Better to reign in Hell than serve in Heaven
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
7 กุมภาพันธ์ 2549
 
All Blogs
 

ความในใจของเกย์คนหนึ่ง (ถึงคนทั่วไป) ตอนที่ 19

บทความนี้คัดมาจากเรื่อง ความในใจของเกย์คนหนึ่ง (ถึงคนทั่วไป) ที่คุณวิศรุตแต่งขึ้น
โพสต์ครั้งแรกที่ห้องถนนนักเขียน
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4069971/W4069971.html


<<< ตอนที่ 18
ตอนที่ 20 >>>




พ.ศ. 2529

ขณะที่ผมกำลังต้องการเบรคชีวิตของตัวเองบ้าง มันก็ประจวบเหมาะกับ
ตอนที่ผมต้องไปแสดงผลงานที่โรงเรียนปทุมคงคา ซึ่งนับว่าเป็นการเบรคที่ดี
แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่ก่อนที่จะไปผมก็ไม่ลืม
ที่จะส่งคำประพันธ์ของผมเข้าประกวด

ผมจำเป็นต้องไปที่โรงเรียนปทุมคงคาทั้งหมด 4 วัน แล้วผมก็เลือกเอา
เครื่องกำเหนิดคลื่นไปแสดงนิทรรศการด้วย ผมยังจำได้อย่างแม่นยำว่า
วันแรกที่ผมนั่งรถตู้ของโรงเรียนเพื่อที่จะไปที่โรงเรียนปทุมคงคา
ผมยังอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่ยังค้างๆคาๆอยู่

ก่อนที่ผมจะไป ผมยังจำได้ถึงภาพของ อ.มานพที่เดินมาด้อมๆมองๆ
แถวหมวดพละเพื่อต้องการพบ "ใครบางคน" นึกถึงสีหน้าของพี่จอม
และพี่สุชาติเวลาที่เขานึกถึง "ใครบางคน" นึกถึงพี่อัสดาที่ชอบเดินมา
มองแป้นบาสที่พี่ภูวไนยชอบมาเล่น และผมเองก็ยังไม่เคยลืมศราวุธ
เลยตั้งแต่วันแรกที่เห็นเขาจวบจนกระทั่งบัดนี้ และผมก็ประจักษ์ชัดแล้วว่า
ลึกๆแล้วพวกเขาและผมก็ต้องการเพียง ... ใครสักคน

เคยมีบางคนที่ฟ้าบังเอิญให้เจอะกัน ให้ฉันนั้นเคลิ้มไป
เคยมีบางคนที่เข้ามาทำให้อุ่นใจ และคิดจะร่วมทาง
แต่พอไม่นานนัก แล้วเขาก็ไป
ไม่เคยมีคนไหนจริงจัง

เคยมีบางมือให้ฉันกุมมือเดินด้วยกัน แค่นั้นเขาก็ไป
และเคยมีแววตาที่ฉันเคยมองแล้วสุขใจ และแล้วก็ลากัน
จะมีสักคนไหมที่รักกันจริง
จะมีสักคนไหมคนที่เขาไม่จากไป

ฉันพร้อมให้เขาจนหมดใจ จะมีไหมสักคนที่เกิดมาเพื่อจะมาอยู่ด้วยกัน
ตื่นตอนเช้าก็ได้เห็นเขาก่อนใคร และมีเขาข้างกายเมื่อหลับตา
เขาคนเดียวเท่านั้นเอง
ที่ผูกพันเป็นตัวจริง มิใช่เพียงเจอกันเพื่อจากไป จะขอแค่เพียง ... ใครสักคน

จะมีสักคนไหมที่รักกันจริง
จะมีสักคนไหมคนที่เขาไม่จากไป

ฉันพร้อมให้เขาจนหมดใจ จะมีไหมสักคนที่เกิดมาเพื่อจะมาอยู่ด้วยกัน
ตื่นตอนเช้าก็ได้เห็นเขาก่อนใคร และมีเขาข้างกายเมื่อหลับตา
เขาคนเดียวเท่านั้นเอง

และตัวฉันฉันพร้อมให้เขาจนหมดใจ จะมีไหมสักคนที่เกิดมาเพื่อจะมาอยู่ด้วยกัน
ตื่นตอนเช้าก็ได้เห็นเขาก่อนใคร และมีเขาข้างกายเมื่อหลับตา
เขาคนเดียวเท่านั้นเอง
ที่ผูกพันเป็นตัวจริง มิใช่เพียงเจอกันเพื่อจากไป จะขอแค่เพียง ... ใครสักคน

=====================================================

ตอนที่ผมมาถึงโรงเรียนปทุมคงคาตอนนั้นยังเช้าอยู่เลย
พอผมเดินไปหาอะไรกินจนเรียบร้อย ผมก็เดินหาห้องที่ผมจะต้องจัดแสดง
นิทรรศการตลอดทั้ง 4 วัน พอหาห้องเจอผมก็เอาเครื่องกำเนิดคลื่นไปติดตั้ง

ดูไปดูมามันก็คล้ายๆระนาดเหมือนกันนะ ด้านหลังของผมเป็นกระดานดำ
สำหรับแสดงตัวอย่างการคำนวณหาความยาวคลื่น
พอติดตั้งอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ผมก็ลองซักซ้อมการบังคับเครื่อง
เพื่อให้กำเนิดคลื่นตามที่ตัวเองต้องการ
ขณะที่ผมกำลังดูจุดที่เรียกว่าบัพกับปฏิบัพอยู่นั้น

สายตาของผมก็มองผ่านคลื่นไปยังนักเรียนชายคนหนึ่งที่กำลังเดินมาอย่างเร่งรีบ
พร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆของเขาและก็กรงหนูที่มีหนูเม้าท์อยู่ประมาณ 5 ตัว
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขากำลังเตรียมการจัดแสดงการผ่าหนูให้ผู้ที่สนใจได้ชมกัน
เขาก็มาตั้งโต๊ะทางซ้ายมือของผม

ส่วนทางขวามือผมเป็นโต๊ะของเด็กผู้หญิงที่เตรียมการทดลองทางเคมีง่ายๆ
ให้กับผู้ที่สนใจศึกษา บางครั้งเธอก็ทำเหมือนกับแสดงมายากลเมื่อนำของเหลวใส
ไม่มีสีมาเทรวมกันแล้วมันกลายเป็นของเหลวสีเหลือง

พอเล่ามาถึงตรงนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความรู้สึกที่ผม
มีต่อเดชาและเดชามีต่อผม ผมกับเดชาเปรียบเสมือนของเหลวที่ใส
ไม่มีสี แต่พอเรามาเจอกันและเคมีลงตัว ชีวิตเราทั้งคู่ก็สดใสและมีสีสัน
โดยมีความรักอันบริสุทธิ์เป็นผู้แต่งแต้มให้

ผมขอบอกตรงๆว่าตอนนี้ที่ผมทำงานมากขนาดนี้ แต่ที่ผมยังทำมันได้
เพราะความรักของเดชาหล่อเลี้ยงไว้ เพราะการทำงานที่เยอะมากขนาดนี้
แค่เราชอบมัน แค่เงินที่ได้ หรือเกียรติที่ได้มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้
มนุษย์ธรรมดาอย่างผมอยากที่จะทำมันและอยากที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อ

ความรักของเดชาทำให้ผมมีกำลังใจที่จะทำสิ่งต่างๆได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
สำหรับผมแล้วถ้าผมไม่ได้ความรักจากเขาเงินกับเกียรติก็จะกลายเป็น
สิ่งที่แห้งแล้งและเหี่ยวเฉา ผมว่าคนที่เคยมีความรักประเภทนี้ย่อมเข้าใจ
ในรักทุกรูปแบบ แต่คนที่ไม่เข้าใจนั้น เขาคงแค่แต่งงาน มีลูก เลี้ยงลูก
และบังคับให้ลูกแต่งงาน พวกเราคงยอมรับกันได้นะครับว่า
คนเราสามารถที่จะทำอย่างนี้ได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีความรักมาเกี่ยวข้อง
สำหรับผม รักย่อมเข้าใจในรักครับ

ขณะที่ผมกำลังจัดเครื่องกำเนิดคลื่น คลื่นหัวใจของผมก็รู้สึกแปลกๆ
เมื่อได้เห็นหนุ่มนักชีวะ ผมฉงนสนเท่ห์ในความรู้สึกตามธรรมชาติของตัวเอง
ในใจผมยังมีศราวุธอยู่นะ แต่ทำไมผมจึงรู้สึกปลกๆกับหมอนี่ตั้งแต่แรกเห็น
ขณะที่ผมกำลังเล่าเรื่องอยู่นี้ ผมกลับคิดว่า

ชีวิตในช่วง 4 วันนี้มันไม่ได้ต่างอะไรกับชีวิตของฟรานเชสก้า จอร์นสัน
ในเรื่อง The Bridges of Madison County ที่เธอมีสามีและลูกๆอยู่แล้ว
แต่มีอยู่ช่วง 4 วันที่สามีและลูกๆต้องไปจัดแสดงนิทรรศการที่ต่างเมือง

และโชคชะตาก็นำพาให้เธอต้องมาพบกับโรเบิร์ต คินเคตช่างภาพจาก
National Geography และทั้งคู่รู้สึกเหมือนกับว่าอีกคนหนึ่งคือ
จิตวิญญาณที่หล่นหายของกันและกัน และพวกเขามีเวลาเพียงแค่ 4 วัน
ในการอยู่ด้วยกันและซึมซับความรู้สึกดีๆเหล่านั้นไว้จนชั่วชีวิต

ชีวิตของผมในช่วงนั้นคงไม่โรแมนติกเท่ากับทั้งคู่ แต่มันก็ทำให้ผมต้องสงสัย
กับความรู้สึกของตัวเอง ในช่วงแรกผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดคุยกับเขา
แต่ในที่สุดผมก็ทำไม่ได้

โชคชะตาได้เล่นตลกกับผมอีกแล้ว เจตนาที่ผมมาที่โรงเรียนแห่งนี้
เพื่อที่จะเบรคความรู้สึกในเรื่องรักๆไคร่ๆคงต้องเลิกล้มไปโดยที่ผมก็
ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น แต่การที่ผมได้พบ ได้คุยและได้ร่วมคิดกับเขา
ทำให้เกิดผลบางอย่างในช่วงกีฬาสีและวิชาสังคมในชั้น ม.4
จนทำให้ผมต้องตัดสินใจสอบเทียบทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดอยากที่จะสอบเทียบมาก่อน

ช่วงนั้นกระแสความฮิตในการสอบเทียบ ม.6 ของนักเรียนชั้น ม.ปลาย
กำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและลุกลามไปใหญ่โตจนครอบคลุมโรงเรียนมัธยม
จนเกือบจะทั่งกรุงเทพฯ และยังเลยเถิดไปถึงโรงเรียนในต่างจังหวัดบางแห่งอีกด้วย

ขณะที่ผมกำลังลอบมองเขาเตรียมอุปกรณ์ของตัวเองอยู่ เขาก็หันมาสบตากับผม
โดยบังเอิยแล้วยิ้มให้ นัยน์ตาคู่นั้นช่างชวนฝันเป็นที่สุด ใบหน้าของเขาคมคาย
คิ้วเข้มตัดกับสีผิวที่ขาวของเขา เขายิ้มให้ผม แต่ผมรีบหลบสายตา ผมยังนึกในใจเลยว่า

"ทำแบบนี้เดี๋ยวเขาก็รู้หรอกว่าเราเป็นเกย์"

จนกระทั่งบัดนี้ผมยังไม่มีหลักฐานใดๆที่จะสรุปว่าเขาเป็นเกย์หรือไม่
แต่ผมก็ประทับใจกับยิ้มแรกของเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย

หลังจากผมหลบสายตาเขาแล้ว ผมก็ตั้งหน้าตั้งตามองแต่คลื่นอยู่ข้างหน้าผม
ในช่วงนั้นมันเหมือนกับว่าผมกำลังทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ

"บัพ ปฏิบัพ บัพ ปฏิบัพ บัพ ปฏิบัพ ... "

แต่แล้วสิ่งที่ไมได้คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาคนนั้นเดินมาที่โต๊ะของผมและกล่าวคำทักทาย

"สวัสดีครับ"

=====================================================

พ.ศ. 2543

ตอนนั้นผมทำงานแล้วและมีผู้หญิงคนนึงมาจีบผม ใจจริงผมไม่อยากจะมีอะไรกับเธอหรอก
แต่เพราะช่วงนั้นสังคมเอาความคิดบางอย่างมาใส่หัวว่าเกย์สามารถที่จะเลิกได้
ผมก็เลยลองคบกับเธอดู เพราะอยากจะตอบแทนบุญคุณของพ่อกับแม่
แต่พอเธอพยายามจะรุกให้ผมมีอะไรกับเธอก่อนแต่ง
ผมก็พยายามทุกวิถีทางที่จะตีตัวออกห่าง และก็สามารถทำได้สำเร็จ

แต่หลังจากนั้นกลับมีข่าวลือว่า ผมได้เธอแล้วทิ้ง คนที่ทำงานชอบมาพูดให้ผมได้ยินว่า
"ไอ้รุตมันก็เลวไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่น ได้ผู้หญิงแล้วทิ้ง"
"ไอ้หน้าตัวเมีย" "ไอ้สารเลว" ประกอบกับช่วงนั้นผมมีปัญหาหลายอย่างที่เข้าทำนองว่า
"เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่เอากระดูกมาแขวนคอ" ผมจึงตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย

ผมไปเบิกเงินจากธนาคารเยอะมาก เพื่อใช้เวลา 1 เดือนไปในที่ๆผมชอบ
ไปหาคนที่อยากเจอเป็นครั้งสุดท้าย และก็ทำทุกอย่างที่อยากทำ
หลังจากนั้นผมก็ไปซื้อถุงพลาสติกใบใหญ่ 3 ใบกับเชือกฟาง 1 ม้วน
และคืนหนึ่งผมก็เตรียมพร้อมที่จะฆ่าตัวตาย คืนนั้นตอนหัวค่ำผมนั่งดูทีวีอยู่กับพ่อและแม่

ตอนนั้นผมรู้สึกมีความสุขมากที่ได้ยินเสียงหัวเราะของพ่อกับแม่ ผมรู้สึกกลัวเหมือนกันนะ
แต่ไมได้กลัวตายหรอก กลัวว่าถ้าผมตายไปแล้วใครจะมาดูแลท่าน
ถ้าท่านแก่กว่านี้แล้วช่วยตัวเองไม่ได้ ท่านคงน่าสงสารน่าดู

พ่อกับแม่คงแทบจะตกนรกทั้งเป็น เพราะผมเป็นลูกชายคนเดียวของท่าน
มันโหดร้ายมากเลยนะที่พ่อกับแม่จะต้องมาเผาศพลูกชายคนเดียวของตัวเองตั้งแต่ยังหนุ่ม
มันคงเป็นเรื่องที่ปวดร้าวมาก แต่ทำไงได้ล่ะ ก็ตอนนั้นผมไม่มีทางเลือกเลย
ผมพยายามซึมซับความสุขที่สุดของคืนนั้นไว้

ผมพยายามที่จะเข้าไปนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ จะได้ยินเสียงหัวเราะของท่านได้ชัดเจน
และซึมลึกลงไปที่หัวใจเวลาที่วิญญาณของผมเดินทางไปสู่ปรโลก วันนั้นผมนั่งซบไหล่แม่
แม่เอามือมาลูบหัวผมและบอกว่า "ทำไมวันนี้ขี้อ้อนจัง เดี๋ยวนี้รุตโตเป็นหนุ่มแล้วนะ"

ผมใจหายวาบเมื่อคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติ ผมจะไม่ได้รับสัมผัสอันอบอุ่นของแม่อีก
แม่อุตส่าห์เลี้ยงดูผมมาอย่างยากลำบาก แต่ผมไม่มีบุญพอที่จะตอบแทนพระคุณเลย
มันเกิดอะไรขึ้นนะ ชีวิตของผมต้องมาลงเอยแบบนี้ วันนั้นดูท่าพ่อกับแม่จะรักผมมากเป็นพิเศษ

ผมคงเป็นคนที่ใจร้ายมากเลยนะที่ทำให้ชีวิตของชายหญิงคู่หนึ่งต้องตกนรกทั้งเป็นนับจากนั้น
แต่ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน สมองผมมันตีบตันไปหมด และผมคิดวนอยู่แค่ว่า
ผมจะต้องทำในสิ่งที่ควรทำ ไอ้เรื่องบ้าๆพวกนี้มันจะได้จบลงซะที

คืนนั้นพ่อกับแม่ก็เดินขึ้นห้องไปก่อน ผมนั่งสงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเดินขึ้นไปชั้นบน
พอเดินผ่านห้องของพ่อกับแม่ ผมก้ก้มลงกราบท่านทั้งสอง และก็เงยหน้าขึ้นมานั่งพนมมือ
ด้วยน้ำตานองหน้า แล้วน้ำตาของผมก็ไหลทะลัก
แต่ตอนนั้นน้ำตามันตกในและไหลท่วมหัวใจของผมไปหมดแล้ว

ผมรู้สึกขอบคุณท่านที่เลี้ยงผมให้โตมาจนป่านนี้ ผมเองต่างหากที่กำลังจะเนรคุณ
ผมพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ดีจนถึงที่สุดแล้ว แต่มันไปติดขัดที่ไหนนะ
ตอนนั้นผมนึกไม่ออกจริงๆ ผมเริ่มเบลอและสับสนมาก แต่ท่ามกลางความสับสนทั้งมวล
ผมก็ยังรู้สึกว่าผมรักพ่อกับแม่เต็มหัวใจของผม ผมสามารถตายแทนท่านได้
หรือสามารถที่จะทำให้ท่านมีความสุขได้ถึงแม้ผมจะต้องแลกด้วยชีวิต

และในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ ผมจะให้ชีวิตที่สิ้นลมหายใจของผมแก่ท่านไปตลอดกาล

ตอนผมเดินเข้าไปในห้อง ผมก็ล็อคประตูและก็นั่งบนพื้นเอาหลังพิงประตูเอาไว้
ผมนั่งทำใจอยู่สักพักก่อนที่จะเอาถุงพลาสติกใบใหญ่มาคลุมหัว จนถุงเลยมาจนถึงหน้าอก
แล้วผมก็ใช้เชือกฟางมารัดที่คอจนแน่น ตอนแรกๆก็ยังจะพอหายใจได้

แต่ผมก็สังเกตว่าอากาศกำลังจะหมดลงเรื่อยๆ เพราะผมนั้นหายใจถี่ขึ้น
แล้วถุงก็ค่อยๆเข้ามาชิดที่หัวผมมากขึ้น ตอนนั้นผมรู้สึกว่าหัวของผมเปียก
และถุงเข้ามาชิดมากขึ้น ตอนนั้นถุงพลาสติกแทบจะแนบกับหน้า
และตรงจมูกของผมก็มีถุงมาอยู่ชิดซะจนผมเริ่มรู้สึกหายใจขัด

ณ วินาทีนั้นผมเริ่มรู้สึกถึงความทรมานอันแสนสาหัส ผมเริ่มที่จะหายใจลำบาก
ผมหายใจแทบไม่ออก ผมล้มลงไปนอนดิ้นอย่างทุรนทุราย
และพยายามใช้มือแก้เชือกฟางที่รัดไว้ที่คอตามสัญชาตาญาณของคนที่ยังกลัวตายอยู่

ความทรมานเริ่มถาโถมมากขึ้นจนผมเริ่มที่จะทนไม่ไหว
ผมตะเกียกตะกายหากรรไกรมาตัดเชือกที่คอ
โชคดีที่ผมหาทันเพราะตอนนั้นความทุกข์ทรมาน
กำลังเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ พอผมคว้ากรรไกรได้
ผมก็รีบเอามาตัดเชือกฟางที่มัดอยู่ที่คอออก และรีบแกะถุงออกมา

แล้วผมก้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ได้อีกครั้ง ผมรู้ซึ้งถึงกับคำว่าคุณค่าของอากาศเลยทีเดียว
เพราะมันเป็นเหมือนกับอากาศแรกที่ผมหายใจเข้าไป พอผมเริ่มหายใจดีจนเป็นปรกติดีแล้ว
ผมจึงเริ่มที่จะเอาถุงคลุมหัวเป็นหนที่สอง ...

=====================================================

พ.ศ. 2549

บ่ายนี้เข้ามาอ่านครับ แต่ต้องยอมรับว่าอ่านผ่านๆมาก เอาไว้ผมจะอ่านความคิดเห็นของทุกท่านอีกที
อาจจะเป็นเย็นนี้หรือค่ำนี้นะครับที่อาจจะเข้ามาอ่านอีกที ที่ผมเข้ามาเขียนนี้เพราะอยากจะบอกว่า
ประเด็นที่ผมรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีของคุณธรรมดาโลกนั้น จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของเขา
ที่ทำให้ผมหงุดหงิดหรอกครับ คงเป็นเพราะปัญหาบางอย่างที่ผมกำลังประสบในตอนนี้ด้วย
ซึ่งผมเคยคิดที่จะไม่เล่าให้เพื่อนๆฟัง

แต่เดี๋ยวมันจะเหมือนกับเป็นจิ๊กซอร์ที่หายไป จะทำให้เพื่อนๆหลายคนสงสัยว่าทำไม
แค่คำพูดของคุณธรรมดาโลกจึงกระตุ้นความรู้สึกของผมได้มากขนาดนั้น

จริงๆแล้วหลังจากที่ผมพยายามทำตัวให้ห่างเหินกับเจนจิรา เพื่อนที่ทำงานของผม
ผมก็ได้ยินมาว่าเธอรู้สึกไม่พอใจผมมาก เธอเคยคุยกับเพื่อนของเธอว่า

"ในท้ายที่สุดฉันก็เกลี่ยดผู้ชายอย่างวิศรุตมากที่สุด ฉันเกลียดมากเลย
ผู้ชายที่ชอบทำตัวให้มีเสน่ห์เวลาอยู่ใกล้กับผู้หญิง แต่พอมีผู้หญิงเริ่มตกหลุมรักเขา
เขาก็ตีจากไปดื้อๆโดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงจะรู้สึกยังไง ฉันเกลียดผู้ชายแบบนี้ที่สุด"

ถึงแม้จะมีเพื่อนบางคนเสนอความคิดว่า

"หรือเขาอาจจะเป็นเกย์ก็ได้นะ"

แต่เจนจิราก็ยืนยันว่า

"ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ เขาไม่เห็นจะเหมือนกับ อ.เสรีซักนิด เธอไม่เห็นเวลาที่เขาพูด
หรือตอนที่เขาดุลูกน้องเหรอ มาดอย่างนั้น ท่าทางอย่างนั้น มันผู้ชายชัดๆ
แต่ก็เป็นผู้ชายเฮงซวยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะดีกว่าคนอื่น
แต่สุดท้ายก็เลวกว่าคนอื่นตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า และเขาควรจะรู้ว่าเขาไม่ควรจะทำอย่างนี้กับฉัน
ฉันจะสั่งสอนให้เขารู้สำนึกซะบ้างว่า มาทำอย่างนี้กับฉันแล้วเขาจะรู้สึกยังไง"

แล้วกระบวนการปัดแข้งปัดขาของผมก็เริ่มก่อตัวขึ้นแบบเงียบๆแต่ผมก็พอจะสังเกตเห็น
ตกลงผมมีศัตรูเพิ่มมาอีก 1 คน แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะหลังจากผมมีปัญหากับเจนจิรา
ผมก็มักจะระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเก่า และโชคชะตาก็พาให้ผมต้องทำงานร่วมกับวิมลรัตน์
เธอเป็นผู้หญิงคนนึงที่สวยมาก

เวลาที่ผมอยู่ใกล้กับเธอ ผมก็จะระมัดระวังไม่ให้ในท้ายที่สุดแล้ว เธอจะมาชอบผม
จริงๆแล้วผมก็รู้ตัวนะว่าผู้ชายอายุ 30 กว่า รูปร่างหน้าตาพอใช้ การศึกษาดี อารมณ์ดี
ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เอาการเอางาน กตัญญู และมีความรับผิดชอบ
มันเป็นที่ต้องตาต้องใจกับผู้หญิงวัยประมาณ 28-33 ในสถานที่ทำงานมากขนาดไหน

และที่สำคัญคือผู้ชายแบบผมในที่ทำงานก็แต่งงานกันไปหมดแล้ว
เหลือเพียงผมกับเพื่อนอีก 2 คนเท่านั้น สำหรับวิมลรัตน์ ผมก็เลยใช้วิธีห่างเอาไว้เป็นดีที่สุด
เวลากินข้าวร่วมกับเธอผมก็ไม่ค่อยจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษสักเท่าไหร่
แต่เธอคงสังเกตว่าเวลาผมกินข้าวกับคนอื่น ผมจะทำหน้าที่เป็นสุภาพบุรุษอย่างดี
แล้วเรื่องก็เกิดขึ้นอีกจนได้ เมื่อรุ่นน้องคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า วิมลรัตน์ไปคุยกับเพื่อนว่า

"วิศรุตเขาเป็นผู้ชายแบบไหนกันนะ ดูเผินๆก็เหมือนจะดี แต่จริงๆแล้วเขาน่าจะเป็น
คนหน้าไหว้หลังหลอก และก็ไม่เอาไหน ฉันเกลียดผู้ชายแบบนี้ที่สุดเลย ที่คิดว่าตัวเองดี
แล้วก็ถือโอกาสทำตัวเย่อหยิ่งจองหองกับผู้หญิง ฉันไม่อยากได้ผู้ชายแบบนี้มาเป็น
หัวหน้าแผนกหรอก ไม่ว่าจะแผนกไหนก็ตาม ฉันจะต้องคอยกันไม่ให้เขาเติบโต
ในงานที่เขากำลังทำอยู่ให้ได้ ฉันต้องเปิดโปงให้ได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่เลวแค่ไหน"

นี่ก็ดันมากลายเป็นศัตรูของผมอีก 1 คน และเมื่อไม่นานมานี้ผมก็ดันมาเจอโจทย์เก่า
ผมขอเรียกเธอว่าอาทิตยาก็แล้วกัน เรามาเจอกันในงานสังคมงานหนึ่ง

"สวัสดีวิศรุต เธอยังสบายดีอยู่อีกหรือ"

จริงๆแล้วก็น่าสงสารอาทิตยาอยู่มาก เธอเป็นลูกสาวไฮโซคนหนึ่งในเมืองไทย
นามสกุลของเธอดังคับประเทศ แต่ต้องบอกก่อนว่าเธอไม่ได้นามสกุลเดียวกับผู้นำประเทศ
ในตอนนี้นะครับ เดี๊ยวจะเดาแล้วผิดทางไปกันใหญ่

เธอถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดมากๆ ในฐานะกุลสตรีไทยที่เป็นที่คาดหวังของครอบครัว
แต่พอย่างเข้าสู่วัยรุ่นเธอก็หาวิธีออกนอกกรงทองโดยขอที่บ้านไปเรียนไฮสกูลที่เมืองนอก
ช่วงนั้นเธอลองทั้งยา มั่วทั้งเซ็ก แต่พอรู้สึกขยะแขยงตัวเองเธอก็ตัดสินใจกลับเมืองไทย
และฝันหาผู้ชายดีๆสักคนที่สามารถจะให้ความอบอุ่นกับเธอได้และไม่แคร์อดีตที่เน่าเฟะของเธอ

และผมก็คือไอ้ผู้ชายคนนั้นที่ดันมาเจอกับเธอและชอบอัธยาศัยของเธอมาก
เราสนิทกันอย่างรวดเร็ว เธอพาผมให้ไปรู้จักแม่ของเธอ แต่ยังไม่ให้รู้จักพ่อ
เพราะพ่อของเธอเป็นคนที่มีความสำคัญระดับประเทศ และแม่ของเธอต้องการให้แน่ใจว่า
ผู้ชายที่จะเข้ามาดูแลเธอจะต้องดีจริงๆเท่านั้น แล้วเขาถึงจะยอมให้ผมไปพบกับพ่อของเธอ

เรื่องราวดำเนินมาเรื่อยๆและมีรายละเอียดที่ค่อนข้างมากจนหลายคนนึกไม่ถึง
(เอาไว้ช่วงที่ผมเล่าย้อนอดีต ผมจะเล่าให้ละเอียดกว่านี้นะครับ)
จนมาถึงคืนวันที่ความรักของเธอสุกงอมและเธออยากที่จะมีอะไรกับผมซึ่งเธอไม่ถือ
เพราะเธอเป็นเด็กหัวนอก

แต่ตอนที่เธอกำลังเล้าโลมผมอยู่นั้น ผมก็ประจักษ์ขึ้นมาเดี๋ยวนั้นว่าผมเป็นเกย์เต็มตัว
และไม่มีทางเลิกได้ และผมก็วิ่งออกจากห้องนอนของบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งเป็นหลังที่ใหญ่โตมาก
และเธอแยกมาอยู่เพียงคนเดียวพร้อมกับยามอีก 3 คน

วันนั้นผมวิ่งออกจากบ้านไปโดยที่ยามก็เห็นเหตุการณ์และบ่นกันว่า
"นั่นมันคุณวิศรุตนี่ แฟนของคุณอาทิตยาไม่ใช่เหรอ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะ"

ผมเดาสถานการณ์ว่ายามคงขึ้นไปดูและเห็นเธออยู่ในชุดที่มีเสื้อผ้าน้อยชิ้น
พวกเขาคงสรุปเอาเองว่าผมขืนใจเธอและผละจากไป
ต่อมาไม่นานมันก็กลายไปข่าวลือว่าผมฟันเธอแล้วทิ้งอย่างไม่ไยดี

เธอคงทั้งรักทั้งแค้นผม เธอเคยมาง้อขอคืนดีกับผมโดยเอาดอกไม้ช่อโตมาให้
และตอนนั้นเธอก็ไปลดความอ้วนมา เพราะคิดว่าผมไม่ชอบเธอเพราะเธอยังดูอ้วน
เธอยอมเสียเงินไปเข้าคอร์สลดความอ้วนแบบตะวันออกที่เมืองจีน
เพื่อที่จะมาขอคืนดีกับผม แต่ตอนนั้นผมประจักษ์ชัดแล้วว่าผมเป็นเกย์เต็มตัวและไม่ชอบผู้หญิง
แต่ถ้าบอกไปอย่างนั้นเรื่องมันคงจะกลายเป็นอีกเรื่องว่า
ถ้ารู้ว่าเป็นเกย์แล้วผมไปหลอกเป็นแฟนกับเธอทำไม

แต่จริงๆผมขอบอกเลยว่า ถ้าผมไม่ได้ฟังความคิดที่มาจากคนอื่นว่าถึงเป็นเกย์
คุณก็ต้องเลิกเป็นและพยายามแต่งงานมีครอบครัวให้เหมือนกันผู้ชายคนอื่นให้ได้
เพราะนั่นถือเป็นความกตัญญูผมก็คงไม่คิดที่จะพยายามเป็นแฟนกับเธอ
ผมเองก็เคยเชื่ออย่างนั้น แต่ผมเพิ่งประจักษ์ในตอนนั้นเองว่าผมเป็นเกย์ที่เลิกไม่ได้
และเป็นแต่กำเนิด และตอนนี้ก็ยังไม่สามารถบอกใครได้

อาทิตยาคงทั้งรักและทั้งแค้นผม และเธอก็รู้ว่าผมกำลังจะทำธุรกิจบางอย่างที่ผมตั้งใจ
ลงทุนลงแรงที่กำลังจะทำมันอย่างเต็มตัว เธอพูดกับผมว่า
"ฉันคงไม่ปล่อยให้คุณสามารถทำธุรกิจของคุณได้อย่างสบายใจแต่ฝ่ายเดียวหรอกนะ"
และนั่นก็หมายถึงการจองล้างจองผลาญที่อาจจะไม่มีวันสิ้นสุด

จริงๆแล้วเรื่องรักๆแค้นๆ แบบผมกับอาทิตยาไม่ใช่คู่แรกที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในเมืองไทย
แต่มันเคยเกิดขึ้นแล้วและฝ่ายชายก็หงุดหงิดจนทนไม่ไหว ความหงุดหงิดของเขารวมทั้งเขา
ยังไม่สามารถที่จะหาคู่ที่เป็นผู้ชายได้ด้วยแล้วก็ยังมีผู้หญิงมาตามจองล้างจองผลาญ

เขาเลือกจบปัญหาต่างๆด้วยการไปยิงผู้หญิงคนนั้นจนตายแล้วก็ยิงตัวเองตาย
พอเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ นักข่าวก็เขียนแค่ว่า "ตำรวจสงสัยว่าเป็นเรื่องหึงหวง"
พ่อแม่ก็ร้องห่มร้องไห้จนแทบขาดใจ โดยที่ไม่มีโอกาสจะล่วงรู้ว่าลูกชายที่น่ารักของตัวเอง
คือเกย์สีฟ้าโดยกำเนิด

ตกลงสรุปว่าอาทิตยาคือศัตรูอีกหนึ่งคนที่ผมต้องเตรียมรับมือ แต่ความหงุดหงิดใจของผม
ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อไม่นานมานี้ มีผู้หญิงคนนึงโทรมาหาผม

"สวัสดีครับ"
"สวัสดีค่ะ คุณวิศรุตใช่ไหมคะ"
"ใช่ครับ" แล้วเธอก็เงียบไป ผมเลยพูดขึ้นว่า
"คุณคือใครครับเนี่ย ผมไม่คุ้นเบอร์เลย"
เธอเงียบไปอีกนิด ก่อนที่จะพูดต่อว่า
"สโรชา น้องสาวของพี่รุตไงคะ"

=====================================================

พ.ศ. 2549

เมื่อไม่นานมานี้ ผมตัดสินใจถามกับพ่อตรงๆว่า

"พ่อครับ สโรชาที่นามสกุลเหมือนกับผมเป็นใครกันครับ"

พ่อถึงกับอึ้งและหน้าถอดสี และพ่อก็เล่าให้ผมฟังว่าสมัยที่แกต้องไปอยู่ต่างจังหวัดคนเดียว
(ตอนที่ผมอยู่ ม.5 ซึ่งในเรื่องเล่าย้อนอดีตกำลังจะถึงตอนนั้นแล้ว) แกเหงามาก
และพอดีรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่แถวนั้น แกกับผู้หญิงคนนั้นก็ดันมีอะไรกัน
ตอนผมอยู่ ม.5 แม่จะกลับมาอยู่กับผมที่บ้านของลุง

พ่อบอกว่าสโรชาคือลูกของพ่อกับผู้หญิงคนนั้น และตอนนี้เธอกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย
ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และเธอเองกำลังมีปัญหาการเรียนอย่างหนัก และไม่รู้จะไปปรึกษาใคร
เธอจึงเลือกที่จะโทรมาหาผมเพื่อที่จะปรึกษาเรื่องเรียน

พ่อผมในอายุเกือบ 70 ปีเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังด้วยน้ำตาคลอที่ดวงตาแต่มันไม่ไหลออกมา
พ่อบอกกับผมว่า

"จะบอกแม่หรือไม่ก็แล้วแต่รุตเถอะ"

ตอนนั้นผมไม่นึกโกรธพ่อเลย ตอนนี้พ่อก็อายุมากแล้ว แม่ก็ 60 กว่าแล้ว
ท่านทั้งคู่เหลือเวลาอยู่ในโลกนี้น้อยเต็มที และผมอยากให้ท่านจำแต่สิ่งที่ดีๆของกันและกันไว้

ส่วนผมเอง ผมคงไม่บอกแม่เรื่องพ่อ หรือแม้แต่กระทั่งเรื่องของผมเอง
พ่อกับแม่ตอนนี้ก็ดันเข้าใจไปว่าผมเข็ดขยาดผู้หญิงเพราะอาทิตยาเคยมาที่บ้าน
และมาเกรี้ยวกราดเอากับพ่อและแม่ตอนที่ผมไม่อยู่

จริงๆแล้วอาทิตยาเองในช่วงหลังเธอหันมาติดเหล้าอีก ใจจริงแล้วเธออยากจะเลิกมาก
แต่เธอก็เลิกไม่ได้ เธอบอกผมว่าเธอหงุดหงิดมาก และเธออยากมีเซ็กกับผม
เธอเคยใช้เซ็กเป็นเครื่องบำบัดความเครียดตอนที่เธออยู่เมืองนอก

ผมลืมบอกไปว่าตอนที่ผมรู้จักกับอาทิตยาใหม่ๆ ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
ผมคบกับเธอมาประมาณ 4 เดือนผมจึงรู้ว่าพ่อของเธอเป็นใคร

ตอนที่อาทิตยาอยากมีเซ็กกับผม เธอมีอารมณ์หงุดหงิดมาก ตอนที่ผมไปต่างจังหวัด
เธอจึงบุกไปถึงบ้านผมและก็ไปมีปากเสียงกับพ่อและแม่

จริงๆแล้วการปล่อยให้พ่อกับแม่คิดว่าผมไม่อยากมีใครเพราะเข็ดขยาดในเรื่องของความรัก
ก็ดีเหมือนกัน ท่านจะได้ไม่ต้องสงสัยอะไรมาก เพราะท่านอาจจะทุกข์กับผมมาเยอะในหลายๆเรื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ผมเรียนปริญญาเอก

จริงๆแล้วหลังจากที่ผมจบโท 2 ใบและไปทำงานจนพบกับอาทิตยา
ผมเองกำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ด้วย หลังจากเรียนคอร์สเวิร์กจบด้วยเกรดเฉลี่ย 3.60
ผมเองก็กำลังจะเริ่มสอบวัดคุณสมบัติและทำวิทยานิพนธ์
ปัญหาของผมกับอาทิตยาเริ่มต้นจากตอนนั้น

และผมยังมีปัญหาอื่นคือตอนที่ผมเรียน ป.เอกอยู่ปี 1 ผมไปพบเว็บไซด์เกย์
อยู่เว็บหนึ่งซึ่งตอนนั้นเงียบมาก ผมเห็นพวกเขาเหงากันมาก ผมก็เลยเริ่มเขียนบทความ
และเรื่องสั้นต่างๆ ลงไปเรื่อยๆ และก็เริ่มมีเกย์หลายคนเข้ามาอ่าน
จนถึงขั้นที่เรื่องของผมเรียกคนเข้าเว็บได้อีกหลายพันคน

ข้อมูลที่ผมเรียนให้ทราบนั้น เว็บมาสเตอร์ของเว็บนั้นเป็นคนบอกผมเอง
และที่ทำให้ผมตกใจจนขนหัวลุกก็คือเว็บมาสเตอร์คนนั้นก็คือหนึ่งในสมาชิกบลูกายทั้ง 102 คน
ที่ผมบอกชื่อไปครั้งหลังสุดในตอนที่ 17 เขาคือ 1 ใน 102 คนนั้น

หลังจากที่ผมเขียนเรื่องต่างๆไปก็มีเกย์หลายคนเข้ามาอ่าน และส่งเมล์เข้ามาพูดคุย
และตอนนั้นนั่นเองที่ผมพบกับเกย์มากหน้าหลายตาจากเมล์และจากการพบปะพูดคุยกัน
และก็ได้รับทราบถึงทัศนคติหลายๆอย่างของหลายๆคน

แต่ตอนนั้นเกย์ที่ผมพบด้วยมีหลายคนที่มีปัญหาซ้ำซ้อน ตัวอย่างหนึ่งที่ผมจำได้คือ
บดินทร์ เขาเป็นนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
และยังเป็น masochism ตั้งแต่ยังเด็ก และเขาก็อยากลองเล่น role play
กับใครสักคนที่เขาไว้ใจได้ เขาอ้อนวอนผมหลายครั้งให้หาคนๆนั้นให้
แต่ผมก็ไม่เคยที่จะสนองตอบ

จนผมมารู้ว่าเขาดันไปติดต่อกับเกย์อีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและตกลงจะเล่น role play กับเขา
พอผมรู้ว่าเขาตัดสินใจที่จะไปเล่นกับหมอนั่นที่ต่างจังหวัด ผมก็เลยต้องช่วยเหลือเขา
เพราะผมเองไม่แน่ใจในความปลอดภัย

ผมพาเขาไปหานายทหารที่จะรู้จักวิธีการบำบัดความต้องการของบดินทร์
ให้อยู่ในระดับที่เขาต้องการและปลอดภัย ก่อนที่จะทำอย่างนั้นผมได้โทรไปปรึกษาถึงวิธีการ
ที่ควรจะเป็นกับเบอร์ hotline คลายเครียดของหน่วยงานราชการหลายแห่ง
เช่น กรมสุขภาพจิต เป็นต้น

หลังจากช่วยให้บดินทร์ลดระดับความต้องการของเขาลงมาจนเขาสามารถกลับไปเรียนต่อได้
เรื่องที่ผมเข้าไปยุ่งกับเรื่องแบบนี้ก็รู้ถึงหูของรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยเข้าโดยบังเอิญ
และเขาก็ไม่พอใจผมอย่างมาก

"พี่ไม่อยากให้รุต ต้องไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนั้น" ตอนนั้นพี่เขาไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์
ผมบอกพี่เขาออกไปว่า "แต่ไม่มีใครที่จะเข้าใจพวกเขา จิตแพทย์กับนักจิตวิทยาหลายคน
ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้จริงๆ ส่วนมากพวกเขาจะได้ความรู้จากการอ่าน text
และรายงานการวิจัยเท่านั้นซึ่งบางอันมันก็ไม่ตรง"

พี่เขาตอกกลับผมมาว่า

"แล้วรุตเป็นใครล่ะ รุตถึงรู้สึกว่ารุตรู้ดีกว่าคนอื่น"

ผมหลุดปากออกไปว่า "ก็ผมเป็นเกย์น่ะสิ และผมก็เป็นที่ปรึกษาให้เกย์คนอื่นทางเมล์มาเกือบปีแล้ว"

พี่เขาอึ้ง หลังจากนั้นก็ไม่ยอมพูดกับผมอีก และคิดว่าผมกำลังเป็นตัวทำลายชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย
และสิ่งที่ตามมาคือการหาทางกลั่นแกล้งผมบางอย่าง ประกอบกับช่วงนั้นผมมีความหงุดหงิดบางอย่าง
กับข่าวลือที่ว่า ผมขืนใจอาทิตยาโดยที่เธอไม่เต็มใจ
ผมจึงต้องลงเอยด้วยการถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัยในที่สุด

ช่วงนั้นผมโดนกล่าวหาว่าขืนใจผู้หญิง
โดนรีไทร์ออกจากการเรียนปริญญาเอก
โดนครอบครัวกระตุ้นให้แต่งงาน
โดนญาติต่างจังหวัดรบเร้าอยากให้บวชเหมือนกับลูกชายบ้านอื่น
และช่วงนั้นมีนักวิชาการท่านหนึ่งออกมาพูดหน้าตาเฉยในทีวีเมืองไทยว่าเกย์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
และท่านสามารถทำให้หายได้ ส่วนเว็บไซด์เกย์เว็บนั้นก็เริ่มดำเนินการผิดจุดประสงค์
เมื่อสมาชิกบางคนเริ่มมีพฤติกรรมที่ไม่ดีถึงขั้นก่อกวนสังคม เช่น การโทรไปจีบตำรวจตลอดวัน
และเรื่องที่เขียนบางเรื่องหมิ่นเหม่ในเชิงศีลธรรมจนทำให้ตำรวจสั่งปิดเว็บนี้
ผมเห็นด้วยที่ตำรวจสั่งปิด แต่ที่เสียใจคือผมขาดการติดต่อกับเพื่อนเกย์เป็นร้อยในเว็บไซด์นั้น

การติดต่อที่ผมพูดถึงไม่ใช่การคุยกันเรื่องเพศ แต่เป็นการพูดถึงปัญหาร้อยแปด
ที่สื่อและนักวิชาการไม่เคยพูดถึง

สังคมชอบที่จะพูดว่าเกย์ทำให้เกิดปัญหาสังคม แต่ไม่เคยพูดเลยว่าสังคมทำให้เกย์แต่ละคน
มีปัญหาทางสุขภาพจิต

ผมจำไม่ได้ว่ากรมสุขภาพจิตเคยหยิบยกประเด็นนี้มาพูดมากน้อยแค่ไหน
ทั้งๆที่ในต่างประเทศก็ได้มีการสรุปแล้วว่าเกย์เป็นเรื่องของธรรมชาติและสิ่งที่เกย์ทำไม่ดีบางอย่าง
ก็ด้วยความกดดันจากสังคม แต่กรมสุขภาพจิตของไทยก็ยังไม่ค่อยเผยแพร่ข้อมูลตรงนี้สักเท่าไหร่

ตอนที่เว็บถูกปิด พวกเราบางคนที่ติดต่อกันได้ เปรียบเทียบว่าเหมือนเรือไทเทนิคไปชนภูเขาน้ำแข็ง
แล้วล่ม และทำให้เกย์ไทยนับร้อยหรือนับพันต้องไปลอยคออยู่ในมหาสมุทรพร้อมกับส่งเสียงเรียก
ให้ช่วยกันระงม และส่วนใหญ่ก้เป็นเกย์สีดำ เทา และฟ้า

เอาเป็นว่าปัญหาร้อยแปดที่เกิดขึ้นทำให้ผมมีอาการทางจิตบางอย่างตั้งแต่เริ่มกลัว
เวลาที่อยู่ในที่ๆมีผู้ชายมากๆ เช่น ในห้องน้ำ หรือ สนามกีฬา
จนนำพาไปถึงการพยายามฆ่าตัวตายในที่สุด จริงๆแล้วถ้านับตามปี น่าจะตกประมาณปี 44
ซึ่งประมาณ 2 ปีก่อนที่ผมจะ พบกับเดชาประมาณปี 46 เรื่องปีนี่อาจจะคลาดเคลื่อนได้บ้างนะครับ
แต่ก็คงจะอยู่แถวๆนั้น

หลังจากผมฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ ผมก็เริ่มกลับมาทำงานใหม่ และผมก็พบกับเดชา
พรุ่งนี้แล้วที่ผมจะนัดเขามาเจอที่ออฟฟิศเพื่อช่วยติวให้เขา ผมเตรียมเอกสารต่างๆให้เขา
แล้วก็ไปซื้อขนม อาหาร และเครื่องดื่มมาจนเต็มตู้เย็น ผมสั่งให้เจ้าหน้าที่มาช่วยล้างแอร์ในห้องผม
เพื่อเดชาจะได้ไม่ร้อนจนเกินไป พรุ่งนี้แล้วสินะที่ผมจะได้เจอลมหายใจของผม

ตอนนี้ผมกับพ่อและแม่ก็มีความสุขด้วยกันดี ผมไม่อยากให้ใครหรืออะไรมาทำให้เรา
โดยเฉพาะพ่อกับแม่ต้องมีความทุกข์อีก ผมอยากส่งท่านไปยังสัมปรายภพด้วยจิตที่เป็นสุข

เมื่อเช้าแม่ตื่นเช้ามาเล่นกับเจ้าปิง ลูกแมวที่บ้าน ตอนนี้แม่ผมอาการดีขึ้น
และผมไม่ลืมที่จะแนะนำท่านดังที่เพื่อนๆได้แนะนำฝากกันมา เวลาเห็นท่านเล่นกับเจ้าปิง
ผมก้อดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ หลังจากผมดูฝันรักปารีสตอนจบเสร็จแล้ว ผมก็ออกจากบ้าน

ตอนนี้ปัญหาหลายอย่างคลี่คลายแล้ว ก็เหลือแต่เรื่องของเจนจิรา วิมลรัตน์ และอาทิตยา
จริงๆแล้วพวกเราไม่ควรที่จะเกลียดชังกันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาทิตยา ผมอยากให้เธอเลิกเหล้า
เลิกบุหรี่ได้ และพร้อมที่จะเป็นกำลังใจทุกอย่างให้กับเธอ แต่คงไม่ใช่การมีเซ็ก
หรือเข้าพิธีวิวาห์กับเธอที่โรงแรมโอเร็นเต็ลดังที่เธอเคยฝันไว้ และผมคิดว่าการที่ผมเข้ามาเขียนเรื่องนี้
ในพันทิปน่าจะสามารถส่งสารถึงเธอได้ และผมคิดว่า "อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ"

อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ ( D )
ธเนศ วรากุลนุเคราะห์
D

ดนตรี 7 Bars..5...6...
7.อาจจะดูใจ ร้าย อาจจะเหมือนไม่ แคร์
แต่ก็คง ต้องบอก ให้เธอไป
อยากจะมีเหตุ ผล บอกเธอให้เข้า ใจ
แต่เธอก็คง ไม่อยาก จะรับฟัง
ความ เป็นจริงที่ปวดร้าว
อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ
ว่าอะไร สำคัญ ไปกว่า แค่รักกัน
อีกหน่อยซึ่งคงไม่นาน
ถึงวันนั้นแล้วเธอ จะเข้าใจ
ที่ฉันต้องบอกเธอ ให้จากกันไป
เจ็บที่ใจเธอ นั้น เมื่อเราต้องแยกทาง
มันก็คง ไม่ต่าง จากใจฉัน
แต่ว่าความปวดร้าว อาจจะไม่เท่ากัน
เมื่อตัวของฉัน ต้องเอ่ย ขึ้นมาก่อน
ยอม เป็นคนที่ใจร้าย
อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ
ว่าอะไร สำคัญ ไปกว่า แค่รักกัน
อีกหน่อยซึ่งคงไม่นาน
ถึงวันนั้นแล้วเธอ จะเข้าใจ
ที่ฉันต้องบอกเธอ ให้จากกันไป
มีเพียงคำว่ารัก คำหนึ่ง
เราคงไปไม่ถึง ดวงดาว ได้
ความเป็นจริง ความฝัน เราห่าง
ไม่เคยจะมีตรงกลาง
ไม่เคยได้เข้าใจ อยู่กันไป ก็เท่านั้น
ดนตรี 8 Bars..6...7...
8...ความ เป็นจริงที่ปวดร้าว
อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ
ว่าอะไร สำคัญ ไปกว่า แค่รักกัน
อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ
ว่าอะไร สำคัญ ไปกว่า แค่รักกัน
อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ
ว่าอะไร สำคัญ ไปกว่า แค่รักกัน
อีกหน่อยซึ่งคงไม่นาน
ถึงวันนั้นแล้วเธอ จะเข้าใจ
จะรู้และเข้าใจ

=====================================================

5 ก.พ. 49

วันนี้ผมตื่นมาแต่เช้า รู้สึกดีจัง วันนี้ผมจะได้พบเดชาอีกแล้ว และจะได้อยู่ด้วยกันทั้งวัน
ซึ่งนานๆจะหาโอกาสได้ซะที ผมแต่งตัวออกจากบ้าน และไปถึงออฟฟิศประมาณ 8 โมงเช้า
จริงๆแล้วผมนัดกับเดชาไว้ตอน 9 โมง แต่ผมอยากไปก่อนเวลา จะได้จัดการบางสิ่งบางอย่างให้เรียบร้อย
ทั้งเรื่องของอาหารว่าง และเอกสารที่จะต้องติว

เดชามาถึงประมาณ 9 โมงครึ่ง เขายังคงดูน่ารักเหมือนเดิมในสายตาผม
น่าแปลกที่เราคบกันมาประมาณ 3 ปีแล้ว
แต่ผมรู้สึกเหมือนกับว่ารักเขามากขึ้นทุกวัน อย่างค่อยเป็นค่อยไป

ตอนเจอกันครั้งแรก ผมยื่นหนัง Formula 17 ให้เขา

"โห ... พี่ซื้อให้ผมเลยเหรอ ผมแค่อยากขอยืมดูจากพี่เท่านั้นเอง"

"เอาไปเถอะ พี่ซื้อให้นะ"

"ขอบคุณครับพี่" หลังจากเราคุยกันสักพัก ผมก้เริ่มติวให้เดชา เดชากำลังจะสอบเข้า MBA
และนี่ก็ใกล้จะถึงวันสอบของเขาเข้ามาทุกทีแล้ว ผมเลยต้องทุ่มติวให้เขา เพราะถ้าปล่อยให้อ่านเอง
คงไม่ทันแน่

การนั่งติวให้เดชาทำให้ผมได้เห็นเขาในด้านที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกันนะ
ขำตอนที่เขาทำหน้าเบ้ เมื่อตอนเจอข้อสอบที่ยาก ชอบตอนที่เขากำลังแก้โจทย์อสมการ
แล้วถอนหายใจ "ทำไมข้อนี้ถึงยากจังเลยพี่"

หน้าตาเวลาเขาบ่นอะไรแบบนี้น่ารักมาก ผมอดยิ้มแก้มปริไม่ได้ จนเดชาเริ่มบ่น
"อ้าวพี่ บอกซะทีสิว่าต้องทำยังไง ข้อเนี้ย เอาแต่นั่งยิ้มอยู่ได้"

ผมอดขำไม่ได้ "โอเคๆ เอ้า บอกแล้ว ฟังนะ"

ผมไม่เคยติวให้ใครแล้วมีความสุขมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก
และเต็มไปด้วยความหมาย ผมนึกไม่ถึงเลยว่าการติวข้อสอบให้เดชา
จะทำให้ผมมีความสุขมากขนาดนี้

ระหว่างติว ผมก็จะเดินไปหยิบขนมมาให้เขาเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นโดนัท วาฟเฟิล เอแคร์ ครัวซอง
พร้อมกับเครื่องดื่มเพียบ ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว น้ำผลไม้ หรือแม้กระทั่งน้ำเปล่า จนเดชาต้องร้องทัก

"โอย ถ้าพี่เปิดติว แล้วมีบริการล้ำเลิศขนาดนี้ คนคงแห่กันมาเรียนกันเพียบเลยนะ"

"พี่ไม่เปิดติวแบบนี้ให้ใครหรอก พี่ทำให้กับเดชาคนเดียวเท่านั้น"

เดชายิ้มนิดๆที่มุมปาก "ขอบคุณมากครับพี่"

หลังจากติวกันช่วงเช้าเสร็จแล้ว ผมก็พาเดชาไปกินอาหารตรงร้านที่อยู่ข้างๆที่ทำงาน
มันเป็นร้านอาหารฝรั่ง ผมสั่งอาหารที่ผมชอบ เดชาก็สั่งของเขา เดชาพูดขึ้นว่า
"เราไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยกันมานานแล้วนะพี่"

"อืม ... จริงด้วยสิ ส่วนมากเราจะเจอกันตอนเย็น" เราคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปต่างๆนานา
จนถึงตอนที่จะเรียกบริกรเพื่อจ่ายตังค์ เดชาพูดขึ้นมาว่า "มื้อนี้ผมเลี้ยงนะครับ"

ผมยิ้ม พอบริกรมาที่โต๊ะ และเดชาจ่ายตังค์ให้ไปแล้ว ผมก็พูดแบบเปรยๆว่า "ชื่นใจจัง"
เดชายิ้มน่ารักๆแบบที่เขาเคยยิ้ม คือยิ้มที่มุมปากนิดๆ และสายตามองลงต่ำ สีหน้าแสดงว่าเขินอาย

น่าแปลกที่ผมเห็นรอยยิ้มแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ว่าจะเห็นอีกสักกี่ครั้ง
ผมก็รู้สึกเหมือนเพิ่งเห็นรอยยิ้มแบบนี้เป็นครั้งแรกเสมอเลย

พอประมาณเที่ยงครึ่งเมื่อเราขึ้นมาที่ห้องผมกันอีกครั้ง ผมจึงเปิดกระทู้นี้ให้เขาอ่านดู
ผมให้เขาอ่านแค่ตอนที่ 1 ที่ผมเริ่มพูดถึงเขา เขาอ่านไปยิ้มไป เวลาผ่านไปได้สักพัก
ผมก็เลยเปิดตอนที่ 19 แล้วบอกเขาว่า

"ถึงเวลาที่เดชาจะทักทายเพื่อนๆแล้วนะ"

เขายิ้มแบบอายๆ "แต่ผมไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรนี่ครับ ผมไม่ค่อยได้เขียนอะไรแบบนี้เลย"

"เขียนๆไปเถอะ เขียนแบบที่เดชาชอบเขียนนั่นแหละ"

เขายิ้มอีก "แต่ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงนี่ครับ"

ตอนนั้นเดชานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของผม แต่ตอนนั้นผมเปลี่ยนเก้าอี้เป้นเก้าอี้ไม่มีพนักสองตัว
เพราะถ้าใช้เก้าอี้ที่ผมนั่ง มันจะใหญ่เกินไป และคงไม่พอที่จะอยู่หน้าจอได้พร้อมกันสองคน

ผมพูดกับเขาออกไปว่า "งั้นพี่เริ่มให้ก่อนนะ"

แล้วผมก็ยื่นมือทั้งสองข้างข้ามไหล่เขาไป เพื่อที่จะพิมพ์ที่คีบอร์ด
แก้มของผมแนบกับแก้มของเขา ผมพิมพ์ลงไปว่า

" หวัดดีครับเพื่อนๆทุกคน ตอนนี้ผมอยู่กับเดชาที่ออฟฟิศของผมครับ
และนี่เป็นครั้งแรกที่เราอยู่หน้าคอมฯและอ่านกระทู้ด้วยกัน คิดว่าคงไม่มีโอกาสแบบนี้บ่อยๆครับ
เพราะฉะนั้นย่อหน้าต่อไปนี้จนจบคือข้อความที่เดชาเป็นคนเขียนเองกับมือเลยนะครับ
เขาไม่ได้เป็นทั้งสมาชิกและไม่มีบัตรผ่าน ผมก็เลยให้เขาเขียนผ่าน login ของผมครับ
เขาอาจจะเขินๆหน่อยเพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนแถวนี้เหมือนผม
ตอนนี้เชิญพบกับสำนวนของเดชาได้เลยครับ"

แล้วผมก็หันไปพูดกับเขา

"ถึงตาเดชาแล้วนะ" แต่เขาบอกว่า "ผมยังนึกอะไรไม่ออกเลยครับ"
ผมบอกไปว่า "ค่อยๆนึกไปแหละ เดี๋ยวก็นึกออกเอง"

สักพักเขาก็เริ่มพิมพ์

"หวัดดี ครับ ทุกคน วันนี้ผมมาติวสอบกับพี่รุต ครับ แต่ไม่แน่ใจว่ามาติวสอบ
หรือมาเขียนตอบกระทู้มากกว่ากัน และก็ไม่แน่ใจว่า จะสอบได้หรือเปล่า เพราะ พี่รุต
หาของกินมาให้ตลอดเลย ตอนนี้อิ่มมาก และรู้สึกอยากพักผ่อนแล้ว
ก็จะพยายามให้ดีที่สุด เพื่ออนาคต ก็ขอขอบคุณพี่รุตมาก ๆ ที่ช่วยหาข้อมูลเตรียมสอบ
และสละเวลาในการติวสอบ (หาของกิน) ให้ผมด้วยครับ"

ตอนนั้นผมเปลี่ยนอิริยาบถจากการยืนมองเขาพิมพ์เป็นนั่งตรงเก้าอี้ด้านหลังเขา
แล้วเอามือโอบรอบเอว พร้อมกับเอาหน้าซบที่หลังของเขา แล้วก็หลับตาอย่างเป้นสุข
ผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากกายเขา ตอนนั้นเขาก็พิมพ์ต่อ

"จากที่ได้อ่านกระทู้คร่าว ๆ บางตอน ก็รู้สึกว่า ได้รู้ว่าพี่รุต เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเพศที่สาม
ไม่ทราบว่าหาข้อมูลจากหนังสือ หรือประสบการณ์ตรง อย่างไรก็ตามข้อมูลทั้งหมดนั้น
ช่วยให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านได้รับความรู้สึกที่ดี และมองพวกเราในรูปแบบที่ดีและเข้าใจมากขึ้น
แค่นี้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวมมากที่สุดแล้วครับ"

ขณะนั้น บางครั้งผมก้พลิกหน้าที่ซบหลังของเขา แล้วเอาปากไปจูบที่หลังของเขาอย่างแผ่วเบา
ตอนนั้นผมหลับตา หลงลืมเวลา หลงลืมสถานที่ หลงลืมตัวตน
เขาชะงักนิดนึงก่อนที่จะเขียนต่อ


"ขณะที่พิมพ์อยู่นี้ ก็ถูกรบกวนตลอดเวลา ด้วยหมูอ้วนข้าง ๆ จนแอร์เย็น ๆ เริ่ม ไม่เย็นแล้ว
ตลอด 3 ปีทีได้คบกับพี่รุตมา รู้สึกว่าพี่รุตจะน้ำมันหมดบ่อยนะครับ และก็ชอบชวนไปกินทองหยอด
ทองหยิบตลอดเลย ปีใหม่แล้ว เปลี่ยนขนมอย่างอื่นบ้าง ก็ดีนะ จะได้ไม่อ้วน"

ขณะนั้นผมก็หันหน้ากลับมาซบที่หลังของเขาเหมือนเดิม มือยังโอบรอบเอวของเขาไว้แน่น
ในใจผมคิดเพียงแค่ว่า

"ในชีวิตนี้ผมจะรักใครได้มากขนาดนี้อีกไหมนะ"

ตอนนั้นเองผมคงกอดเขาแน่นกว่าเก่า ทำให้เขาพิมพ์ลงไปว่า

" ตอนนี้พี่รุตทำผมหายใจไม่ออกแล้ว ครับ ขอไปรับออกซิเจน ก่อนนะครับ หวัดดีครับ ........เดชา"

หลังจากนั้นผมถึงได้อ่านข้อความทั้งหมดของเขา มันเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจและเขียนลงไป
อย่างบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง ผมไม่ได้รู้สึกอะไรอื่นเลยนอกจาก ... ชื่นใจมากเลยครับ...


//www.kachin.biz/main/MOS02.htm


ฉันรู้สึกในใจ แต่ชัดเจนจนกระจ่าง
มันเหมือนเมฆหมอกบางจางสลายจากใจ
ทันใดนั้นตัวฉันก็พบความจริงบางอย่าง
นาทีนั้นชีวิตของฉันก็พลันเปลี่ยนไป

ฉันรู้สึกมานานว่าฉันนั้นมีทุกอย่าง
จนเมื่อเธอบอกฉันด้วยความรักด้วยใจ
ทำให้รู้ที่แท้ตัวฉันไม่มีทุกอย่าง
ทำให้รู้ว่ามีสิ่งไหนที่ยังขาดหาย

เธอคือส่วนที่ขาด คือชีวิตที่ขาด
และฉันรู้ว่าไม่มีวันได้จากใคร
ครึ่งชีวิตที่ขาด จากวันนี้ชีวิตฉันคง
จะมีความหมาย เธอเติมชีวิตที่ขาด

แม้จะผ่านวันวานที่แสนสำคัญยิ่งใหญ่
มันไม่มีความหมายเท่าวันนี้ ตอนนี้
และวันนี้ฉันพร้อมจะแลกทุกสิ่งทุกอย่าง
เพื่อจะขอให้ฉันได้รักเธอไปอย่างนี้

เธอคือส่วนที่ขาด คือชีวิตที่ขาด
และฉันรู้ว่าไม่มีวันได้จากใคร
ครึ่งชีวิตที่ขาด จากวันนี้ชีวิตฉันคง
จะมีความหมาย

เธอคือส่วนที่ขาด คือชีวิตที่ขาด
และฉันรู้ว่าไม่มีวันได้จากใคร
ครึ่งชีวิตที่ขาด จากวันนี้ชีวิตฉันคง
จะมีความหมาย เธอเติมชีวิตที่ขาด

=====================================================




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2549
5 comments
Last Update : 4 มีนาคม 2549 13:43:41 น.
Counter : 1045 Pageviews.

 

(ภาคเสริม: ความเห็นที่คุณวิศรุตตอบผู้ใช้นามแฝงว่า'ธรรมดาโลก')
มีคนเข้ามาโพสต์ความเห็นไว้ใน blog ผมว่า

[quote]
ไม่ได้มีความเห็นอะไรหรอกค่ะเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่อยากจะแวะมาบอกว่า ชอบที่คุณเขียนในกระทู้ความในใจฯ ตอน8 มาก

เราอ่านกระทู้นี้อยู่นานหลายตอนแล้ว รู้สึกเหมือนคุณเนี่ยแหละ
แต่ไม่กล้าโพสต์เพราะพวกเค้าเยอะเหลือเกิน

เราเป็น ญ ปกตินะ และเราไม่ได้หมั่นไส้เกย์เลย
เรามีเพื่อนเป็นเกย์เยอะแยะ ออกจะเฉยๆ ก็คือเพื่อนคนนึง ไม่ได้อะไร

แต่พออ่านกระทู้นั้นแล้ว จากที่เฉยๆ กลายเป็นไม่ชอบไปเลย รู้สึกว่า
นี่มันจะอะไรกันมากมายเนี่ย ไปตั้งกลุ่มย่อยคุยกันเองดีมั้ย
เราอ่านแล้วอึดอัดมาก บางครั้งอดรู้สึกไม่ได้ว่า
พวกเค้านึกว่าดีเลิศกว่าคนเพศปกติซะเต็มประดา
ทั้งเรื่องที่ละเอียดอ่อนกว่าเรา ฉลาดซับซ้อนกว่าเรา และเข้ากันได้ทั้งผู้ญผู้ชาย

อ่านแรกๆก็เข้าใจดีหรอกนะ แต่พอนานๆไปแล้วมันชัก
เอ่อ..รำคาญน่ะ มันง๊องแง๊งไปหมด

ก็นั่นแหละ จากที่เฉยๆ ก็ไม่ชอบขึ้นมาซะงั้น

อยากบอกแค่นี้แหละค่ะ

โดย: ธรรมดาโลก.. IP: 61.47.113.145 19 มกราคม 2549 15:30:34 น.
[/quote]

คุณวิศรุตให้ความเห็นว่า

จริงๆแล้วต้องบอกก่อนเลยว่าไม่ได้วิเศษกว่าคนธรรมดา แต่ฉลาดซับซ้อนกว่านั้น มันแน่อยู่แล้ว
แต่ที่เป็นอย่างนั้นได้ก็เพราะเราเป็นเกย์สีฟ้าโดยสายเลือด และเห็นความซับซ้อนได้ง่ายกว่าผู้ชาย
และผู้หญิงทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น

ผู้ชายทั่วไปที่ชอบผู้หญิง พอเห็นผู้ชายคนอื่นที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน
ก็เลยคิดว่าเขาจะต้องชอบผู้หญิงเหมือนกัน พอมารู้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงก็บอกว่า
ไอ้พวกนี้ผิดธรรมชาติ

ส่วนเกย์สีฟ้านั้น เขาเห็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงมาเยอะ เพราะทั้งหนังและละครเป็นพันเรื่อง
ก็มีแต่ภาพของผู้ชายชอบผู้หญิง แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชาย
แต่ตัวเขาเองก็ยังอยากที่จะเป็นผู้ชายอยู่ เพราะฉะนั้นเขาจะเข้าใจกันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่า

1. ความเป็นเพศจริงๆไม่ได้อยู่ที่อวัยวะเพศภายนอก
2. ผู้ชายที่ชอบผู้ชายไม่จำเป็นว่าเขาต้องอยากแปลงเพศเป็นผู้หญิง ถ้าพวกเขาแต่งงานกันได้จริงๆ
ก็ต้องเรียกว่าคู่บ่าวๆ ไม่ใช้คู่บ่าวสาว ถ้าสังคมยอมรับสถานภาพตรงนี้ได้จริง หลังแต่งงานไปแล้ว
ก็ไม่สามารถจะเรียกได้ว่าคู่สามีภรรยาได้ และก็ไม่สามารถเรียกว่าคู่สามี-สามีได้
เพราะมันไม่สามารถจะสื่อถึงความสัมพันธ์แบบนี้ได้ เราก็ต้องคิดคำขึ้นมาใหม่

การเป็นเกย์สีฟ้าโดยธรรมชาติจึงฝึกผู้ที่เป็นให้เป็นคนที่มีความสามารถในเชิงวิเคราะห์มาตั้งแต่เด็ก
และพอเขาเข้ามาอยู่ในสังคมที่ปิดกั้น ก็ทำให้เกย์สีฟ้าสนใจในเรื่องของ"ความเป็นธรรมในสังคม"
หรือ "เรื่องของสิทธิ" ตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น

พอเกย์สีฟ้าคิดเรื่องพวกนี้แล้วมองเห็นความแตกต่างมากยิ่งขึ้น ความสามารถในเชิงวิเคราะห์
ก็พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง แต่พวกเขาจะดีกว่าผู้หญิงและผู้ชายตรงที่พอก้าวเข้าสู่โลกแห่งเหตุผล
เกย์สีฟ้ามักจะไม่ทิ้งสิ่งที่เรียกว่า "ความรู้สึก" และนั่นคือประตูที่เปิดไปสู่โลกที่เรียกว่า
"ความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง"

แต่ลองมองผู้หญิงและผู้ชายทั่วไปที่คนมักปูให้เสร็จว่าพวกเขาต้องเรียนให้เก่ง
โตขึ้นจะได้มีงานทำ จะได้ร่ำรวย และก็หาแฟน มีครอบครัว มีลูก เลี้ยงลูกให้โต หาแฟนให้ลูก
แล้วก็ตายจากโลกนี้ไป ถ้ามีคนปูให้แบบนี้แล้วคนๆนั้นก็พร้อมที่จะเดินตามไปเรื่อยๆ
ก็อย่าไปคาดหวังให้พวกเขาต้องวิเคราะห์และละเอียดอ่อนกันเลยครับ แค่อยากจะหาทางเข้าสู่
"โลกแห่งความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง"บ้าง ก็ยังเปิดประตูกันผิดบานอยู่เป็นประจำ

แล้วยิ่งถ้าบอกว่า "ฉลาดซับซ้อนกว่าเรา" อันนี้ก็เห็นทีจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะในปัจจุบัน
นอกจากผมทำงานประจำสองแห่งแล้ว ผมก็ยังเป็นอาจารย์พิเศษในหลักสูตรปริญญาเอก
ของสองสถาบันอีกด้วย เป็นได้ทั้งๆที่ผมเรียนจบแค่ปริญญาโท เรื่องนี้นับว่าสร้างความลำบากใจ
ให้กับผมเหมือนกันนะ

เพราะผมเพิ่งอายุแค่ 34 ปี และจบแค่ปริญญาโท แต่ผมต้องไปสอนคนที่กำลังเรียนปริญญาเอก
และมีอายุตั้งแต่ 25-50 ปี บางคนก็เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่คณะแพทย์ บางคนก็เป็นประธานบริษัทต่างๆ
เวลาไปสอนผมก็มักจะต้องเรียกตัวเองว่า "ผู้บรรยาย" คือไม่กล้าเรียกว่า "อาจารย์" หรอกครับ
เพราะเราประสบการณ์ยังน้อย

แต่ที่มีโอกาสไปสอนเพราะผู้ที่เชิญอ้างว่า วิชานี้หาคนสอนยากมากเพราะมันเน้นวิเคราะห์
และการแตกประเด็นที่ลึกซึ้ง พอมาเจอผมก็เลยให้เป็นอาจารย์พิเศษมา 3 ปีแล้ว

วิชาที่ผมสอนนั้นในมหาวิทยาลัยหลายแห่งยังไม่กล้าให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีและโทเรียนเลย
เราจึงมักพบมันอยู่ในหลักสูตรของปริญญาเอกในเมืองไทยเท่านั้น ในเรื่องการวัดและประเมินผล
ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาก

แต่ที่ผมยังอยากไปสอนอยู่นั้นเพราะสิ่งที่ผมต้องการเพียงสิ่งเดียวคือประสบการณ์
เพราะเราคงไม่สามารถหาประสบการณ์แบบนี้จากที่ไหนได้อีกแล้ว

เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะสรุปว่า "ฉลาดซับซ้อนกว่าเรา" ผมก็คิดว่าคงเป็นความจริงมั้งครับ

=====================================================

สืบเนื่องจากที่ผมตอบคุณธรรมดาโลกไปในความเห็นที่ 101 พอกลับมาอ่านใหม่
ผมก็รู้สึกเสียใจมากเหมือนกันนะครับ เพราะมันดูเป็นการ "อวดดี" เกินไป
แต่ที่ผมตอบไปอย่างนั้นเพราะมันเกิดมาจากอารมณ์ที่รู้สึกว่า

"กำลังถูกเหยียดหยามความเป็นมนุษย์"

ทำไมผมถึงรู้สึกอย่างนั้นเหรอครับ ก็เพราะผมคิดว่าคุณธรรมดาโลกกำลังทำตัวเป็น "ผู้พิพากษา"
มากกว่าผู้ที่พร้อมจะให้ความเห็นในฐานะคนที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน

ทำไมผมถึงคิดหรือรู้สึกเช่นนั้นเหรอครับ ก็เพราะคำพูดของคุณที่บอกว่า

"แต่พออ่านกระทู้นั้นแล้ว จากที่เฉยๆ กลายเป็นไม่ชอบไปเลย รู้สึกว่า
นี่มันจะอะไรกันมากมายเนี่ย ไปตั้งกลุ่มย่อยคุยกันเองดีมั้ย
เราอ่านแล้วอึดอัดมาก บางครั้งอดรู้สึกไม่ได้ว่า
พวกเค้านึกว่าดีเลิศกว่าคนเพศปกติซะเต็มประดา
ทั้งเรื่องที่ละเอียดอ่อนกว่าเรา ฉลาดซับซ้อนกว่าเรา และเข้ากันได้ทั้งผู้ญผู้ชาย

อ่านแรกๆก็เข้าใจดีหรอกนะ แต่พอนานๆไปแล้วมันชัก
เอ่อ..รำคาญน่ะ มันง๊องแง๊งไปหมด

ก็นั่นแหละ จากที่เฉยๆ ก็ไม่ชอบขึ้นมาซะงั้น

อยากบอกแค่นี้แหละค่ะ

โดย: ธรรมดาโลก"

พอได้อ่านผมก็ถึงกับตะลึงงัน เพราะมีคนที่ไม่ได้เข้าใจในอะไรเลยมากถึงขนาดนี้
และยังใช้วาจาดูถูกเหยียดหยามความเป็นมนุษย์ที่ออกมาจากจิตใต้สำนึกอย่างไร้ยางอายอีกด้วย

ประเด็นสำคัญคือ

"เราอ่านแล้วอึดอัดมาก บางครั้งอดรู้สึกไม่ได้ว่า
พวกเค้านึกว่าดีเลิศกว่าคนเพศปกติซะเต็มประดา
ทั้งเรื่องที่ละเอียดอ่อนกว่าเรา ฉลาดซับซ้อนกว่าเรา และเข้ากันได้ทั้งผู้ญผู้ชาย"

ดีเลิศ ... น่าขำมาก ผมอยากจะหัวเราะให้ฟันหัก หากพวกผมดีเลิศจริงๆเนี่ย
ผมคงไม่ต้องมานั่งเขียนบทความอยู่ตรงนี้หรอกครับ แต่ที่ผมเขียนและพยายามจะบอกว่าเกย์สีฟ้า
อย่างพวกผมก็ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมานานแล้วโดยที่พวกคุณไม่รู้ต่างหาก

แต่เมื่อสังคมมองภาพของเกย์อย่างตกต่ำติดตรีน การพยายามแสดงว่าตนเองก็มีคุณค่ามากเหมือนกันนั้น
มันไม่ได้หมายถึงว่า ผมวิเศษกว่าคนอื่นหรอกครับ

แต่มันเป็นการพยายามที่เหมือนกับผมไปเจอหัวหน้างานที่มีอคติ
แค่รู้ว่าผมเป็นเกย์ก็ไม่รับผมเข้าทำงาน และไม่คิดที่จะสัมภาษณ์ผมสักคำ
ผมก็ต้องตามตื้อและพยายามแสดงคุณสมบัติที่วิเศษสุดของตัวเองให้เขาเห็นมากที่สุด เช่น

เอาใบเกรดของเทอมที่ได้คะแนนสูงสุดให้เขาอ่าน เอาประกาศนีบัตรรับรองว่าตัวเอง
เป็นผู้มีความคิดและประสบการณ์ต่างๆให้เขาดู เมื่อเขาเข้าใจว่าเราตกต่ำติดตรีน
เราจึงต้องเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาดู

แต่ถ้าหัวหน้างานคนนั้นคือคุณธรรมดาโลก คุณก็จะทำประมาณว่า
"อย่าหันมาพูดให้ฉันฟังอีกนะว่าแกน่ะวิเศษกว่าคนอื่น อย่ามาโชว์เกรดให้ฉันเห็น
อย่ามาโชว์ปริญญาบัตรให้ฉันเห็น ไปได้แล้วไอ้พวกผิดปกติ ไม่ว่าแกจะแสดงความดีเด่นอะไรออกมา
สำหรับฉัน มันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ และฉันก็จะไม่ทนพวกแกอีกต่อไป"

และถ้าผมพวกมากจริงๆ ผมคงไม่ต้องเข้ามาขออาศัยที่ในพันทิปเพื่อที่จะพยายามแสดงตัวตนหรอกครับ

ผมเพียงอยากจะบอกว่าผมเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมาจากความรักและความทนุถนอม
ของผู้ชายและผู้หญิงคู่หนึ่ง กว่าผมจะโตขึ้นมาได้ มันก็ด้วยความยากลำบาก
เพราะตอนเล็กๆผมร่างกายอ่อนแอมาก แม่ผมต้องกราบเท้ารถแท็กซี่เพื่อให้ยอมพาผมไปส่ง
โรงพยาบาลเพราะแท็กซี่บอกว่า "ไม่รับหรอก เดี๋ยวลูกพี่ตายในรถผม รถของผมก็ซวยน่ะสิ"

แม่ของผมก็เฝ้าอ้อนวอนอย่างสาหัสว่า

"สงสารฉันเถอะนะ เมื่อปีก่อนพี่สาวของเขาก็เพิ่งแท้งไป ฉันอุตส่าห์อุ้มท้องเขามาตั้งหลายเดือน
ลูกคนนี้กว่าจะเกิดมาได้ก็แทบเป็นแทบตาย ฉันไม่อยากให้เขาต้องมาตายในสภาพแบบนี้
ฉันรับไม่ได้อีกแล้วที่จะต้องเห็นลูกเล็กๆมาตายต่อหน้า ฉันไหว้นะพี่ ช่วยไปส่งเราที่โรงพยาบาลด้วยนะ"

"เอ้า งั้นขึ้นมา"

ตอนที่ธุรกิจล่ม แม่ผมก็ต้องเดินเที่ยวขอยืมเงินคนไปทั่ว แต่ไม่มีใครให้ยืมจนแม่ต้องเป็นลม
ล้มพับกลางถนน และก็ไม่มีใครแยแสเลย กว่าจะมีคนนึกได้ว่ามีมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจนอนอยู่กลางถนน
แม่ผมก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด

ผมรักแม่นะ และก็ไม่อยากให้แม่ผมเสียใจ เรื่องอื่นๆผมก็ทำให้แม่ผมหมดแล้ว
ไม่ว่ามันจะยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแค่ไหน ผมก็ไม่เคยย่อท้อ
แต่กับเรื่องนี้ผมทำให้ไม่ได้จริงๆ เพราะธรรมชาติของผมมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
แต่เรื่องอื่น ผมทำมาเยอะแล้ว และก็เจ็บปวดมาเยอะ แต่ผมก็ทำได้
แต่เรื่องที่จะให้ผมหันไปรักผู้หญิง ผมทำให้ไม่ได้หรอก

จะอย่างไรก็แล้วแต่ผมก็เป็นคนที่โตมาจากการลงทุนลงแรงของคนหลายคนทั้งพ่อ แม่
เพื่อนฝูง และครูบาอาจารย์ ผมไม่ได้เป็นเห็ดราที่เมื่อสปอร์แก่ก็ปลิวไปเรื่อยๆ ตกที่ไหน
อากาศชื้นหน่อยก็โตมาได้จนถึงทุกวันนี้ และผมก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้ชายทั่วไปเลย
เพียงแต่รักผู้ชายด้วยกันก็เท่านั้นเอง แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะบอกตัวตนที่แท้จริงให้คนอื่นรับรู้ได้
เพราะสังคมดันสรุปไปแล้วว่าเกย์เป็นพวกผิดปรกติ จะสรุปจากสื่อ จากอะไรก็ช่าง
แต่ก็สรุปไปแล้ว อย่างไม่ยุติธรรม

แล้วพอผมเข้ามาเขียนบทความและพยายามบอกว่าผมมีตัวตน ผมมีคุณค่าบางอย่างเหมือนกัน
คุณก็พยายามจะบอกว่าอ่านแล้วรู้สึกว่าผมคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าคนอื่น ผมเนี่ยนะที่คิดอย่างนั้น

ทำไมถึงกล้าพูดออกมาอย่างนั้นได้ลงคอ ทำไมถึงเป็นคนที่ไร้หัวจิตหัวใจ และพยายามจะมาบงการว่า

" นี่มันจะอะไรกันมากมายเนี่ย ไปตั้งกลุ่มย่อยคุยกันเองดีมั้ย"

นี่ผมไม่ได้กำลังเขียนสำนวนส่งให้คุณพิพากษาผมนะว่า "ผมมีความเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่า"
ประเทศที่เจริญแล้วเขายังไม่ยิงทิ้งยิงขว้างนักโทษประหารกันแบบนี้เลย

หรือเป็นเพราะคุณเองเหรอครับที่จะเป็นผู้หยิบยื่น "ความเป็นมนุษย์" ให้กับคนอย่างผม
คุณได้สิทธินั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และใครเป็นคนให้ ผมไม่เห็นเคยรับรู้เรื่องแบบนี้มาก่อนเลย

สิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ก็แค่อยากบอกว่าผมเป็นยังไง และคุณก็แค่ยอมรับหรือไม่ยอมรับ
แล้วก็ต่างคนต่างอยู่ แค่เข้าใจ หรือยืนยันที่จะไม่เข้าใจ แล้วก็ต่างคนต่างอยู่ จะรัก จะเกลียด
หรือจะทำยังไงก็ได้ แต่อย่ามาถึงขั้นบงการหรือพิพากษา เพราะผมเห็นว่าคุณยังไม่มีสิทธิที่จะทำเช่นนั้น

และที่ผมเขียนตอบไปในความเห็นที่ 101 มันก็เขียนตอบไปด้วยอารมณ์ประมาณว่ามีคนมาบอกว่า

"เป็นไงคุณ แน่นักเหรอ ฉลาดนักเหรอ"

ผมก็พูดเชิงประชดประชันไปประมาณว่า

"ก็ฉลาดกว่าคุณก็แล้วกัน"

แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะสื่อสารกับผู้หญิงและผู้ชายทั้งโลก ผมแค่ประชดประชันคุณธรรมดาโลกก็เท่านั้น
ผมมาเขียนบทความที่นี่ ผมไม่อยากทำได้แค่เป็น "สากกะเบือที่ใช้แค่เหตุผลเป็น"
แต่ไร้ความรู้สึกในการหวงแหนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

มนุษย์อ่ะ คุณเคยเป็นกันมั้ย ถ้ามีใครมาเหยียดหยามศักดิ์ศรีของคุณ คุณจะทำยังไง
ทุกลมหายใจของคุณมันยังส่งผ่านไปยังความรู้สึกภายในว่า "คุณเป็นมนุษย์นะ"
และที่สำคัญมันก็ไม่ได้มีใครวิเศษวิโสไปกว่าใครหรอก ถ้าผมคิดอย่างนั้นผมคงต้องอายหมาแน่ๆ

เพราะผมรู้สึกเจ็บช้ำที่มีคนเดินเหยี่ยบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผม
มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่ผมจะตั้งใจเดินเหยี่ยบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
และทำเหมือนกับว่าไม่เคยรู้สึกเจ็บช้ำและทุกข์ทรมานกับการถูกกระทำเช่นนี้
ถ้าผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมคงจะต้องไปกราบหมามันแล้วล่ะ ไม่ใช่เข้ามานั่งอยู่ตรงนี้
และกำลังแสดงความรู้สึกของความเป็นมนุษย์ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มา
แต่สังคมของมนุษย์ด้วยกันกลับไม่เคยให้ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

ถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณเป็นมนุษย์ และมีใครมาพูดซ้ำบ่อยๆว่าไอ้พวกผิดธรรมชาติ
พวกจิตวิปลาส พวกผิดปกติ แล้วคุณจะทำยังไงล่ะ คุณจะยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบาน
และบอกกับตัวเองทุกครั้งที่ยังมีลมหายใจว่า "นี่แหละ ความเป็นมนุษย์ของฉัน
นี่แหละคือสิ่งที่สังคมหยิบยื่นให้และฉันจะต้องตระหนักและยอมรับมันตราบใดที่ฉันยังเป็นมนุษย์อยู่"

แต่สักวันผมก็ต้องตายนะ และดินก็กลบหน้าผม ตอนที่ผมยังมีชีวิตอยู่นี้
คนที่อ้างว่าเป็นพี่น้องร่วมชาติ จะให้เกียรติกันบ้างอย่างมีเหตุผล มันไม่ได้เลยหรือ
ผมนึกไม่ออกจริงๆเลยนะว่าตัวผมเองเคยไปทำให้คนในสังคมต้องเจ็บช้ำน้ำใจตั้งแต่เมื่อไหร่

ขนาดผมมาเขียนบอกว่าผมยังเป็นคนที่มีคุณภาพอยู่นะ คุณก็กล่าวหาว่า
"ผมคิดว่าตนวิเศษกว่าคนอื่น" อยากรู้จริงๆว่าจิตใจของคุณทำด้วยอะไร
มันถึงได้เลือดเย็นและใจจืดใจดำชนิดที่เรียกว่าไม่มีความเมตตาปรานี
แม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเดียวของความเป็นมนุษย์

คุณชอบกดขี่คนอื่นเหรอ ชอบเห็นความทุกข์เวทนาของผู้คนหรือ เวลาที่พวกเขาร้องไห้
คุณก็จะหัวเราะออกมาดังๆและกระซิบผ่านโสตประสาทเข้าไปถึงใจกลางแห่งจิตสำนึกของคุณ
และพร่ำบอกกับตัวเองเหรอว่า

"ฉันนี่แหละมนุษย์ และสิ่งที่ฉันเขียนไปแบบนี้คือสิ่งที่ถูกต้องและสมควรแล้ว"

=====================================================

ขอโทษคุณ "ธรรมดาโลก" ด้วยก็แล้วกันนะครับ และคนอื่นๆด้วยที่ผมเขียนอะไรบางอย่างที่ดูไม่เหมาะสม
แต่ถ้าพิจารณาจากสิ่งที่ผมประสบมาและสิ่งที่อัดอั้นตันใจมาตลอดชีวิตคงพอจะช่วยล้างมลทินครั้งนี้ให้ผม
ได้บ้างนะครับนะครับ แล้วเราจะได้กลับไปสู่โรงเรียนปทุมคงคาในปี พ.ศ. 2529 กันต่อครับ

 

โดย: นาย Q 7 กุมภาพันธ์ 2549 12:42:00 น.  

 

แวะมาอ่านและจะค่อยๆอ่านตั้งแต่ตอนแรก น่าสนใจดีครับเรื่องนี้

 

โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) 7 กุมภาพันธ์ 2549 18:17:02 น.  

 

ก็แวะมาอ่านครับ จริงแล้วก็อ่านมาตั้งแต่ตอนแรกแล้วครับ แต่ว่าไม่มีโอกาสจะเข้ามาออกความเห็นเท่าไรอ่ะครับ

Valentine นี้ยังไม่มีคนให้ดอกกุหลาบเลย

 

โดย: ซี (sea_z ) 11 กุมภาพันธ์ 2549 10:35:01 น.  

 

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่แตก ต่างจากคุณ ความรู้สึกของเราเหมือนกัน ความกดดันรอบข้าง และอีกมากมาย บางครั้งหาตำตอบให้คนรอบข้างไม่ได้ บางครั้งอึดอัดหาทางออกไม่ได้ พอได้อ่านเรื่องของพี่ ที่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นหรือเป็นเรื่องจริง แต่ที่แน่ๆ พี่ถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีมาก และจะดีมากเลยครับถ้าพี่จะกรุณาเป็นเพื่อนคุยในบ้างครั้งที่ผมอึดอัดได้บ้าง ผมไม่สามารถบอกใครได้ว่า สีฟ้ามันคืออะไร
ps. ผมไม่ต้องการ sex ผมต้องการคนที่เข้าใจและอยู่ข้างผม หวังว่าคงมีโอกาสได้คุยกันครับ naiphop@hotmail.com

 

โดย: naiphop@hotmail.com IP: 210.213.21.110 15 กุมภาพันธ์ 2549 9:19:55 น.  

 

สนุกและให้ความรู้

 

โดย: บิ้ว,หมิว IP: 124.122.201.138 9 มิถุนายน 2551 18:46:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


นาย Q
Location :
Over the rainbow United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





BlogStat:
Friends' blogs
[Add นาย Q's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.