แอ่วเจียงฮาย ตอน ๓
อะแน่ะ แอบเหลือบดูเพจวิว มีคุณน้าตั้ง สี่สิบหกคน มาดูนู๋ แล้วไมไม่ส่งเสียงทักทายกันม่างละก่ะ
เช้าวันที่สาม คุณแม่เรียกลุงแอ๊ดให้ช่วยแวะร้านยาให้นู๋ก่อนเลย เพราะก้นนู๋มันแดงไปหมด ได้ยาปุ๊บ คุณแม่จับนู๋โป๊ในรถเลยแหละ ยาจะได้รีบออกฤทธิ์ ก่อนที่นู๋จะแสดงอิทธิฤทธิ์
เด๋วนู๋มานะก่ะ กำลังโวยวายคุณแม่ เพราะนู๋คัดไทยผิด คุณแม่จะให้แก้ แต่นู๋เหนื่อยยยยย นี่นา (ทำเสียงเคียด)
กลับมาแร้น ขอโทษคะ หายไปวันนึงเลย พอดีติดพัน ปราบมรรคณิชาและนู่นนี่ จิปาถะ เมื่อคืนนี้ ดีจัง หลานที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่นเพิ่งกลับมา เลยได้คุยกันสนุก คุยแล้วคุณแม่อุ่นใจขึ้นเยอะเลย สำหรับทริปญี่ปุ่นอาทิตย์หน้า อิอิ
ที่เขียนข้างบนเรื่องเสียงทักทายนั้น เป็นการเขียนแบบไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี เลยเหมือนต่อว่ากันเลยนิ จริงๆ ตอนเขียนแค่เขียนสิ่งที่ติดอยู่ในสมองก่อนหน้าจะมาเปิดบล็อกคะ เผอิญแอบเข้าไปดูหน้าที่ตัวเองเขียน แล้วเห็นเค้ามีตัวเลขเพจวิว ซึ่งตัวเลขนี้ บางทีเห็นมี บางทีก็ไม่เห็น พอเห็นก็อดจะกระตู้วู้ไม่ได้ เอาเป็นว่า อย่าถือสาเลยนะคะ ทางนี้ ไม่ได้น้อยใจอะไรเลย จริง (ทำเสียงสูง)
ต่อเน๊อะ เช้าวันที่สามนี่ เราไปเที่ยววัดร่องขุนกัน ซึ่งที่นี่แหละ ที่เป็นต้นกำเนิดของทริปเชียงราย เพราะคุณแม่อยากชมมั่กๆ ไปถึงก็ตกใจนิดหน่อย เพราะสถานที่ท่องเที่ยวที่ผ่านๆ มา จะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว แต่ที่นี่มีรถบัสตั้งสามคัน ในวัดก็มีคนประมาณล้านเจ็ด (นับ แปดร้อยรอบ) ก็ดีคะ ถ่ายรูปตรงไหนก็มีเพื่อนใหม่ติดอยู่ด้วย เห็นสถาปัตยกรรมของวัดร่องขุนแล้ว ก็อดสรรเสริญอาจารย์เฉลิมชัยไม่ได้ ที่มีมานะสร้างสรรวัดนี้ขึ้น และยังเลยเถิดไปถึง หอนาฬิกาและโคมไฟตามถนนในเมือง เน้นความอ่อนช้อยแบบล้านนา ใครๆ ก็คงเห็นรูปวัดร่องขุนกันมาก็เยอะ แต่คงไม่เคยเห็นรูปกำแพง ด้านในอุโบสถแน่ๆ เขียนได้ล้ำจริงๆ ขนาดมรรคณิชายังยืนชมไป หัวเราะไป ทริปนี้ โชคไม่ดี ไม่ได้เจออาจารย์ แต่ก็ได้เจอลูกศิษย์ ลูกน้องของอาจารย์นั่งวาดรูปบนกำแพงอยู่ และมีลูกของลูกศิษย์ อายุแค่ สิบสองขวบ แต่มีความาสามารถมากเหลือเกิน แกนั่งวาดรูปลายเส้นขาวดำ รูปกวางป่า อยู่ ความที่มัวแต่ชื่นชมน้องเค้า (และมีไทยมุงหลายคนร่วมชื่นชมด้วย) ก็เลยลืมขออนุญาติคุณพ่อของน้อง ถ่ายรูปมาให้ทุกคนเห็นความสามารถของน้อง
เสร็จจากชมตัววัด ก็ไปชมงานของอาจารย์กัน ชมไม่สนุกเท่าไหร่ เพราะมรรคณิชาบ่นจะเข้าห้องน้ำ (อีกแล้ว) ทุกคนเลยต้องรีบๆ ดู และรีบๆอุดหนุนผลงานของอาจารย์กัน (แต่ก็ดีนะ ขืนยืนนาน จะเสียทรัพย์เยอะกว่านี้ อิอิ)
ส้วมทองไม่เปิดบริการ ทำให้อาม่าผิดหวังนิดหน่อย พวกเราต้องเดินไปใช้ส้วมด้านหน้า ขณะที่เดินไป มรรคณิชาอ่านป้ายเสียงดังฟังชัด "สุขา" กรี๊ดดดดดด ภาษาไทยคำแรกที่ลูกอ่านได้ เหอ เหอ
เสร็จจาก วัดร่องขุน เราไปต่อกันที่ บ้านดำ ของ ท่านอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี นึกดีใจนิดๆ ว่า ไปถึง รถบัสท่องเที่ยวเพิ่งออกจากบ้านดำ เราจะได้ไม่เจอคนเยอะ ปรากฏว่า พอไปถึง เจ้าหน้าที่บอกว่า มีเวลาชมบ้านแค่สิบนาที เพราะอาจารย์กำลังจะกลับ ท่านไม่ชอบให้คนมาป้วนเปี้ยน พวกเราเลยเข้าไปชมบ้านหลังแรกแบบเร็วๆ พอจะออกไปต่อ อาจารย์จะถึงพอดี เจ้าหน้าที่ดูแตกตื่นพอควร สงสัยอาจารย์จะดุแหะ พวกเราตัดสินใจรอในห้องขายของที่ระลึก ซึ่่งนับเป็นเรื่องดี เพราะมีโอกาสได้คุยกะน้องที่อยู่ประจำห้อง ทำให้ได้รู้เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับผลงานของอาจารย์มากขึ้น
อย่างรูปที่โชว์อยู่ในห้องนั้น มีคนมาประมูลไปแล้วในราคา ยี่สิบล้านบาท อาม่าเลยยืนขอถ่ายรูปกับรูปนี้หลายใบ ทั้งยังมีรูป ช้าง ม้า วัว ควาย ซึ่งอาจารย์ใช้เวลาตวัดปลายพู่กันแค่ยี่สิบวินาที ผลงานนี้ ก็ขายได้ในราคาล้านห้า คุณแม่เลยรีบคว้าเสื้อยืดที่พิมพ์ลายม้าและควาย เอาไปฝากพ่อ พวกของที่ระลึกในร้านนั้น อาจารย์ทำขายโดยยกรายได้ให้เป็นค่าอาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียน นับเป็นความคิดที่น่ายกย่อง เห็นแล้วก็อยากให้อาจารย์ขยายร้านออกไปกว้างๆ เพราะแม่ชักโลภ อยากได้ผลงานภาพพิมพ์ของอาจารย์มาสะสมบ้าง อิอิ
น้องที่อยู่ข้างในร้าน น่ารักจริงๆ คุยสนุก ได้ความรู้เกี่ยวกับบ้านดำเยอะ แกเอาภาพห้องศิลป์ที่อาจารย์ทำงานอยู่ให้ชม ซึ่งปกติห้องนี้ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่อนุญาติให้ใครรบกวน พวกเราแอบได้เห็นจากรูป ซึ่งมีโชว์ผลงานที่อาจารย์ท่านทำค้างอยู่ให้กับแบงก์กรุงเทพ ผลงานนี้ ราคาพันล้านเชียว
นอกจากคุยกะน้องในร้านแล้ว พวกเรามีโอกาสได้คุยกะนักท่องเที่ยวอื่นๆ ทำให้รู้สึกว่า ทริปนี้ได้ครบทุกอย่างจริงๆ คือ ได้สัมผัสเสน่ห์ของสถานที่ และ จากผู้คนด้วย
จบจากบ้านดำ พวกเราแวะเติมพลังที่ร้าน สลุงคำ ซึ่งทุกคนคงคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นร้านแนะนำยอดนิยม อาม่าสั่งซี่โครงหมูรมควัน แต่ยังไม่ติดใจถึงขนาดจะทำให้อาม่ายอมห่อซี่โครงหมูนี้ขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพได้ ส่วนแม่นั้น ติดใจ วุ้นเส้นผัดไข่เค็มดิบ และผัดปวยเล้ง ไม่รู้เป็นเพราะว่า กินลำบากมาหลายมื้อ (คือเมนูส่วนใหญ่เป็นเมนูชอไงคะ) มื้อนี้ได้กินเต็ม หน่อย เลยล่อเสียแปล้เลย
ทัวร์ครึ่งบ่าย เป็นการไปตามวัดต่างๆ ในเมืองที่ทุกๆ คนคงรู้จัก ที่ๆ อดแปลกใจไม่ได้ คือ ทำไมเชียงรายถึงได้มีทั้ง เสาหลักเมือง และเสาสะดือเมือง
ตกเย็น พวกเราไปลุยไนท์บาซาร์กัน ผิดหวังเล้กๆ เพราะครึ้มฟ้าครึ้มฝน พ่อค้าแม่ค้า กะเหรี่ยง ต่างก็ไม่มาตั้งร้านกัน ทำให้ช้อปไม่ค่อยสนุก แถมยังต้องไปหลบฝนกันบริเวณฟาสต์ฟู้ด มรรคณิชาคงเริ่มเซ็ง เลยอาละวาดเล็กๆ ทำตัวหมดเรี่ยวหมดแรง แม่ได้แต่นึกในใจ สงสัยคืนนี้ คงต้องปล่อยให้นู๋อดแน่ๆ เพราะแม่ก็ไม่มีอารมณ์จะง้อนู๋ ปรากฏว่า อาม่าเอาข้าวเหนี่ยวกับปลาย่างป้อนเข้าปากนู๋ ๆ แปลงร่างกลายเป็นเทพธิดาในทันที กลายเป็นร่าเริมแจ่มใส ล่อปลาย่างของอาม่าเกือบหมดตัว คุณแม่เลยต้องขอประชาสัมพันธ์ ใครแวะไปฟ้าสต์ฟู้ดที่นี่ละก้อ มองหา ร้านชื่อ "แมงปอ" กันนะคะ อาหารเค้าอร่อยทุกอย่างเชียว ปลาย่างๆ ด้วยสมุนไพร หอมกลิ่นขมิ้น น้ำจิ้มแซ่มมากกกก จนอยากจะหอบกลับกทม. นอกจากนี้ เรายังสั่ง ผัดซี่อิ๊ว กะราดน้ามาชิม ราดหน้านั้นธรรดา แต่ผัดซีอิ๊วนี่ ขั้นเทพ คะ หอมกะทะมั่กๆ อูยยย พูดแล้วหิว
ก็ ขอจบทัวร์เชียงรายแต่เพียงเท่านี้นะคะ เอาแบบสรุปๆ แล้วยังไง คืนนี้ คุณแม่โหลดภาพลงเฟซบุ๊คให้คุณพ่อได้ดู ถ้ามีเวลาเหลือ จะย่อรูปเด็ดๆ ลงบ็อกๆค๊า
Create Date : 03 สิงหาคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 4 สิงหาคม 2553 13:35:04 น. |
Counter : 811 Pageviews. |
|
|
|
ยังแวะมาหาน้า ไว้จะมาคุยด้วยนะคะ
อยากเห็นหนูชิชาบ้างอะค่ะ ไม่เห็นมานานแล้ว
น้าพลอยว่าหนูต้องโตขึ้นแยะแน่เลย