ตัวของเรา สไตล์ของเรา ทำไมต้องเหมือนใคร
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2559
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
23 สิงหาคม 2559
 
All Blogs
 
โอตาคุ...ความหมายใหม่ในปัจจุบัน




สวัสดีครับ
วันนี้มาเล่าเรื่องเกี่ยวกับโอตาคุต่ออีกหน่อย....ที่จริงก็เขียนเสร็จตั้งนานแล้วไม่ได้อัพซะที เพราะไม่มีเวลาเตรียมรูปน่ะครับ ก็เลยเพิ่งจะได้อัพหัวข้อนี้

ผมเคยเขียนเกี่ยวกับความหมายของคำว่าโอตาคุไว้ครั้งหนึ่ง ในหัวข้อ "เข้าใจความหมายของคำว่าโอตาคุที่ถูกต้องแล้ว" (คลิกที่ชื่อตอนเพื่อกลับไปอ่านตอนเก่าได้ครับ) แต่ในระยะต่อมาความหมายของคำก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่เบาลง ผมก็เลยมาเขียนตอนนี้ต่อครับ

เท่าที่ผมรู้สึกได้ว่าความหมายมันเปลี่ยนส่วนหนึ่งคือคำมันถูกใช้ในรูปแบบที่มีความหมายเบาลงด้วยแหละครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความหมายเดิมที่แย่จะหายไปนะครับ ความหมายแย่ๆ ก็ยังอยู่เหมือนเดิม

แม้ว่าคนไทยจะเริ่มเข้าใจความหมายของคำนี้มากขึ้นแต่จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังเห็นหรือได้ยินคนไทยเถียงกันเรื่องความหมายของคำว่า "โอตาคุ" กันอยู่ว่ามันเป็นความหมายที่โอเคหรือแย่กันแน่


"โอตาคุ" แต่เดิมมีความหมายที่เป็นลบเอามากๆ ครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไปความหมายของคำนี้ก็ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ความเป็นกลางหรือใกล้ 0 มากขึ้น แต่มันก็ยังไม่เป็นบวกแน่ๆ

คำนี้เดิมมีความหมายคือ คนที่ชอบอะไรมากๆ และหมกตัวอยู่กับสิ่งนั้นๆ มากเกินไปจนดูจะไม่สนใจสิ่งอื่นเลย แม้แต่การรักษาความสะอาดของตัวเอง และหลายคนมีพฤติกรรม ที่เกินความเหมาะสม ซึ่งนั่นทำให้คนญี่ปุ่นไม่ชอบโอตาคุกัน......ในความหมายเดิมนี้คงจะเรียกง่ายๆ ว่า "พวกคลั่ง" ก็คงจะได้

แต่ตั้งแต่ช่วงราวปี 2010 การเปลี่ยนแปลงของคำว่าโอตาคุ ก็ชัดเจนมากๆ ครับ ซึ่งความหมายก็ครอบคลุมมาจนถึงกลุ่มที่เรียกว่า "แฟนพันธุ์แท้" ด้วย จากเดิมที่มีหมายถึงพวกคลั่งท่านั้นครับ เพราะว่าคนเอาคำนี้มาเรียกกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ด้วย.....เมื่อมีความหมายครอบคลุมมาถึงแฟนพันธุ์แท้ด้วยแล้วมันก็เลยดูความหมายเบาลง แต่โดยเนื้อแท้แล้วคำว่าโอตาคุมันก็มีความหมายไม่ดีและความหมายที่ใช้เรียกพวกคลั่งอย่างที่อธิบายไว้ก็ยังอยู่นะครับไม่ได้หายไปไหน

ลองนึกถึงคำว่า "หื่น" ในภาษาไทยดูครับ คำนี้ความหมายแย่มาก เพียงแต่ทุกวันนี้เราไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่ขนาดนั้นเพราะเราเอามาใช้พูดทั่วไปกันมากขึ้น ได้ยินบ่อยขึ้นทำให้ความรู้สึกไม่ได้แย่เท่าที่คำมันเป็น ลองนึกดูจริงๆ ว่าถ้าเราเรียกคนสักคนว่า "หน้าหื่น" จริงๆ มันหมายถึงความหื่นมันออกมาทางหน้าหมดอาจเรียกได้ว่ามองหน้าแล้วรู้สึกได้ว่ามันหวังผลมาก แต่ทุกวันนี้แค่คนที่ทำหน้าส่อแววลามกหรือทะลึ่งเราก็เรียกว่าหน้าหื่นแล้วใช่มั้ยล่ะครับ นี่ก็เหมือนกับคำว่าโอตาคุ


ในความรู้สึกของผมถ้าจะเทียบเป็นภาษาไทยในปัจจุบันโอตาคุก็คงจะประมาณ "ติ่ง" นั่นแหละครับ ซึ่งมันเป็นขั้นที่หนักกว่า "แฟนพันธุ์แท้" เพียงแต่ยุคหลังนี่มันกินความหมายมาถึงแฟนพันธุ์แท้ด้วยแล้ว


"โอตาคุ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับ"การ์ตูน"เสมอไป เคยถามคนญี่ปุ่นมา มันหมายถึงพวกที่หมกหมุ่นหรือจริงจังกับอะไรบางอย่างแบบสุดๆ ใช้กับด้านใดก็ได้ เพียงแต่ส่วนมากคนจะใช้กับพวกบ้าการ์ตูน"
สมาชิกพันทิพท่านหนึ่งเคยอธิบายไว้.....ซึ่งผมขอยกมาเพราะเห็นว่าอ่านง่ายดีครับ


หลังจากที่ความหมายมันเบาลง มันก็เกิดรูปแบบการใช้ใหม่ๆ คือการเรียกแยกกลุ่ม คือจากเดิมโอตาคุมักจะหมายถึงกลุ่มที่ชอบอนิเมและเกม แต่ปัจจุบันจะมีการเอาไปใช้เรียกกลุ่มที่ชอบอย่างอื่นด้วย เช่น ไอด้อล รถไฟ แฟชั่น กีฬา คือถ้าชอบอะไรมากๆ จนถึงระดับแฟนพันธุ์แท้หรือมากกว่านั้นก็จะเรียกว่าเป็นโอตาคุได้ทั้งหมดครับ โดยจะเติมคำว่าโอตาคุต่อท้ายสิ่งที่คนนั้นๆ คลั่งไคล้อย่างเช่น ไอด้อลโอตาคุ อนิเมโอตาคุ เป็นต้น และยังมีการเรียกย่อๆ อีกด้วย เช่น อนิโอตะ(อนิเมโอตาคุ) และโอตาคุเดิมที่มีลักษณะที่แย่มากๆ ถูกเรียกว่า "คิโมโอตะ" ซึ่งก็แปลเป็นไทยได้ประมาณว่า "โอตาคุอุบาทว์" หรือจะเรียกว่า "โอตาคุพันธุ์แท้" เลยก็คงจะได้ล่ะครับ.....สังเกตุว่าที่พูดๆ กันคือโอตาคุจะไม่สนใจแฟชั่นใช่มั้ยครับ แต่ถ้าคนที่สนใจแฟชั่นมากเกินไปก็กลายเป็นโอตาคุได้เหมือนกัน


รูปของคนรักรถไฟหรือเรียกว่า Tetchan (เท็ตจัง) หรือเรียกอีกอย่างว่า Tetsu-ota (เท็ตสึโอตะหรือโอตาคุรถไฟ)

ถึงคำว่าโอตาคุจะมีความหมายที่เข้าใกล้ความเป็นกลางมากๆ แล้วอย่างที่อธิบายไว้ แต่มันก็ยังไม่ได้เป็นกลางเต็มร้อยนะครับ มันยังมีความเป็นลบติดอยู่ด้วย เพราะว่าโดยความหมายแล้วมันดูเป็นกลางแล้วครับ แต่เวลาที่คนเอาไปใช้มันยังไม่กลางเท่าไหร่เหมือนกับคำว่า หื่น (อีกแล้ว) ถ้าเพื่อนสนิทอย่างเพื่อนสมัยเรียนเรียกเราว่า "ไอ้หื่น" เราคงไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ใช่มั้ยครับ ก็แค่ขำๆ แต่ถ้าคนอื่นอย่างเพื่อนร่วมงานเรียกเราอย่างนั้น ความรู้สึกมันจะเป็นคนละอย่างกันเลย เพราะมันเป็นการเรียกแบบที่สื่อความหมายในทางลบอยู่ในตัวนั่นเอง.....คำว่าโอตาคุก็เหมือนกัน เพราะงั้นถึงแม้ความหมายของมันจะไม่ได้แย่อย่างเมื่อก่อนแต่ก็ไม่มีใครอยากถูกเรียกแบบนั้นจากสังคม

แม้ความหมายของคำจะดีขึ้นมากแต่สังคมญี่ปุ่นก็ยังไม่ชอบเหล่าโอตาคุอยู่ดี เพราะงั้นเหล่าแฟนพันธุ์แท้ก็จะไม่อยากถูกเรียกว่าเป็นโอตาคุหรอกครับ เพราะมันเกี่ยวกับสถานะทางสังคมด้วย มันจะเหมือนถูกเหยียดและไม่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไป

จากความหมายที่เปลี่ยนทำให้ปัจจุบันเราเห็นคนยอมรับว่าตัวเองเป็นโอตาคุมากขึ้น แต่แฟนพันธุ์แท้จะเรียกตัวเองว่าเป็นโอตาคุก็เฉพาะในกลุ่มสังคมหรือกลุ่มเพื่อนที่รู้จักหรือเข้าใจกันเท่านั้นเขาถึงจะพูดถึงตัวเองแบบนั้นครับ กับกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับพวกเขาจะไม่พูดถึงตัวเองแบบนั้น.....เหมือนกับนักร้องวง Claris ที่ร้องเพลงอนิเมก็ปิดบังความชอบอนิเมของตัวเองถึงขนาดที่มีแค่โปรดิวเซอร์และที่บ้านเท่านั้นที่รู้ว่าทั้งคู่เป็นสมาชิกวงนี้ แถมยังไม่เปิดเผยหน้าตาจนดัง แม้แต่ตอนที่สมาชิกคนหนึ่งออกจากวง การให้สัมภาษณ์ในครั้งนั้นก็ยังไม่เปิดเผยให้รู้ว่าเป็นใครครับ (ปัจจุบันผมไม่แน่ใจว่าเขาเปิดเผยตัวหรือยัง)


รูปคาแรคเตอร์ของวง Claris

ปกติวง Claris จะใช้รูปคาแรคเตอร์แทนตัวเองตลอดเวลา ทั้งใน PV (บางคนอาจคุ้นชื่อ MV มากกว่า) หรือแม้แต่ในการให้สัมภาษณ์

เท่าที่ผมรู้คนญี่ปุ่นเองในปัจจุบันก็ไม่ได้ถึงกับจะไม่ยอมรับโอตาคุมากเท่าเมื่อก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเดี๋ยวนี้เขารู้สึกดีกับโอตาคุนะครับ มันยังไม่ดีอยู่นั่นแหละ แต่คนที่ชอบอนิเมชอบเกมแล้วทำตัวแบบคนธรรมดาได้แบบนั้นเขาก็ไม่ว่าอะไรครับ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ถือเป็นโอตาคุตามความหมายใหม่ สังเกตุได้จากดาราวัยรุ่น ไอด้อล นางแบบดาราตลก หลายคนก็เป็นคนในกลุ่มนี้ เช่น.......



Hongo Kanata ดาราพระเอกวัยรุ่นชื่อดัง (ปัจจุบัน 20 กว่าแล้ว) ที่เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหน้า คนนี้เป็นแฟนกันดั้มครับ ชอบซื้อฟิกเกอร์และโมเดลกันดั้มด้วย ทำสี และดัดแปลงเองอีกด้วย วันว่างก็นั่งเล่นเกมดูอนิเมอ่านการ์ตูนอะไรแบบนี้




Kobayashi Kendo หรือ Kenkoba ดาราตลกที่เห็นทางทีวีอยู่บ่อยๆ และยังออกรายการที่เกี่ยวกับอนิเมหรือการ์ตูนด้วย รู้สึกเหมือนแกจะอ่านกินทามะด้วยนะครับ




Hisashi มือกีต้าร์วง GLAY ที่ชื่นชอบกันดั้ม ฮารุฮิและเพลงการ์ตูน พี่แกมีเล่นกีต้าร์คอฟเวอร์เพลงการ์ตูนด้วยนะ อัพขึ้นโชว์บน nico nico douga ด้วย




Miyata Toshiya ดารานักร้องจากค่าย johnny's ที่หลายคนชอบกัน รายนี้เป็นแฟนเรื่อง Love Live อย่างหนัก




Oikawa Mitsuhiro ดารานักแสดงที่เป็นแฟนเรื่องกันดั้ม


ผู้หญิงบ้าง....



Yamamoto Mizuki นางแบบวัยรุ่น (ปัจจุบัน 20 กว่าไปแล้ว) ที่เป็นแฟนการ์ตูนและติดการ์ตูนมาก แถมอินสุดๆ ด้วย แต่งคอสเพลย์อีกต่างหาก คุณพ่อก็ชอบการ์ตูนเลยสนับสนุนก็เลยยิ่งกระจุยกระจาย




Watanabe Mayu หรือ Mayuyu จาก AKB48 คนที่ได้รับความนิยมมากๆ ของ AKB48 คนนี้แหละครับ รู้กันหรือเปล่าว่าเค้าชอบการ์ตูนมาก ในวันว่างก็จะไปเดินเล่นในย่านและร้านขายสินค้าอนิเม ดูฟิกเกอร์ วาดการ์ตูนได้ด้วย แถมบางทีมีแต่งคอสเพลย์อีกต่างหาก




Kato Natsuki นางแบบและนักแสดง ถ้าดูหนังดูซีรี่ส์ญี่ปุ่นก็คงจะเคยเห็นหน้ากันมาบ้างคนนี้ก็ชอบการ์ตูนและเล่นเกมด้วยครับ บางทีก็มีแต่งคอสเพลย์และไปร้องคอฟเวอร์เพลงอนิเมด้วย




Kuriyama Chiaki นางแบบและนักแสดง ถ้าดูหนังหรือซีรี่ส์ญี่ปุ่นก็น่าจะเคยเห็นหน้ามาบ้าง คนนี้ก็เป็นคนที่ชอบอ่านการ์ตูน ดูอนิเมในวันว่างเหมือนกันครับ




Matsui Reina อดีตสมาชิก SKE48 ที่ติดการ์ตูนเอามากๆ อีกคนหนึ่งจนเป็นที่รู้กันในวง




Kanda Sayaka คนนี้เป็นทั้งนักร้อง นักแสดง และนักพากย์ และที่สำคัญคือชอบอนิเม



โอตาคุที่คนมักจะมองว่าต้องมีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ เอาเข้าจริงบางคนภายนอกก็ดูไม่ออกหรอกครับ ดูเป็นคนปกติมาก บางคนดูดีเลย (จากรูปที่ให้ดูไปก็คงจะเห็นอยู่) แต่ว่าบางคนเมื่อฟังเวลาคุยเรื่องที่สนใจแล้วอาการเขาออกครับ บางคนก็ออกท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่คุยกันแล้ว อย่างเช่น....



Miyata Toshiya (johnny's) รายนี้ตอนมีนักพากย์ที่ชอบมาร้องเพลงในรายการ พอเพลงขึ้นก็ถึงกับออกอาการคุขึ้นมาทันที ท่าทาง ทางเต้นออกจนเห็นได้เลยครับ แถมแกยังเต้นท่าโอตาคุเป็นอีกด้วย เห็นได้จากรายการ Heyx3 (ซึ่งเพื่อนๆ ก็ซ้อมกันมาเพื่อเอาฮากันดีเหลือเกิน 5555)



ถ้ามองกันจริงๆ แล้วทุกคนมีความหลงใหลคลั่งไคล้ในบางสิ่งอยู่แล้วทุกคนครับ บางคนชอบบอล บางคนชอบแต่งตัว บางคนคลั่งนักร้องดารานักแสดง บางคนชอบวิทยาศาสตร์ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็คือความชอบอย่างมากที่ทุกคนมีอยู่ในตัว นั่นจึงหมายความว่าทุกคนมีความเป็นโอตาคุอยู่ในตัวทั้งนั้น นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ก็มีความสนใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ ซึ่งนั่นก็คือความเป็นโอตาคุ


ถ้าคนเราไม่มีความเป็นโอตาคุอยู่ก็คงจะไม่สามารถที่จะคิดค้น พัฒนาสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้เพราะถ้าไม่มีความสนใจอย่างลึกซึ้งก็จะไม่สามารถอยู่กับสิ่งนั้นนานๆ ได้เพราะงานวิจัยและพัฒนามันต้องอยู่กับสิ่งนั้นๆ ตลอดเวลาเป็นเวลานานๆ ถ้าไม่มีความสนใจในระดับนั้นจริงๆ ก็คงจะไม่ไปนั่งศึกษา ทดลองจนสำเร็จหรอกจริงมั้ยล่ะครับ

มองแบบแฟร์ๆ สำหรับอนิเม คนที่ตามดูบอลทุกนัดก็เป็นโอตาคุเหมือนกันกับคนที่ตามดูอนิเมทุกตอนคนที่ซื้อของสะสมเกี่ยวกับทีมบอลที่ชอบก็เหมือนกับคนที่ซื้อของเกี่ยวกับอนิเมที่ชอบเพียงแต่คนเรามักมองว่าสิ่งที่เราชอบนั้นดีที่สุด ดีกว่าสิ่งที่คนอื่นชอบ ทำให้คนกลุ่มหนึ่งพยายามบอกว่าสิ่งที่คนอีกกลุ่มชอบนั้นไม่ดีเพียงเพราะคนอื่นชอบไม่เหมือนตัวเองเท่านั้น (ถ้าสิ่งนั้นๆ จะมีเกณฑ์วัดได้ว่าดีหรือไม่ดีจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องนะครับ) .....บางคนอาจเถียงว่าบอลมันไม่ไร้สาระอย่างอนิเมนี่ หรืออนิเมมันเอาไว้ให้เด็กดูโตแล้วต้องดูหนังจะได้สมวัย แต่เอาจริงๆ ความชอบและงานอดิเรกไม่มีสิ่งไหนไร้สาระครับ มันคือความชอบส่วนตัว จะหนังจะบอลหรืออนิเมก็ไม่ไร้สาระทั้งนั้นเพราะถ้าจะมองให้ไร้สาระมันก็ไร้สาระได้ทุกอย่าง ถ้าจะมองว่าเป็นการทำตัวไม่รู้จักโตมันก็ไม่รู้จักโตได้ทุกอย่างเหมือนกันทั้งนั้นจริงมั้ยล่ะครับ


ลองนึกภาพดูว่า คนที่ไปตามกรี๊ดนักร้องเกาหลีที่เราเห็นได้เป็นประจำในทุกวันนี้ แฟนบอลที่มีเรื่องตีกัน พวกนี้มีสาระจริงๆ หรือเปล่า? ไม่ทำตัวเป็นเด็กจริงหรือเปล่า? หรือหนังฮอลลีวู้ดมันแต่งเรื่องได้ดีจนไม่มีช่องโหว่จริงๆ หรือเปล่า? หนังพวกนั้นสร้างได้ดีสมจริงอย่างนั้นจริงหรือเปล่า? ถ้ามองจริงๆ พิจารณาลงรายละเอียดไปแล้วก็พบว่ามันไม่ใช่เลย ทุกอย่างก็มองให้แย่หรือไร้สาระได้เหมือนกัน ทุกอย่างมีมากกว่า 1 มุมมองเสมอครับ แต่คนที่ชอบก็มักจะเลือกมองแต่มุมที่ดีและปฏิเสธมุมที่เป็นข้อด้อย

การที่ชอบอะไรมากและสิ่งที่ชอบนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาคือการแสดงออกที่มากเกินควรและไม่เหมาะสมต่างหาก



สำหรับตัวผมแล้วถ้าตามความหมายเดิมผมต้องบอกว่าผมยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นโอตาคุ แต่ถ้าตามความหมายใหม่ผมก็คงต้องบอกว่าผมก็เป็นโอตาคุด้วยเหมือนกันครับ เพราะผมก็ชอบอนิเมครับ เป็นคนดูอนิเม เป็นแฟนพันธุ์แท้สำหรับบางเรื่อง คิดจะสร้างอนิเมของตัวเองด้วย แต่ผมก็ไม่ได้เอาแต่หมกตัวอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างโอตาคุแบบดั้งเดิมเป็นแล้วก็ยังมีรายละเอียดอีกหลายๆ อย่างทำให้มันก้ำกึ่งว่าผมอยู่ในกลุ่มแบบไหน (ผมเป็นคนแปลกๆ ที่คนอื่นเข้าใจยากครับ) แต่ไม่ถึงระดับโอตาคุแบบเก่าแน่ๆ ล่ะ


ก็อยากให้คนเข้าใจคำให้ถูกต้องครับ เมื่อเรารับเอาคำของเขามาก็ควรใช้ให้ถูกต้อง ไม่ใช่มาคิดว่านี่คือโอตาคุในความหมายของไทย ต้องถามว่าในขณะเดียวกันคำว่า Nerd, Geek, Dork อะไรพวกนี้เราเรียกตามความหมายของฝรั่งหรือเปล่า? หรือว่าเรามาตั้งความหมายกันใหม่แบบไทยๆ ล่ะครับ

คิดว่าหลายๆ คนคงจะเข้าใจคำว่า "โอตาคุ" มากขึ้นอีกนะครับ


โดย นาย nyo


รูปประกอบเนื้อหาจากอินเตอร์เน็ต



Create Date : 23 สิงหาคม 2559
Last Update : 23 สิงหาคม 2559 14:01:31 น. 1 comments
Counter : 2834 Pageviews.

 


โดย: นาฬิกาสีชมพู วันที่: 23 สิงหาคม 2559 เวลา:16:30:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nyo
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์ ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ 2539 ห้ามผู้ใดทำการคัดลอก ส่วนใดส่วนหนึ่งของบล๊อกนี้ไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อค


ติดต่อผมได้ที่
naai.nyo@gmail.com

____________________

บล๊อกนี้ผมเขียนขึ้นมาจากสิ่งที่ผมไปรู้ไปเห็นมาก็เลยเอามาเล่าต่อเพื่อเป็นการแชร์ความรู้กัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อยครับ


กรูณาใช้ภาษาให้เหมาะสมในการแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ
Friends' blogs
[Add nyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.