หวานใจนายมาเฟียตอนที่ 12




“ หวานจ๊ะ ทานน้ำก่อนไหม หวานจ๋า ให้พี่ช่วยอะไรอีกไหมครับ... ว้อยย ! หมั่นไส้โว้ยย“

จู่ๆจิดาภาที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงก็ตะโกนออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้ผักหวานที่นั่งซับผมใจลอยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของตนเองถึงกับสะดุ้ง หญิงสาวหันขวับมาทางเพื่อนสนิททันที... วันนี้อุตส่าห์เอาตัวเองเข้าแลก ชวนพี่ทักษ์ให้ทำนู้นทำนี้อยู่ใกล้ๆด้วยแล้วเชียว หวังจะให้คุณเธอได้ใกล้ชิดกับชายในฝันสมใจแล้วนี่จะเอายังไงกับเธออีกล่ะ ใช่ว่าชอบซะที่ไหน อยู่ใกล้ๆทักษ์ทีไรเธอมักจะรู้สึกแปลกๆควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ทุกที

“ เป็นบ้าอะไรของแกอีกวะไอ้จีน วันนี้ฉันพาไปทำกับข้าวกับหวานใจตามสัญญาแล้วยังไม่พอใจอีกเหรอ“

“ ไม่โว้ยยย“ จิดาภาตะโกนดังลั่น

“ ฉันให้แกพาฉันไปสานสัมพันธ์กับคุณแอนดี้ ไม่ได้ให้พาไปดูแกสวีทกับอีตาทักษ์นะเฟ้ย ฮึ...เดี่ยวก็พี่ทักษ์อย่างโน้น สักพักก็พี่ทักษ์อย่างนี้ ดูท่าจะถามใจตัวเองไปเรียบร้อยแล้วซินะ ว่ารู้สึกยังไง“ ผักหวานทนมองท่าจีบปากจีบคอของเพื่อนสนิทต่อไปไม่ไหวแล้ว ผ้าขนหนูถูกเขวี้ยงเข้าใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเหมาะเหม่งทันที ก่อนที่หญิงสาวจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียงและใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ศีรษะของอีกฝ่ายอย่างแรงด้วยความหมั่นเขี้ยวกับอาการสะบัดสะบิ้งของอีกฝ่าย

“ โอ้ยย เขินแล้วเรื่องไรมาลงกับฉันอีกล่ะ ถ้าหน้าเสียโฉมขึ้นมานะแกจะโดน“

“ ไม่ได้เขินโว้ย...เออ ดี บ่นนักละก็ต่อไปก็จัดการเอาเองละกัน ไอ้เรารึอุตส่าห์เอาตัวเองเข้าแลก ชวนอีตาทักษ์มาอยู่ข้างๆ ตลอด จะได้ไม่มีใครไปกวนใจให้เสียเวลาทำคะแนน ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ“

“ โอ๋ะ โอ๋ ผักหวานคนสวย อย่าเพิ่งโกรธเพื่อนเลยนะ เพื่อนมันเลวเพื่อนมันบ้าไปเอง“จิดาภาพูดไปตบปากตัวเองไป

“ ต้องเป็นเพราะวิญญาณนางร้ายมันเข้าสิงเพื่อนแน่ๆ ต่อมนางอิจฉามันถึงได้ระเบิดออกมาแบบนี้ ปกติเพื่อนไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ ผักหวานก็รู้“

“ เออ ระวังไว้เถอะ มันจะไประเบิดต่อหน้า ตาแอนดี้เข้าสักวัน“ ผักหวานอดไม่ได้ที่จะกัดเพื่อนสนิท จิดาภารีบเข้าไปกอดเอวเพื่อนอย่างเอาใจทันที ก่อนจะพูดเสียงอ่อยๆ

“ ก็คนมันอิจฉาอ่ะ ของเรายังไปไม่ทันถึงไหนเลย...ไหนแกบอกว่าจะรอจนกว่าพื่อนทุกคนจะเป็นฝั่งเป็นฝาให้หมดห่วงไปก่อนไง นี่ไรว๊า มีตัดหน้ากันซะฉิบ“ จิดาภาบ่นอุบ วันนี้เป็นวันที่เธอและเพื่อนสนิทนัดหมายกับแอนโทนี่และทักษ์ไว้ที่บ้านของฝ่ายหลังเพื่อไปทำอาหารกลางวันร่วมกัน โดยมีทศน้องชายคนเดียวของทักษ์ร่วมด้วย จิดาภาอดสะท้อนในอกไม่ได้เมื่อเห็นกิริยาของเพื่อนสนิทกับทักษ์ มันช่างแตกต่างกับความสัมพันธ์ของเธอและแอนโทนี่เสียเหลือเกิน ...

“ พูดให้มันดีๆ ใครไปมีอะไรกับใคร แล้วใครเป็นฝั่งเป็นฝากับใคร“ผักหวานจิ้มเข้าที่หน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแรงขณะพูด จิดาภารีบกระเด้งตัวหลบทันที จะมีใครเหมือนเพื่อนเธออีกไหมเนี่ยะ เวลาเขินทำอะไรไม่ถูกทีไร ชอบใช้กำลังอยู่เรื่อย

“ ก็แกกะคุณทักษ์ไง ใครนะใครกั๊นมาเมาท์ได้ว่า พี่ทักษ์ของหวานทั้งโหด ทั้งเย็นชา แถมยังเลือดเย็นอีกตะหาก จิดาภาละอยากให้มาเห็นเมื่อตอนกลางวันจริ๊งจริง“

“ ไอ้จีน แกยังอยากจะนอนในนี้ให้สบายๆ หรืออยากจะขับรถกลับคอนโดตัวเองตอนเที่ยงคืนห๊า!“

นั่นไงล่ะ แกล้งโหดกลบเกลื่อนอีกละ จิดาภาคิดก่อนจะยักไหล่ยกมือทำท่ายอมแพ้และล้มตัวนอนบนฟูกกว้างในที่สุด ผักหวานเหลือบสายตามองเพื่อนสนิทอย่างนึกหมั่นไส้ ไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ที่เอาเรื่องของหัวใจมาปรึกษาเพื่อนคนนี้ มือบางยกหมอนในมือขึ้นด้วยนึกอยากจะทุบใบหน้าสวยๆที่แกล้งทำเป็นนอนหลับอยู่ข้างๆนั่นสักที หากแต่เพียงไม่นานหมอนในมือก็ค่อยๆลดระดับลง เมื่อผักหวานเริ่มตระหนักได้ว่า กิริยาของจิดาภานั้น มันคืออาการกลบเกลื่อนเรื่องราวยามไม่สบายใจอย่างที่เจ้าตัวมักจะทำมาโดยตลอดนั่นเอง หญิงสาวได้แต่ทอดสายตามองเพื่อนรักด้วยแววตาเห็นใจ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นจิดาภาสาวมั่นในกลุ่มขาดความมั่นใจในตนเองเพียงเท่านี้ ผักหวานได้แต่ทอดกายลงนอนเคียงข้างเพื่อนรัก ก่อนจะเอื้อมมือไปเกาะกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้และบีบเบาๆ ดุจจะถ่ายทอดกำลังใจไปให้...เอาเถอะ แล้วฉันจะหาทางช่วยแกให้ได้...นี่คือคำมั่นที่ผักหวานตั้งปนิธานเอาไว้ในใจ ก่อนจะผ่อนลมหายใจและเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ในที่สุด


แกไม่รู้สึกแปลกๆบ้างเหรอ อยู่ดีๆจินฮุนก็หายไป ปกติหมอนั่นไม่เคยหายไปจากชีวิตแกเกินสามวันสักที แต่นี่มันจะครึ่งเดือนเข้าไปแล้วนะ ยิ่งก่อเรื่องเอาไว้แบบนี้หมอนั่นยิ่งต้องรีบมาขอโทษซิมันถึงจะถูก...คำพูดทิ้งท้ายที่จิดาภาพูดเอาไว้ก่อนจะจากไปทำให้ผักหวานเริ่มฉุกคิด...นั่นสินะ นี่มันก็กว่าครึ่งเดือนแล้วที่จินฮุนขาดการติดต่อไปถึงจะนึกเคืองที่อีกฝ่ายทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนั้นกับตัวเองเพียงใด หากแต่ความผูกพันธ์ในฐานะเพื่อนก็ยังคงอยู่

จะเอาอย่างไรดีนะ...ผักหวานคิดขณะขับรถอยู่บนทางด่วนมุ่งหน้าไปยังที่ทำงานของตน ... เออ ใช่สิเจ๊ชุดาน่าจะพอรู้เรื่องนี้ เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน เดี่ยวเราค่อยโทรไปสืบข่าวก็ได้นี่นา ความจริงแล้วถ้าเธอเอยถามเอาจากเจ๊แบมน่าจะง่ายกว่าและรู้ลึกมากกว่า แต่ไม่ดีกว่าเจ๊แบมยิ่งหูตาเป็นสัปปะรดอยู่ ถามเอาจากเจ๊ชุดาน่ะละดีแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว ผักหวานก็หันความสนใจมาจดจ่อกับการขับรถอีกครั้ง มือถือที่เสียบตรงคอนโซลด้านหน้าสั่นไหวเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีข้อความถูกส่งเข้ามา หากแต่หญิงสาวก็ยังไม่หยิบขึ้นมาดูในทันที เอาไว้ไปดูที่ทำงานทีเดียวเลยแล้วกัน หญิงสาวคิดก่อนจะค่อยๆ เพิ่มความเร็วรถที่ตนกำลังขับอยู่


อรุณสวัสดิ์จ๊ะ วันนี้พี่มีประชุมตั้งแต่เช้า เลยต้องส่งเมสเซสมาแทน ตอนเที่ยงจะโทรหานะ รอยยิ้มเผยที่มุมปากเมื่อผักหวานก้มหน้าลงอ่านเมสเซจตรงหน้า เพราะมัวแต่สนใจข้อความของทักษ์อยู่ ทำให้ข้อความจากวิชชุดาที่บอกให้โทรกลับด่วนถูกละเลยไป สารัจที่แอบมองลูกพี่มาพักใหญ่แล้ว คว้าหมวกตรงโต๊ะมาถือไว้ในมือ ชายหนุ่มเตรียมจะเอ่ยปากแซวลูกพี่รับอรุณก่อนจะชิ่งหนีเข้าไปในลายการผลิตเหมือนอย่างทุกที หากแต่ไม่ทันได้ทำอะไร แฟ้มกระดาษเปล่าก็ลอยหวือมาตกลงตรงกลางศีรษะเสียก่อน สารัจได้แต่คลำศีรษะตัวเองปอยๆก่อนจะโอดครวญเสียงอ่อยอย่างน่าสงสาร

“ อะไรกันอ่ะเจ้ อยู่ๆก็เขวี้ยงแฟ้มใส่หัวผม เจ็บนะครับ“

“ ก็ฉันรู้นะสิ ว่าแกคิดจะทำอะไร กะจะปากหมาแล้วชิ่งหนีเหมือนทุกทีละซิท่า สมน้ำหน้า“ ผักหวานเอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน ยิ่งทำให้ลูกน้องหนุ่มหน้ามุ่ยเข้าไปใหญ่

“ โห้เจ๊ เจ๊จะมารู้ได้ไงว่าผมคิดอะไรอยู่ ถ้าผมจะไปถามเรื่องงานเล่า ไม่โดนเก้อเหรอ“

“ ก็ถือซะว่าชดเชยวันอื่นๆที่แกหนีไปก่อนไง ฮ่าฮ่าฮ่า“ผักหวานหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจในขณะที่สารัจได้แต่มองอาการหัวเราะร่าของลูกพี่สาวอย่างนึกหมั่นไส้ เอาวะ ไหนๆก็โดนไปแล้ว ขอแซวซะหน่อยท่าจะดี

“ ใช่ซี เรามันไม่ใช่คนในเเมสเซสนี่ ทำอะไรก็ไม่เคยถูหรอก เห๊อะ!“ แกล้งพูดเสียงสะบัดก่อนจะแจ้นหนีไปไม่อยู่รอระเบิดลูกที่สอง

ผักหวานมองอาการลิงลมของเจ้าลูกน้องคนโปรดอย่างนึกเข็ดเขี้ยวในใจ...ไอ้เด็กบ้านี่ ที่รับเข้ามาทำงานด้วยก็เพราะเห็นว่าเป็นช่างสังเกตดี แต่ดูท่ามันจะช่างสังเกตไปทั่วไม่เว้นแม้แต่เรื่องของตัวเธอเอง คิดผิดหรือคิดถูกนะที่ให้มันมาอยู่แผนกเดียวกัน หญิงสาวได้แต่คิดในใจ ก่อนจะพุ่งความสนใจมายังงานตรงหน้าอีกครั้งเมื่อกสินหอบเอาดรออิ้งของโมเดลใหม่ที่กำลังมีปัญหาเข้ามา หญิงสาวลืมไปเสียสนิทว่าตนเองกะจะโทรหาวิชชุดาเพื่อนรุ่นพี่ทันทีที่มาถึง แต่ดูท่าว่าวิชชุดาเองก็คงจะคิดถึงรุ่นน้องคนนี้อยู่ไม่น้อย เพราะหลังจากที่ผักหวานวางสายจากทักษ์ไปได้ไม่นาน หญิงสาวก็ได้รับโทรศัพท์ของรุ่นพี่คนนี้ต่อทันที

“ เจ๊...ว่าจะโทรหาพอดีเลย“ ผักหวานทักอีกฝ่ายก่อนหลังจากกดรับโทรศัพท์แล้ว

“ รู้ข่าวจินฮุนหรือยัง“ ปลายสายไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นกัน หากแต่รีบพูดถึงจุดประสงค์ในการโทรมาทันที

“ ข่าวอะไรคะ“ผักหวานเอ่ยถามด้วยความงุนงง มีอะไรเกิดขึ้นกับลีจินฮุนอย่างนั้นหรือ และเพราะสาเหตุนี่หรือเปล่าที่ชายหนุ่มขาดการติดต่อไป

“ ถ้าอย่างนั้นเข้ายาฮูเกาหลีเสริชดูเอาเองละกัน กำลังดังเลย ถึงว่าสิ จู่ๆก็หายไปไม่เห็นแวะมาทานข้าวที่ร้านอีก“ วิชชุดาแนะแหล่งข่าวให้ก่อนจะบ่นถึงรุ่นน้องเกาหลีคนนี้อีกครู่ใหญ่ ผักหวานรีบเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตนทันทีอย่างร้อนใจ มือบางรีบกดเปลี่ยนฟอนท์ภาษาที่เครื่องเป็นภาษาเกาหลี ก่อนจะพิมพ์นามสกุลของอีกฝ่ายเพื่อหาข่าวตามคำแนะนำของรุ่นพี่สาว

ใบหน้าหวานเริ่มปรากฏริ้วรอยเคร่งเครียด ขณะไล่อ่านข่าวที่ปรากฏอยู่ในหน้าเว็บไซด์ ใครกันนะช่างใจร้ายเอาเรื่องราวอัปยศในวงศ์ตระกูลของลีจินฮุนมาโพสประจานตีแผ่ซะจนไม่มีชิ้นดีแบบนี้ ทั้งๆที่เรื่องก็ผ่านมานานแล้วแท้ๆ บุคคลเจ้าของเรื่องเองบ้างคนก็ล้มหายตายจากไปแล้วด้วยซ้ำ ทำแบบนี้กะจะดิสเครดิตกันชัดๆ หญิงสาวคิดในใจขณะกวาดสายตาอ่านความคิดเห็นที่มีต่อเรื่องนี้ ความเห็นส่วนมากล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือประณามและยอมรับไม่ได้แทบทั้งสิ้น บางส่วนถึงกับบอกว่าจะเลิกซื้อสินค้าที่ผลิตโดยตระกูลนี้ เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมส่วนตัวของคนในตระกูล

กล่องข้อความส่งสัญญาณกะพริบเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่ามีอีเมล์ใหม่ปรากฏเข้ามา ผักหวานละสายตาจากหน้าเว็บเพจทันที เมื่อเห็นชื่อผู้ส่งอีเมล์ มือบางรีบกดอ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาให้ ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะชาวาบดุจไร้ความรู้สึก เมื่ออ่านจนถึงบรรทัดสุดท้าย

ผักหวานที่รัก

ผมรู้ตัวดีว่าไม่สมควรพูดคำนี้ออกมาอีก หลังจากที่ได้ทำในสิ่งที่ไม่สมควรอย่างที่สุดกับคุณ ผมคงไม่มีอะไรจะพูดได้อีก นอกจากยอมรับผิด และขอโทษ ขอโทษที่เห็นแก่ตัวจนคิดทำร้ายคุณ ผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก ผู้หญิงที่เป็นยิ่งกว่าหัวใจของผม เพราะผมละโมบ เพราะผมอยากให้ความรัก ความห่วงใยที่คุณมีให้กับเพื่อนทุกคนเป็นของผมคนเดียว ผมถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนั้น

ผมอยากขอโทษ...ขอโทษคุณด้วยตัวของผมเองสักครั้ง แต่ก็คงจะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว ผมคงไม่สามารถเหยียบเข้าประเทศไทยได้อีกถ้าทาคุยะ นากาชิตะไม่อนุญาต ก็สมกันดีแล้วกับความผิดที่ผมกระทำ ป่านนี้คุณคงรู้ข่าวของครอบครัวผมแล้วสินะ ผมไม่คิดจะโทษใครหรอกนอกจากโทษตัวเองที่คิดไม่ดีกับคุณก่อน จนทำให้ทุกคนในบ้านต้องมาพลอยเดือดร้อนกับความชั่วที่ผมก่อขึ้น สงสารก็แต่พี่ยองจุน ที่ต้องมาวิ่งวุ่นช่วยพวกเราแก้ปัญหาทั้งๆที่ตัวพี่ยองจุนเองก็มีบาดแผลหนักเกินจะเยียวยาเหมือนกัน

สุดท้าย ผมไม่รู้จะพูดอะไรอีกนอกจากคำๆนี้ ผมรักคุณ รักคุณคนเดียว และขอโทษด้วยที่ความรักของผมเกือบจะทำร้ายคุณ ถ้าสวรรค์ยังเห็นใจ ผมได้แต่หวังว่า เราคงจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งและผมจะขอโทษคุณด้วยตัวของผมเอง

อีเมล์ฉบับนี้คงเป็นฉบับสุดท้ายที่ผมจะติดต่อกลับมาหาคุณอีก ผมไม่อยากจะทำผิดสัญญาที่พี่ยองจุนให้ไว้กับเขา ลาก่อนนะครับ .... ผักหวานที่รักของผม

.. ลีจินฮุน ...


นี่มันอะไรกัน! ผักหวานได้แต่ตะโกนก้องในใจอย่างสับสน หลังจากอ่านข้อความตรงหน้ามามากกว่าห้ารอบ ทาคุยะ นากาชิตะเป็นใคร แล้วมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย ทำไมในอีเมล์ของลีจินฮุนเหมือนกับจะบอกว่าทุกสิ่งที่เกิดกับครอบครัวของเขาในตอนนี้ เกิดขึ้นเพราะเขาคิดจะทำลายเธอในวันนั้น...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! หญิงสาวคิดในใจอย่างสับสน มือเรียวเอื้อมไปเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดเพื่อหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา ก่อนที่ร่างบางจะผุดลุกขึ้นและก้าวเดินออกจากออฟฟิตไปอย่างรีบเร่ง ไม่แม้แต่จะหยุดตอบคำถามของสารัจที่เดินสวนเข้ามาและถามว่าเธอจะกำลังจะออกไปไหน ทิ้งให้กสินและสารัจได้แต่สบตากันอย่างงุนงงในท่าทีรีบร้อนของอีกฝ่าย

ทาคุยะ นากาชิตะ ใครกัน!

ผักหวานได้แต่เฝ้าคิดซ้ำไปซ้ำมาขณะเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปยังตึกพัฒนา ตึกสำนักงานใหญ่ของธุรกิจในเครือพัฒนะไพศาล ซึ่งตั้งอยู่ในย่านสีลมย่านธุรกิจที่ไม่เคยหลับใหลของประเทศไทย วันนั้นคนที่มาช่วยเธอคือพี่ทักษ์นี่นาแล้วคนที่ชื่อทาคุยะ เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร หญิงสาวได้แต่คิดวนเวียนหาคำตอบอย่างไม่รู้จักจบสิ้น คิด จนเริ่มสะดุดกับนามสกุลนากาชิตะ

ใช่แล้ว นี่มันนามสกุลของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นนี่ !

หญิงสาวนึกขึ้นได้ในที่สุด หลังจากรู้สึกสะดุดหูกับนามสกุลนี้มาตั้งแต่อ่านอีเมล์ของลีจินฮุนครั้งแรก นอกจากจะเป็นนามสกุลของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทแม่รวมไปถึงบริษัทในเครือทั้งหมดแล้ว นามสกุลนี้ยังเป็นหนึ่งในนามสกุลที่ทรงอิทธิพลของญี่ปุ่นนามสกุลหนึ่ง...พูดง่ายๆก็คือเป็นตระกูลมาเฟียดังตระกูลหนึ่งในญี่ปุ่นนั่นเอง นอกจากธุรกิจด้านรถยนต์แล้ว นากาชิตะกรุ๊ปยังจับธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และเป็นเจ้าของธนาคารยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นอีกด้วย... แต่ยิ่งคิด ผักหวานก็ยิ่งไม่เข้าใจ หญิงสาวแน่ใจว่าตนเองนั้นไม่เคยรู้จักคนในตระกูลนี้เป็นการส่วนตัวแน่ๆ แล้วทำไมคนในตระกูลนี้ถึงต้องเป็นเดือดเป็นร้อนยื่นมือเข้ามาแก้แค้นแทนเธอด้วยล่ะ!

จะยังไงก็ดี...ผักหวานแน่ใจว่าทักษ์น่าจะให้คำตอบกับเธอได้ ว่าตกลงวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วคนของนากาชิตะยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ร่างบางเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามา ก่อนจะเดินตรงไปยังเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ของตนให้กับประชาสัมพันธ์หน้าหวานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้รับทราบ


“ ดิฉันมาขอพบ คุณทักษ์ พัฒนะไพศาลคะ“

“ ไม่ทราบว่านัดไว้หรือเปล่าคะ“ ประชาสัมพันธ์สาวรีบซักทันที เนื่องด้วยคนที่อีกฝ่ายต้องการพบเป็นถึงประธานบริษัท เจ้านายใหญ่ของคนทั้งตึกนี้ ยิ่งผักหวานส่ายศีรษะปฎิเสธ เจ้าหล่อนก็รีบบอกปัดทันทีโดยไม่แม้แต่จะโทรศัพท์ขึ้นไปสอบถามคนข้างบนว่าอนุญาติให้ขึ้นไปหรือไม่

“ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะไม่สะดวกละคะ คุณควรจะโทรมานัดล่วงหน้าไว้ก่อน ท่านมีธุระยุ่งทั้งวัน“

“ แล้วท่านของคุณมีธุระยุ่งคนเดียวรึไงคะ“ ผักหวานพูดเสียงเย็น ภายในใจเริ่มกรุ่นๆกับอาการลอยหน้าลอยตาของอีกฝ่าย

“ ฉันว่าคุณควรจะโทรไปสอบถามจากเลขาท่านของคุณก่อนดีกว่านะ ว่าฉันจะขึ้นไปได้ไหมไม่ใช่ตัดสินเอาเองแบบนี้“

ประชาสัมพันธ์สาวหน้าชาทันที่ได้ฟัง ปากที่ถูกเคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีสดเตรียมจะโต้กลับคนตรงหน้า หากแต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างใจนึก เสียงของพิพัฒน์ เลขาส่วนตัวของทักษ์ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน...พิพัฒน์ที่ทำงานอยู่ชั้นบนสุดของอาคารเช่นเดียวกันกับทักษ์รีบลงมารับหน้าผักหวานทันทีที่ได้รับรายงานจากเดช ว่าตอนนี้หญิงสาวกำลังเดินเข้าไปในสำนักงานใหญ่แล้ว

“ คุณผักหวาน“

ผักหวานหันไปตามเสียงเรียกทันทีที่ได้ยิน ครั้นเมื่อเห็นว่าคนที่เรียกนั้นชื่อตนเป็นเลขาส่วนตัวของคนที่ตั้งใจมาหา หญิงสาวจึงรีบบอกวัตถุประสงค์ของตนเองทันที

“ คุณพิพัฒน์ ฉันมาหาพี่ทักษ์ ไม่ทราบว่าตอนนี้เลิกประชุมกันหรือยังคะ“

“ ยังเลยครับ คงอีกครู่ใหญ่ คุณผักหวานขึ้นไปรอที่ห้องของท่านก่อนก็ได้ครับ อีกไม่นานมากท่านก็คงออกมาแล้ว“

ประชาสัมพันธ์สาวถึงกับหน้าเหวอไปทันทีเมื่อได้ฟังคำสนทนาตรงหน้า ดูท่าหญิงสาวคนนี้คงจะไม่ใช่แขกธรรมดาๆเป็นแน่เพราะนอกจากจะได้รับอภิสิทธิ์ให้ไปรอนายใหญ่ถึงในห้องทำงาน เลขาส่วนตัวของท่านยังลงมารอรับด้วยตนเองอีกด้วย หญิงสาวรีบก้มหน้างุดทันทีที่เหลือบไปเห็นแววตาตำหนิจากเลขาใหญ่ของท่านประธาน ดูท่างานนี้เธอคงไปชนตอเข้าให้จังเบ้อเร้อแล้ว


ผักหวานเข้าไปนั่งรอทักษ์ตรงโซฟารับแขกที่อยู่บริเวณส่วนหน้าของห้องทำงาน หญิงสาวอดกวาดตามองไปรอบๆอย่างชื่นชมไม่ได้เมื่อเข้ามาถึง ห้องทำงานของทักษ์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกัน คือส่วนด้านหน้าที่ถูกจัดวางด้วยโซฟารับรองและโต๊ะประชุมขนาดเล็กกับส่วนภายในเข้าไปซึ่งมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่วางตั้งอยู่ ภายในถูกตกแต่งด้วยสีเอิรธ์โทน ดูน่าเกรงขามแต่ก็ไม่น่าอึดอัดแต่อย่างใด หญิงสาวกล่าวขอบคุณผู้ช่วยของพิพัฒน์ที่นำน้ำส้ม กาแฟและคุ้กกี้ พร้อมกับนิตยสารอีกสองสามเล่มมาวางไว้ให้ ก่อนจะหันไปคุยกับพิพัฒน์ที่ยืนดูอยู่ไม่ห่าง

“ ขอบคุณมากคะ คุณพิพัฒน์ ฉันอยู่คนเดียวได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก“

“ เออ ครับ คิดว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงคุณทักษ์คงจะเสร็จ ถ้าคุณผักหวานต้องการอะไรเพิ่มเติม เรียกผม หรือไม่ก็เรียกมาลินีที่อยู่ด้านนอกได้เลยนะครับ“ ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายก่อนจะขอตัวเดินจากไป เมื่อเห็นว่าหญิงสาวต้องการความเป็นส่วนตัว


ผักหวานเริ่มกวาดสายตามองไปรอบๆห้องอย่างจริงจังอีกครั้งหลังจากอยู่เพียงลำพัง ห้องทำงานของทักษ์ค่อนข้างจะเรียบง่ายเมื่อเทียบกับห้องทำงานของบรรดานักธุรกิจชื่อดังคนอื่นๆไม่มีประกาศนียบัตรหรือโล่ประกาศเกียรติคุณวางโชว์ไปทั่ว ไม่มีรูปภาพครอบครัวขนาดใหญ่แขวนประดับฝาผนังเพื่อประกาศความเกรียงไกรและสายใยรักในครอบครัวเหมือนที่อื่นๆ มีเพียงกรอบรูปขนาดไม่ใหญ่นักสองอันที่วางเคียงกันอยู่บนโต๊ะทำงาน ใจจริงผักหวานก็นึกอยากจะเดินเข้าไปหยิบดูอยู่เหมือนกัน ด้วยอยากรู้ว่ารูปของใครกันที่ได้รับเกียรติจากคนมาดโหดให้ขึ้นไปวางประดับอยู่บนโต๊ะได้ หากแต่มันก็ดูจะเสียมารยาทเกินไปในเมื่อเจ้าของเขายังไม่ทันได้อนุญาต เมื่อคิดได้ดังนี้หญิงสาวจึ่งเลื่อนสายตาไปสำรวจยังบริเวณอื่นของห้องแทน

เวลาผ่านไป ครู่ใหญ่ผักหวานก็เริ่มเบื่อ หญิงสาวหยิบนิตยสารที่มาลินีผู้ช่วยของพิพัฒน์วางไว้ให้ขึ้นมาพลิกดูเล่นๆเป็นการฆ่าเวลา เล่มแรกนั้นเป็นหนังสือผู้หญิงทั่วๆไปซึ่งเธอก็เคยอ่านแล้วตอนไปนอนเล่นที่คอนโดของจิดาภา เล่มถัดมาเป็นหนังสือโปรโมทผลิตภัณฑ์ของพิทักษ์ไพศาล...อันนี้ก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าพิทักษ์ไพศาลทำอะไรบ้างหญิงสาวคิด ก่อนจะหยิบเล่มสุดท้ายขึ้นมาดู... อันนี้สิค่อยน่าดูหน่อย หนังสือธุรกิจประเภทบิสซิเนสวีคของญี่ปุ่น ดูท่าจะอิมพอร์ตมาจากญี่ปุ่นซะด้วย เพราะเธอยังไม่เห็นเล่มนี้วางแผงที่เมืองไทยเลย หญิงสาวคิดก่อนจะพลิกเข้าไปดูเนื้อหาด้านในด้วยความสนใจ

สิบตระกูลผู้ทรงอิทธิพลของญี่ปุ่น ผักหวานสะดุดเข้ากับคอลัมพ์นี้ทันที หญิงสาวรีบพลิกไปยังหน้าที่สารบัญบอกเอาไว้ ก่อนจะเริ่มอ่านอย่างคร่าวๆไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหน้าสุดท้ายซึ่งเป็นหน้าของตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด...ตระกูลนากาชิตะ เจ้าของธุรกิจรถยนต์ยักษ์ใหญ่ติดอันดับขายดีของโลก นอกจากธุรกิจรถยนต์แล้วยังมีธนาคารเป็นของตัวเอง มีหุ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมดังระดับห้าดาว หญิงสาวถึงกับตัวชาวาบเมื่อเหลือบไปเห็นภาพครอบครัวของตระกูล ซึ่งกินเนื้อที่ถึงหนึ่งในสี่ของนิตยสาร

พี่ทักษ์ นายทศ นี่มันเรื่องอะไรกัน!! ...

ผักหวานอุทานในใจเมื่อเห็นว่ารูปภาพของบุคคลในตระกูลนั้น นอกจากจะมีประมุขในชุดประจำชาตินั่งอยู่ตรงกลางแล้ว ด้านซ้ายยังมีชายหนุ่มหน้าตาดีที่มองเผินๆคล้ายชาวญี่ปุ่นนั่งอยู่ด้วยถึงสองคนด้วยกัน คนแรกนั่นมองยังไงก็คือทักษ์ พัฒนะไพศาลนั่นเอง ในขณะที่เด็กหนุ่มคนถัดมาถ้าดูจากเค้าโครงหน้าแล้วก็คือนายทศเมื่อสักสองปีที่แล้ว ด้านขวามือของประมุขตระกูลนากาชิตะนั้นมีหญิงสาวหน้าหวานในชุดกิโมโนนั่งอยู่เพียงคนเดียว ผักหวานเพ่งมองภาพผู้หญิงคนนั้นด้วยความคุ้นตา ก่อนจะส่งเสียงครางออกมาในที่สุด

มิกิซัง!

หมดแล้ว...คำถามที่เตรียมจะมาถามทักษ์ ในเมื่อคำตอบที่ได้อยู่ตรงหน้าเธอแล้วในขณะนี้ ที่แท้ทักษ์กับทาคุยะก็คือคนคนเดียวกันนั่นเอง...หญิงสาวคิดในใจ ภายในลำคอฝืดขมเมื่อรำลึกถึงอดีตเมื่อเจ็ดปีก่อน ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหล่บ่าเข้ามาในหัวราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้... ทั้งๆที่ใกล้กันแค่นี้ ทั้งๆที่รู้สึกคุ้นกับดวงตาคู่นี้อย่างบอกไม่ถูก แต่ทำไมถึงจำไม่ได้สักที ... หญิงสาวได้แต่หัวเราะให้กับความโง่เง่าของตนเองที่จำไม่ได้แม้กระทั่งชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนรักแรกของตนดั่งที่เพื่อนๆชอบเอ่ยปากแซว ... เขาคงนึกหัวเราะเยาะเธออยู่ในใจสินะ คงเห็นความขี้ลืมของเธอเป็นเรื่องตลกให้เอามาหัวเราะเยาะเล่นลับหลัง ถึงได้ไม่เคยบอกความจริงกับเธอเลยสักครั้ง

น้ำตาอุ่นๆค่อยๆไหลออกมาจากกระบอกตาที่ร้อนผ่าว ผักหวานรีบยกมือขึ้นเช็ดทันทีก่อนที่มันจะทันได้ร่วงหล่นลงมา

ไม่ร้องนะผักหวาน อย่าร้องไห้ออกมาเด็ดขาด เธอเคยเข็มแข็งมาตลอดนี่ จะมาร้องทำไมกับเรื่องบ้าบอพรรค์นี้ อย่าให้เค้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจของเธอได้อีก อย่า ....

ผักหวานได้แต่ปลุกปลอบตัวเองในใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจไหล่พล่านไปทั่ว ขณะจ้องมองเสี้ยวหน้าคมในหน้านิตยสาร

พอกันทีกับผู้ชายหลอกลวง!










Create Date : 29 สิงหาคม 2551
Last Update : 29 สิงหาคม 2551 14:41:40 น. 2 comments
Counter : 526 Pageviews.

 
ตอบเมนท์จร้า

นู๋เนน -- อีกไม่นานพี่ทักษ์จะเข้าสู่โหมดโหดแล้วนะ แต่ถึงโหดยังไงก็ยังน่ารักอยู่ อิอิ

ออยล์ -- สามารถมากเลยจ้า อ่านที่เดียว 11 ตอน ถ้านับหน้าเอสี่ก็ 60 กว่าหน้าเลยนา ... จะพยายามอัพบ่อยๆจร้า รับรองไม่ทิ้งค้างเพราะมันแต่งจบเเล้ว ชะเอิงเอิงเอย

สุดท้าย ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ถึงจะขี้อายไปบ้าง แต่จำนวนคนอ่านก็ทำให้คนเขียนชื่นใจ และถ้าไม่ยุ่งจนเกินไปนัก ออกมาทักกันบ้างจะดีมากๆเลย


โดย: Na_Nath วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:14:46:21 น.  

 
ฮี่ๆๆ พี่ทักษ์ ถ้าจะแย่แหล่ว ถูกจับได้ไล่ทันแล้ว ทำไงดี เอาใจช่วยนะคะ ทาคุยะซัง


โดย: นู๋เนน IP: 119.42.78.152 วันที่: 30 สิงหาคม 2551 เวลา:17:51:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Na_Nath
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






✎ งานเขียนทั้งหมดในblog นี้ ✎

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายพระราช

บัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์

เผยแพร่ หรือ คัดลอกไปกระทำการ

ใดๆก็ตาม..หากผู้ใดกระทำการฝ่าฝืน

เจ้าของ blog สามารถดำเนินการตาม

กฏหมายได้ทุกกรณี (◡‿◡✿)




Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
29 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Na_Nath's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.