Sri Lanka Trip 2013 : Sigiriya








หายไปนานอีกครึ่งชาติภพ อิอิ ไม่มีเหตุผลอะไรนอกจากความขี้เกียจครับ
คือย่อรูป ทำรูปนี่ไม่เท่าไหร่นะ แต่ตอนฝากโฮสท์แล้วต้องก็อปปี้ลิ้งก์มาเนี่ยครับ
มันทรมานหัวจัย ก็เลยเว้นไปอีกครึ่งชาติ
อีกเหตุผลก็คือแก่แล้วครับ หลังๆ นี้เลิกงานแล้วมันเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรต่อก็เลยแช่ๆ ไว้ก่อน
ตอนนี้กลับมาต่อทริปศรีลังกา ไม่ใช่อะไรหรอกเพิ่งสำเหนียกว่าใกล้จะเริ่มทริปใหม่อีกแล้ว
ต้องจัดการของเก่าให้เสร็จเสียก่อน คริคริ
บล็อกนี้ตามไปดู สิคีรียา (Sigiriya)อีกหนึ่งมรดกโลกของศรีลังกากันต่อครับ

แต่ก่อนจะปีนเขา รีวิวที่พักกันหน่อยดีกว่า
เมื่อคืนนอนที่เกสต์เฮ้าส์ชื่อ Lakmini Lodge ชื่อฟังเหมือนจะดีนะ มีหล่ง มีลอดจ์ แต่ห่วยมากครับ
มุ้งขาด น้ำไหลเหมือนหนูฉี่ ผ้าห่มเหม็น คืนละ 4,000 รูปี คิดเป็นเงินไทยก็พันนึงแล้วนะ







พวกเรานอนที่นี่เพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ใครจะไปคิดว่าสิคีรียาจะหาโรงแรมดีๆ นอนได้ยากขนาดนี้
Wi-Fiที่บอกว่ามีก็ต้องเดินไปที่ถนนใหญ่ เป็นบ้านเจ้าของ(หรือคนดูแลเกสต์เฮ้าส์ก็ไม่รู้)
จะเป็นร้านโชห่วย แล้วให้นั่งเล่นตรงนั้น มีสัญญาณเท่าปลายหางลูกอ๊อด -*-
เดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย เช็คข่าวเมืองไทยไป ให้อาหารยุงไปด้วย สำราญดีพิลึก..

***** 9 กุมภาพันธ์ 2556 *****

ตื่นนอนค่อนข้างเช้า ช่วงไปเที่ยวไม่มีเมรัยตกถึงท้องเลย เหนื่อยเกินกว่าจะออกไปสรรหาความเมา อิอิ
วันนี้จะไปปีนเขาสีหคีรี (Sihagiri Moutain) ชมซากวังสิคีรียา (Sigiriya Palace) กันล่ะครับ
ก่อนอื่นแวะกินอาหารเช้าที่ร้านอหิงสาที่มาสำรวจไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ร้านอาหารนี้ตั้งอยู่ใกล้ๆ เกสต์เฮ้าส์
มื้อเช้าของเราเป็นกาแฟ ขนมปังทาแยมกับเนยธรรมดา กินกันริมถนนเลย ขนมปังเขาเสิร์ฟให้ไม่อั้นครับ

พยายามอัดเข้าไปให้เยอะที่สุด เพราะรู้มาว่าในอุทยานประวัติศาสตร์ไม่มีอะไรขาย จะมีก็เพียงซุ้มกาแฟริมที่ขายตั๋วเท่านั้น
เสร็จแล้วเตรียมตัวออกลุย ในกระเป๋ามีแยมโรลกันคนละแถว กับน้ำอีกขวด แล้วนั่งตุ๊กตุ๊กไปเชิงเขา ค่ารถสองคนแค่100 รูปี
แต่ค่าชมโบราณสถานสิคีรียาตั้ง 30 เหรียญแน่ะ ผมว่าแพงเว่อร์เกินไป ถึงจะเป็นมรดกโลกก็เหอะ
เพราะราคาอย่างนี้ถึงได้ยินว่ามีคนลักลอบเข้าฟรีทางป่าละเมาะรอบข้างบ่อยๆ วันที่ไปก็เจอฝรั่งวัยรุ่นสามสี่คนโดนคุมตัวลงจากเขาโทษฐานแอบขโมยเข้าฟรี 555+

ใช้เวลาพอสมควรทีเดียว ขึ้นเขานี้ไม่เหนื่อยเหมือนเขาไจก์โตที่มีพระธาตุอินทร์แขวนไจก์ทิโย เมืองพม่า เพราะมีขั้นของบันไดให้ผ่อนแรงก้าวไปในตัว

ตื่นตากับภาพเขียนสีเฟรสโก้นางฟ้าตรงครึ่งทางมากครับ แต่ขึ้นไปถึงยอดก็เฉยๆ เพราะเหลือแต่ซาก
ลมแรงมากๆ ลิงก็เยอะมาก ต้องคอยระวังพวกมัน พยายามนึกภาพตามว่าถ้าซากที่ยังเหลืออยู่ ยังดีๆ คงจะสวยมาก การขึ้นเขาไม่ลำบากนัก ผมว่าสิ่งที่สนุกที่สุดของการมาทีนี่ คือการปีนขึ้นไปนี่แหละ...



ที่ขายตั๋วครับ อิอิ



ตั๋วเข้าชมราคาสามสิบดอลล่าร์ รีดเลือดเอากับปูไทยไปหลายซีซี



ก่อนปีนเขาก็แวะดูพิพิธภัณฑ์เสียหน่อย แต่ได้แค่ภาพนี้มา เป็นนิทรรศการภาพวาดเด็กประถมครับ อยู่ด้านหน้าทางเข้า
ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพครับ ส่วนใหญ่จะโชว์ของที่ค้นพบในบริเวณโบราณสถานแห่งนี้
เครื่องประดับโบราณทำด้วยทองและอัญมณีบางชิ้น ดูแล้ว ว้าววว มาก แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรของชาวสิงหลโบราณนั้นมั่งคั่งมิใช่น้อย

เริ่มเข้าเขตพระราชวังสิคีรียากัน ด้านล่างนี้เป็นส่วนของอุทยาน





มีการวางระบบท่อน้ำและชลประทาน มีสระ มีน้ำพุ นับว่าไฮเทคมากสำหรับยุคสองพันกว่าปีก่อน



เดินต่อไปเชิงเขากันครัฟ











ขึ้นบันไดมาเห็นนักท่องเที่ยวกำลังเดินไต่เขากันเป็นแถว



เราก็เริ่มตามเขาไปกันครัสสส











อากาศร้อนมาก แต่เพราะเป็นเขา เลยมีลมพัดแรง ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยมากครับ
แค่เหงื่อเริ่มซึมๆ ก็เห็นบันไดเวียนข้างหน้า เอ๊ะ ที่นี่เขามีอะไร



ไต่ขึ้นไปแล้วก็ร้อง ว้าววว
ภาพเขียนสีเฟรสโก้ "นางฟ้าแห่งสิคีรียา" ครับ
เคยเห็นแต่ในหนังสือ กับภาพในเน็ต ได้มาเจอของจริงแล้ว เป็นปลื้ม
นักโบราณคดีที่ไปด้วยกันนี่น้ำตาแทบเล็ด
เพราะเจ้าตัวเคยเรียนเรื่องโบราณคดีเอเชียใต้ที่ มศก.
คงซาบซึ้งมากที่ได้มาเห็นกับตา คริคริ









หลายภาพดูเก่าแก่จริง แต่หลายภาพสีสดเว่อร์ ผมว่าเขาต้องแอบมาเขียนซ่อมแน่เลย ฮ่าๆ
ชมนางฟ้ากันไปก่อนนะครัสสส







บางนางก็ไปแอบอยู่ชะง่อนด้านบนนู้นน สงสัยจะอาย ช่างเป็นกุลสตรีศรีลังกาทวีปจริงๆ



สองนางนี่แหละครับ ไฮไลท์







ยลโฉมนางฟ้าหนำใจแล้วก็เดินกันต่อไปครับ



กำแพงด้านนี้มีชื่อฝรั่งเก๋ไก๋ว่า Mirror Wall จริงๆก็คือปูนขัดมันให้วาวๆ น่ะครับ
คงไม่มีนางสนมกำนัลที่ไหนมาผัดหน้ากันตรงนี้หรอก





ใกล้ถึงแล้วจ้าาา



ผ่างงง แล้วเราก็มาถึงบันไดสิงห์ ทางขึ้นพระราชวังโบราณแล้วครับ
เมื่อก่อนสร้างเป็นสิงห์เลยนะ แต่ตอนนี้เหลือแต่ขาครับ พังหมดแล้ว





นั่งพักเหนื่อยก่อน แล้วค่อยปีนครับ
ขอบอกว่าน่าหวาดเสียวมาก เพราะบันไดเหล็กที่เจาะเข้ากับหน้าผา
บางช่วงเห็นมีสนิมเขรอะ ลมก็แรง กลัวจะร่วงจุงเบยฮ๊าฟฟฟ



ถึงพระราชวังที่เหลือแต่ซากแล้วครับ ลมเย็นสบายดี เสียแต่หิวน้ำมาก
ข้างบนนี้ไม่มีอะไรขายเลย ซึ่งผมว่าก็ดีนะ ไม่ทำลายทัศนียภาพของโบราณสถาน
มองไปรอบๆ ให้บรรยากาศยังกะพีระมิดแถบอเมริกากลาง อิอิ
สมัยนั้นยามเย็น จะมีเพียงกษัตริย์กัสปะและมเหสีเท่านั้นที่พำนักอยู่บนนี้ครับ
นึกภาพแล้วคงเหมือนยอดปราสาทบนสวรรค์ สมแล้วที่เป็นมรดกโลก
เชิญทัศนาครับ...














ภูเขาสิคีริยา (Sigiriya Rock) : มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ พ.ศ. 277 พระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะได้เสด็จประพาสบริเวณนี้ และตั้งชื่อภูเขาแห่งนี้ว่า สีหคีรี แปลว่าภูเขาราชสีห์หรือสิงโต พ.ศ.440พระเจ้าปุลหัตถะทรงสร้างป้อมเชิงเทิน และศาลาโรงธรรมสำหรับนั่งสมาธิเอาไว้ จนถึงสมัยพระเจ้าพาหิยะ ราชโอรสของพระเจ้าปุลหัตถะ ทรงสร้างโรงทานสำหรับพระภิษุขึ้นเพิ่มเติม สมัยพระเจ้ากัสสปะ ใน พ.ศ.1020 ทรงสร้างสีคีรีนี้ให้เป้นพระราชวังที่ประทับ และป้อมปราการ เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยสงคราม ด้วยเหตุผลที่พระองค์ได้จับพระราชบิดาคือ พระเจ้าธาตุเสน ขังคุกแล้วโบกปุนปิดทั้งๆ ที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ เพราะต้องการขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อโดยเร็ว พระราชวังแห่งนี้เป้นอนุสรณ์สถานของคนบาป ลูกซึ่งฆ่าพ่อเพื่อชิงบัลลังก์ ใช้เวลาในการสร้าง นานถึง 7 ปี ใช้เงินไปประมาณ 70 ล้านเหรียญทอง พระเจ้ากัสสปะประทับอยู่ที่นี่นานถึง 18 ปี ก็ถูกกองทัพของเจ้าชายโมคคัลลาน์ (พระอนุชาต่างมารดา) ซึ่งยกมาจากอินเดีย เพื่อมาล้างแค้นและแย่งชิงราชบัลลังก์คืน พระเจ้ากัสสปะไมมีทางสู้และขากเสบียงอาหาร จึงปรงพระชนชีพพระองค์เองด้วยดาบ ในพระราชวังบนภูเขาสีคิริยะแห่งนี้

การที่จะสร้างให้สิกิริยาเป็นราชธานีนี้ มีมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าธาตุเสน ราชธานีของพระองค์อยู่ที่อนุราธปุระ พระองค์มีพระราชประสงค์จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีอำนาจทั้งฟ้าและดิน จึงต้องหาที่สร้างวังบนยอดเขา ต่อมาเจ้าชายกัสสปะพระราชโอรสผู้ประสูติจากมเหสีฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นหญิงสามัญชน ได้ยึดอำนาจการปกครองจากพระเจ้าธาตุเสน ทำให้เจ้าชายโมคคัลลาน์ รัชทายาทซึ่งประสูติจากสมเด็จพระราชินีต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศอินเดีย

หลังจากเจ้าชายกัสสปะ ได้จับพระราชบิดาขังคุกแล้วโบกปูนปิดทับทั้งที่ยังมีพระชนม์ชีพ จากนั้นก็สถาปนาพระองค์เองเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงไม่โปรดที่จะครองราชย์อยู่ที่อนุราธปุระ ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่สิคีริยา ใช้เวลาในการสร้างนาน 7 ปี

พระเจ้ากัสสปะครองราชย์อยู่นาน 18 ปี ก็ถูกเจ้าชายโมคคัลาน์ พระอนุชาต่างพระมารดา ยกทัพมาจากประเทศอินเดียมาชิงพระราชบังลังก์คืน ทรงล้อมสีหคีรีไว้แน่นหนา พระเจ้ากัสสปะไม่มีทางสู้ จึงตัดสินพระทัยปลิดพระชนม์ชีพพระองค์เองในพระราชวังบนขุนเขาแห่งนี้

พระราชวังสิกิริยา (Sigiriya Palace) : มีคูน้ำกว้างประมาณ 10 เมตร ล้อมรอบทั้ง 4 ด้านของพระราชวัง (แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า) ผ่านกำแพงพระราชวังเข้ามาจะพบสระสรงน้ำขนาดใหญ่ 2 สระเป็นที่ทรงพระสำราญสรงน้ำกับเหล่าพระมเหสีและนางสนม จากนั้นเข้าสู่อุทยานอันงดงาม มีทั้งน่ำพุ น้ำตก สวนดอกไม้ เดินต่อไปจะพบกับก้อนหินขนาดใหญ่ มีแท่นที่ประทับพักผ่อนของกษัตริย์ใต้เพิงหิน มีบันไดทางขึ้นระหว่างซอกหินขนาดใหญ่ ขึ้นไปยังระเบียงหน้าผาของภูเขาสีคิริยะ

ทางเดินขึ้นชมพระราชวังสิคีริยา สามารถเดินขึ้นบันไดวนทำด้วยเหล็ก ขึ้นไปอีกประมาณ 30 ขั้นจะถึงหลืบถ้ำเล็กๆ มีความยาวราว 6 เมตร มีภาพเขียนสีเฟรสโกของเหล่านางอัปสรอันเลื่องลือ ภาพเขียนจะเขียนเป็นคู่ๆ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ที่ว่าเป็นรูปทางอัปสรเพราะมีอุณาโลมอยู่ระหว่างคิ้วตรงหน้าผาก วาดเพียงครึ่งตัว ตัวเจ้านายนุ่งผ้า แต่ไม่สวมเสื้อ ส่วนบริวารหรือคนรับใช้จะสวมเสื้อหนา เจ้านายจะถือดอกไม้ บริวารจะถือถาดใส่ดอกไม้ มีท่าทางกำลังจะไปบูชาพระหรือเทพยดา ภาพยังคงสีสดใสมาก แม้จะผ่านมาเป็นเวลาร่วม 1,500 ปี มาแล้ว ภาพเขียนเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ถ้ำอชันตา ทางภาคใต้ของอินเดียมาก

พ.ศ. 2396 นายอดัมส์และนายเบเลย์ กับชาวพื้นเมือง 2 คน ได้ปีนเขาขึ้นไปสำรวจพบภาพจิตรกรรมฝาผนังชุดแรกเป็นรูปสิงโต

พ.ศ.2418 นายเดวิส ก็พบภาพเขียนเพิ่มเติมในทางด้านทิศตะวันตก และปีต่อมานายบัตเลย์ก้ค้นพบทางขึ้นทางด้านทิศตะวันตก ซึ่งถูกปิดด้วยป่าทึบ เขาได้พบคูน้ำและป้อมเชิงเทินด้วย

พ.ศ.2437 นายเอช.ซี.พี.เบล ได้พบทางขึ้นทางด้านตะวันออก เริ่มมีการถางป่าทึบรอบๆเขา และเริ่มบูรณะจิตรกรรมฝาผนัง

พ.ศ.2442 เซอร์วิลเลี่ยม เกรกอรี่ อดีตผู้ว่าการซีลอนพบจิตรกรรมฝาผนังอีก 30 ภาพ เริ่มมีการเจาะผนังหินฝังเหล็กยึดเพื่อทำสะพานเหล็กลอยฟ้าเชื่อมเป็นทางเดิน

ด้านซ้ายมือจะเป็นกำแพงกระจก ทำด้วยอิฐฉาบปูนราบเรียบลื่นจนเป็นมันเงา(ทาด้วยสีเหลือง) มีอักษรจารึกที่กำแพงเป็นคติคำสอนในพระพุทธศาสนา ในช่วงเลาบ่ายๆแสงแดดจะสาดส่องสะท้อนสู่ผนังถ้ำกับกำแพงกระจกก่อให้เกิดกำแพงสีเหลืองอร่ามกระจ่างชัด เงางามเต็มทั่วแนวกำแพง

ด้านหน้าผาจะพบกับเท้าของสิงโตทั้ง 2 ข้างขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐฉาบปูน ตรงกลางทำเป็นบันไดทางขึ้นไปบนยอดสูงสุดของภูเขาสีคิริยา เป็นรูปสิงโตครึ่งตัวในท่าหมอบคลานหันหน้าไปทางทิศเหนือ สำหรับลำตัวและหัวนั้นพังทลายไปแล้ว

ในสมัยก่อนลานแห่งนี้เป็นที่พักของข้าราชบริพารที่รับใช้ไกล้ชิดพระเจ้ากัสสปะและพระมเหสี ยามค่ำคืนพระองค์จะเสด็จขึ้นไปประทับในพระราชวังบนยอดเขาแต่เพียงลำพังกับพระมเหสีเท่านั้น

ด้านทิศตะวันออกจะมีพระแท่นประทับทำด้วยหินขนาดใหญ่พบร่องรอยมีหลุมเสารองรับหลังคาของพระเจ้ากัสสปะ สำหรับทอดพระเนตรมหรสพและการละเล่นต่างๆ รวมทั้งทอดพระเนตรลงไปเบื้องล่าง ให้ประชาชนผู้จงรักภักดีได้เข้าเฝ้า

ในปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก (Word Heritage) อีกแห่งหนึ่งในศรีลังกา ในปี 2525 พร้อมกับเมืองอนุราชปุระและโปโลนนารุวะ

พระเจ้ากัสสปะกษัตริย์แห่งอนุราชปุระทรงมีชื่อเสียงในความเป็นศิลปิน ทรงสร้างสีคิริยะขึ้นบนก้อนหิน ที่เชื่อกันว่าเป็นที่สิงสถิตของ คูเวรา เทพเจ้าแห่งความมั่นคง

ประตูสิงห์ : ทางเดินของท้ายภูเขาทางทิศเหนือ มีลานที่เป็นต้นกำเนิดของชื่อสิคีริยา (ภูเขาหิน) ครั้งหนึ่งภูเขานี้เคยเป็นรูปสลักหินสิงโตยักษ์ และมีทางขึ้นไปยังยอดเขาอยู่ตรงระหว่างอุ้งเท้าของสิงโตที่อ้าปาก ปัจจุบันเหลือเพียงอุ้งเท้าสิงโตที่ยังปรากฎให้เห็น เล็กแต่ละเล็บของอุ้งเท้าสิงโต มีขนาดยาว 7-8 ฟุต ซึ่งสามารถบอกได้ว่ารูปสลักเดิมเคยมีขนาดใหญ่แค่ไหน สิคีริยา มีประวัติความเป็นมายาวนาน นับตั้งแต่พุทธปรินิพพานได้ 277 ปี พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ได้เสด็จประพาสและตั้งชื่อภูเขาแห่งนี้ว่าสีหคีรี ซึ่งแปลว่า เขาสิงห์ ต่อมาใน พ.ศ.440-454 พระเจ้าปุลหัตถะได้สร้างป้อมพร้อมศาลาโรงธรรมไว้ที่นี่ ในรัชสมัยของพระเจ้าพาหิยะได้สืบทอดเจตนารมณ์ของพระราชบิดาโดยการสร้างโรงทานสำหรับพระภิกษุ จนมาถึงในรัชสมัยพระเจ้ากัสสปะ พ.ศ.1020 ได้ทรงสร้างสีหคีรีนี้เป็นป้อมปราการและเป็นพระบรมมหาราชวังด้วย
โบราณสถานอันยิ่งใหญ่นี้ ได้รับการยกย่องว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก
(ขอบคุณข้อมูลจาก //www.oceansmile.com)














พวกเราอยู่บนนั้นจนถึงบ่ายแก่ๆ ราวสี่โมงเย็น เพราะเริ่มหิว น้ำก็หมด
และก็รำคาญลิงมากครับ มันชอบย่างสามขุมจะเข้ามาฉกฉวยอะไรก็ตามที่เราแขวนหรือสะพายอยู่
ไม่ระวังก็อาจมีปัญหาได้



ลาแล้ว สิคีรียา ไม่รู้ว่าจะได้มาอีกไหม...





กลับมาแวะที่ร้านอหิงสาเช่นเคยครับ



หิวจัด...สั่งข้าวผัดจานเบ้อเริ่ม ผมกินเกลี้ยงเลยครัส
ข้าวผัดศรีลังกาอร่อยดี เค็มๆ มันๆ





อิ่มแล้วก็แวะร้านโชห่วย ต่อไวไฟเช็คข่าวเมืองไทยนิดหน่อย แล้วกลับที่พักอาบน้ำนอนครับ
พรุ่งนี้จะเดินทางกันต่อไปเมืองแคนดี้ (Kandy)
แต่ก่อนไป ช่วงเช้าเราจะแวะกันที่ดัมบูล่า (Dambulla) แวะชมวัดถ้ำ มรดกโลกอีกแห่งหนึ่งครับ









 

Create Date : 30 ตุลาคม 2556
3 comments
Last Update : 30 ตุลาคม 2556 18:34:31 น.
Counter : 4206 Pageviews.

 

ตวยมาแอ่วเจ้า
ถ้าเมิ้นเมินละ

เดาว่ากษัตริย์ถ้าบ่ตุ้ยเพราะบ่ได้ไปไหน ก่ถ้าจะผอม เพราะเตียวขึ้นเตียวลง

 

โดย: tuk-tuk@korat 30 ตุลาคม 2556 20:37:13 น.  

 

สวัสดีครับ คงพอจะจำกันได้

ไปศรีลังกาหลายครั้งแล้ว ขึ้นไปที่นี่ไม่ได้
เพราะมีผู้สูงวัยใกล้ร้อยไปด้วยสองสามท่าน
ขอบคุณที่เก็บภาพมาฝากกันครับ
ภาพสวยมากมายจุใจเลยครับ

 

โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) 30 ตุลาคม 2556 21:03:47 น.  

 

ยังถ้าเพื่อน ถ้าเปิ่นไป ก่จะไป

น้องไปก่

 

โดย: tuk-tuk@korat 5 พฤศจิกายน 2556 7:48:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Nagano
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2556
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
30 ตุลาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Nagano's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.