจะรู้จักความสุขที่แท้จริงครับ
ถ้าอยากรู้ว่าชีวิตของเรามีคุณภาพดีจริงหรือไม่ ให้ตัดเอาสินทรัพย์หยาบๆ ออกไป เช่น เงินทอง ทรัพย์สมบัติต่างๆ แล้วดูใจเราแต่ละวันว่าเรารู้สึกดี หรือไม่ดีมากกว่ากัน เมื่อตัดเปลือกออกไปหมดแล้ว พบว่า ใจเรายังไม่สงบ แม้มีเงินมากมายก็ไม่อาจทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีมีสุขได้ แต่หากตัดเปลือกภายนอกออกหมดแล้ว เรายังมีความสงบ สุขใจ นั่นหมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของตัวเราเองอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ