Group Blog
 
<<
กันยายน 2549
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
5 กันยายน 2549
 
All Blogs
 
หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน

การพัฒนาประเทศของไทยในอดีต อาศัยแรงขับเคลื่อนจากสินค้าเกษตรที่ส่งออกสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยซึ่งเป็นดินแดนอู่ข้าวอู่น้ำและมีความอุดมสมบูรณ์ดินสูงจึงสามารถผลิตข้าวคุณภาพดีส่งออกนำรายได้เข้าประเทศมาอย่างต่อเนื่อง




การทำนาในสมัยนี้ไม่ง่ายเหมือนในสมัยก่อน ปัจจัยการผลิตต่างๆ ก็มีราคาสูงขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย ยา และแรงงาน อีกทั้งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมทั้งปริมาณน้ำฝนที่ตกในแต่ละปีไม่สม่ำเสมอ ปัญหาน้ำเน่า น้ำท่วม ปัญหาการเสื่อมสภาพของดิน มองดูแล้วปัญหามันรุมเร้ารอบด้าน ลองมาดูดัชนีบางตัวที่สื่อให้เห็นความไม่สมดุลของปัจจัยการผลิตกับราคาที่เกษตรกรขายได้กันดูมั้ยครับ

ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวนาปีตีถัวๆ อยู่ที่ 57 ล้านไร่ ภาคที่มีพื้นที่ปลูกมากที่สุดคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าพื้นที่นาที่นั่นอยู่นอกเขตชลประทาน สามารถปลูกข้าวได้ปีละ 1 ครั้ง ผลผลิตในปีปกติอยู่ที่ประมาณ 21-23 ล้านตันข้าวเปลือก อยากรู้ว่าเป็นข้าวสารเท่าไรเอา 66% คูณเข้าไปนะครับ ที่เหลือ 34% เป็นน้ำหนักแกลบกับรำครับ ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรชาวนาได้ในห้วง 10 ปี น่าสนใจครับ ข้าวเปลือกหอมมะลิปี 2537 ขายได้ 4,202 บาท ปี 2547 ขายได้ 7,711 บาทต่อเกวียน ข้าวเปลือกนาปี 5% ปี 2537 ขายได้ 3,897 บาท ปี 2547 ขายได้ 6,495 บาทต่อเกวียน ข้าวเปลือกเหนียวนาปีชนิดเมล็ดยาว ปี 2537 ขายได้ 4,004 บาท พอมาปี 2547 ขายได้ 6,058 บาทต่อเกวียนครับ ถ้าเห็นตัวเลขแล้วปวดหัวตึ้บก็อยากจะบอกว่ามันเพิ่มขึ้น 83.5% 66.7% และ 51.3% ตามลำดับ

ดูคร่าวๆ ชาวนาไม่น่าลำบากนี่นา ในรอบ 10 ปีราคาที่ขายได้เพิ่มขึ้นเกิน 50% นี่หรูมากแล้ว แต่ข้อมูลการนำเข้าสารกำจัดศัตรูพืชที่หมายรวมถึงยาปราบวัชพืช ยากำจัดโรคและแมลงศัตรู ในปี 2537 มีการนำเข้าทั้งหมด 20,790 ตันสารออกฤทธิ์ 10 ปีถัดมามีการนำเข้าทั้งหมด 86,166 ตันสารออกฤทธิ์ หรือเพิ่มขึ้น 4 เท่าในเชิงปริมาณ ในเชิงมูลค่าฟังแล้วก็ยังขนลุก เพราะปี 2537 มูลค่าการนำเข้าทั้งหมด 3,584 ล้านบาท ครั้นปี 2547 86,166 ตันที่นำเข้านั้นมีมูลค่าถึง 11,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 เท่าหรือ 217%

หากชาวนาจดบัญชีครัวเรือนจะพบว่าเงินที่ได้จากรายรับนั้นมีเม็ดเงินมากขึ้น ในขณะที่เงินที่ต้องใช้จ่ายไปในด้านปัจจัยการผลิตแบบคงที่และผันแปรนั้นเพิ่มขึ้นสูงกว่ามาก นั่นคือทำงานเท่าเดิมแต่กำไรต่อหน่วยลดลงทุกวัน แต่บัญชีครัวเรือนที่เขารณรงค์ให้จดก็จดไปเถิดครับ แม้ผมไม่เชื่อตามเขาว่า “จดแล้วรวย” ก็เถอะ แต่ผมเชื่อว่าทำยังไงก็จน พอจนแล้วก็เครียด เครียดแล้วก็กินเหล้า อันนี้ผมเชื่อเต็มที่เลย

นี่คือมุมเดียวของชาวนาที่ทำงานแบบ “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” แบบตัวจริงเสียงจริง



** ภาพทั้งหมดเป็นภาพการดำนาข้าวเหนียวพันธุ์ กข 6 ถ่ายที่ อ.สบปราบ จ.ลำปาง **


Create Date : 05 กันยายน 2549
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2552 14:07:52 น. 3 comments
Counter : 1592 Pageviews.

 
นั่นสิครับ มหาวิทยาลัยที่ผมเรียน สมัยก่อนเขาถึงมีประชุมเชียร์ แล้วสั่งให้พวกเรา "หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน" เพื่อนที่ว่า เรียนจบใช้เงินภาษีของประชาชนไปแล้ว ไปทำงานที่ไหน

ก็จะ "เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน" เพราะเราจะทำประโยชน์ให้กับคนระดับรากหญ้า

แม้เมื่อรับปริญญา ก็ยังมีคำถามว่า "จะมีสักกี่ครุย ที่ลุยโคลน"

ถึงวันนี้ เราลุยกันมากี่โคลน เรารบกันมากี่ครั้ง ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของแต่ละคนนะครับ


โดย: เสือจุ่น วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:17:53:14 น.  

 
ชอบประโยคของคุณเสือจุ่นจัง

"จะมีสักกี่ครุย ที่ลุยโคลน"





โดย: ปราวตรี IP: 124.120.235.106 วันที่: 7 กันยายน 2549 เวลา:21:02:26 น.  

 
แต่นักการเมืองนี่เป็นที่น่ารังเกียจกับทุกสังคมมาทุกยุคทุกสมัย มีนักการเมืองที่ไหนมักมีแต่เรื่องชั่วๆ ชาตินี้ผมจะเจอนักการเมืองที่ดีสักคนมั้ย


ผมก็หาอยู่ครับ


โดย: หมวดเจ๋ง IP: 203.113.71.135 วันที่: 13 กันยายน 2549 เวลา:11:02:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

น้าโหด
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Friends' blogs
[Add น้าโหด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.