<<
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
12 มีนาคม 2555

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 8-03-2012

ข่าวกองทุนรวมประจำวันที่ 8-03-2012
· กสิกรจ่าย120ล้าน โปรโมชันกองภาษี
· ทิสโก้บริหารกองหุ้นเข้าเป้า ลงทุนไม่ถึง1ปี คืนกำไรลูกค้า 11%
· เอ็มเอฟซีลุ้นวายุภักษ์หนึ่งต่ออายุ เตรียมเสนอ 3 แนวทาง ต่ออายุ-ปิดกอง-ขายหุ้นทิ้ง
· TMBAMเปลี่ยนค่าธรรมเนียม3กองทุน
· บลจ.กิมเอ็งรอหุ้นพันจุดตั้งกองทุนซื้อ เล็งออกกองทุน 500 ล.
· บลจ.ตบเท้าเปิดขายกองบอนด์ หลังดีมานด์ล้นชูผลตอบแทนเด่น
· บลจ.ลดเกรดหุ้นกลุ่มประกันภัย อเบอร์ดีนขายทิ้งไทยรีฯ
· ระยะสั้นราคาทองคำปรับลดลง ฟิลลิปมองแนวโน้มระยะยาวยังไปต่อ

กสิกรจ่าย120ล้านโปรโมชันกองภาษี
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

บลจ.กสิกรไทย เผยปี 2554 ผู้ลงทุนแห่รับโปรโมชัน ซื้อLTF-RMF ได้เงินสดคืนกว่า 120 ล้านบาท ติดใจอัดโปรโมชันต่อปีนี้
นายอำพล โพธิ์โลหะกุลประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2554 ผู้ลงทุนที่มีสิทธิได้รับเงินคืน (Cash Back) จากรายการส่งเสริมการขายเมื่อซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มีจำนวนกว่า 8 หมื่นราย ยอดเงินลงทุน 1.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็นมูลค่าคืนเงินกว่า 120 ล้านบาท
"ยอดคืนเงินครั้งนี้เพิ่มขึ้นจากปี2553 กว่า 30% ผู้ลงทุนที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มขึ้น 14% ถือเป็นการจ่ายเงินในโปรโมชันสูงที่สุดในประวัติการณ์กองทุน" นายอำพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากผลตอบรับที่ดีปี 2555 บริษัทยังมอบเงินสดคืนในกองทุนดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.-28 ธ.ค. 2555 สูงสุด 1.2 แสนบาทเช่นเดิม โดยเพิ่มสิทธิพิเศษเมื่อซื้อผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทยที่สาขาธนาคารกสิกรไทย และทำรายการผ่านอินเทอร์เน็ตภายใน 30 เม.ย.นี้จะได้รับคะแนนสะสมพิเศษ 4 เท่า
บลจ.ทิสโก้ แจ้งว่า กองทุนเปิดทิสโก้เซ็ท อิควิตี้ ทริกเกอร์ 11% มีผลตอบแทนถึงเป้าหมาย 11% ก่อนกำหนด 1 ปี จึงได้คืนเงินผู้ลงทุน



บลจ.ทิสโก้บริหารกองหุ้นเข้าเป้า ลงทุนไม่ถึง1ปีคืนกำไรลูกค้า11%
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

บลจ.ทิสโก้โชว์ผลงานโดดเด่น บริหาร "กองทุนเปิด ทิสโก้ เซ็ทอิควิตี้ ทริกเกอร์ 11% กองที่ 2" เข้าเป้าหมายก่อนครบกำหนด สร้างกำไรแก่ผู้ถือหน่วย 11%ใช้เวลาลงทุนเพียงไม่ถึง 1 ปี ด้าน TISCO Wealth ชี้หุ้นไทยยังไปได้ต่อ หลังเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าลงทุนในภูมิภาคเอเชีย หนุนดัชนีตลาดหุ้นสดใส
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุน รวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่าจากที่ บลจ.ทิสโก้ ได้ทำการเสนอขาย"กองทุนเปิด ทิสโก้ เซ็ท อิควิตี้ ทริกเกอร์ 11%"กองที่ 2 ซึ่งมีอายุโครงการประมาณ 1 ปี โดยเป็นกองทาร์เก ตฟันด์ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีเงื่อนไขสามารถเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการ หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 11% หรือ NAV มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 11.0000 บาทได้นั้นขณะนี้ NAV ของกองทุนดังกล่าว ณ วันที่ 2 มีนาคม 2555 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 11.1381 บาทต่อหน่วย ทำให้เข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการได้ก่อนกำหนด พิสูจน์ความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ ได้เป็นอย่างดี
"ช่วงที่เราเปิดขายกองทุนทิสโก้ เซ็ทอิควิตี้ ทริกเกอร์ 11% กองที่ 2 เป็นช่วงที่การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนและปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ ด้วยภาพรวมของเศรษฐกิจไทยที่มีความแข็งแกร่ง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังมีการเติบโตที่สูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และเป็นโอกาสของนักลงทุนในการเข้าลงทุนในหุ้นที่ราคาถูกเพื่อให้ได้รับผลตอบ แทนตามเป้าหมาย ซึ่งก็เป็นไปตามที่ได้คาดไว้ ทำให้เราสามารถปิดกองทุนเปิดทิสโก้ เซ็ท อิควิตี้ ทริกเกอร์ 11% กองที่ 2 ได้ก่อนครบกำหนด และสร้างกำไรให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ถึง 11% โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง1 ปี" นายสาห์รัช กล่าว
ด้าน TISCO Wealth ซึ่งเป็นบริการที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนครบวงจรของกลุ่มทิสโก้ มองว่า ในภาพรวมยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะหุ้นในภูมิภาคเอเชียในปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก
เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของเอเชียในปีนี้จะยังคงมีการขยายตัวที่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยถือได้ว่าปรับตัวขึ้นมาเร็วกว่าภูมิภาคในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้ระดับราคา ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน และเทียบกับเป้าหมายในปีนี้ที่ระดับดัชนีประมาณ 1,150-1,200 จุด นักลงทุนจึงควรพิจารณาเลือกกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคเอเชียมากขึ้นเพื่อ แสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการลงทุนเฉพาะหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว



'เอ็มเอฟซี'ลุ้นวายุภักษ์หนึ่งต่ออายุ/ปิดกองฯขายหุ้นทิ้ง
Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th)

บลจ.เอ็มเอฟซีฯ ลุ้นบริหารต่อกองทุนวายุภักษ์หนึ่งหลังหมดอายุปี2555เตรียมเสนอ3แนวทางต่อรัฐ มนตรีคลัง แย้มบริหารปีสุดท้ายมีโอกาสปันผลพิเศษเอาใจผู้ถือหุ้น จากปี 2554 จ่ายน้อยแค่ 3% เผยไม่กระทบฐานะเหตุกำไรสะสมอื้อ
นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปี 2555 นี้กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง (VAYU1) ซึ่งบริษัทเป็นผู้บริหารจะครบอายุดังนั้นจึงมีแผนเสนอรัฐมนตรีว่าการ(รมว.)กระทรวงการคลังใน 3 แนวทาง คือ 1.ต่ออายุกองทุนดังกล่าวออกไป2.ปิดกองทุนและจัดตั้งกองใหม่ขึ้นมา และ3. ปิดกองทุนและขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมาในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยทั้ง 3 แนวทางข้างต้น บลจ.เอ็มเอฟซีฯได้เสนอนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ(รมว.)กระทรวงการคลังซึ่ง เชื่อว่ากระทรวงการคลังไม่น่าจะเลือกแนวทางที่ 3 คือการปิดกองทุนและขายหุ้นออกมาในตลาดหลักทรัพย์ฯเนื่องจากกองทุนดังกล่าวมีขนาดสินทรัพย์กว่า 300,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและจะต้องมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตามจากกรณีที่กระทรวงการคลังมีนโยบายลด สัดส่วนการถือหุ้นของกิจการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและที่ไม่ได้จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วยการขายหุ้นให้กองทุนรวมวายุภักษ์ ไม่ว่าจะเป็นบมจ.ธนาคารกรุงไทย บมจ.ท่าอากาศยานไทย บมจ.อสมทและบมจ.กสท โทรคมนาคม เป็นต้น ทำให้มีความเป็นไปได้ที่กระทรวงการคลังยังมีแผนต่ออายุกองทุนวายุภักษ์ออกไป
"หากมีการปิดกองทุนรวมวายุภักษ์ และขายสินทรัพย์ออกไป ก็จะกระทบต่อสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของบลจ.เอ็มเอฟซีฯ ให้ลดลงประมาณ 80,000 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากค่าธรรมเนียมในการบริหารที่ได้จากกองทุนดังกล่าวจะหายไป จากที่ผ่านมาจะได้รับปีละ20 ล้านบาท"
นางสาวประภา กล่าวต่อว่า บริษัทเตรียมที่จะพิจารณาจ่ายปันผลเพิ่ม สำหรับผลการดำเนินงานปี 2555 ของกองทุนรวมวายุภักษ์ หลังจากปีที่ผ่านมาจ่ายปันผลลดลงเหลือ 3% จากปกติที่จ่าย 5-6% ทั้งนี้เพื่อ สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนสนใจลงทุนต่อและกองทุนดังกล่าวยังมีกำไรสะสมสูงมาก ด้วยจึงไม่มีปัญหาในการจ่ายเงินปันผลเพิ่ม อีกทั้งกำไรส่วนใหญ่ไม่ได้ลงทุนในหุ้นแต่นำไปลงทุนในตราสารหนี้แทน
อนึ่งกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง มีอายุ 10 ปี ก่อตั้งเมื่อปี 2545 มีขนาดกองทุน ณ วันจัดตั้ง 100,000 ล้านบาท ระดมทุนจากนักลงทุนทั่วไป 70,000 ล้านบาท ส่วนอีก 30,000 ล้านบาท ลงทุนโดยกระทรวง

TMBAMเปลี่ยนค่าธรรมเนียม3กองทุน
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

บลจ.ทหารไทยเปลี่ยนค่าธรรมเนี่ยม กองทุนรวมตลาดเงินและกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น 3 กองทุนมีผลตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2555 เป็นต้นไปพร้อมออกโปรโมชัน Pro 2 You เมื่อลงทุนคู่กองทุนทองคำ และกองทุนพันธบัตรทั่วโลก
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ทหารไทย จำกัด รายงานว่า บลจ.ทหารไทยได้เปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน (Management Fee)ของกองทุนรวมตลาดเงินและกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นภายใต้การจัดการของบลจ.ทหารไทย จำนวน 3 กองทุน เพื่อให้เหมาะสมกับความซับซ้อนในการบริหารจัดการกองทุนที่แตกต่างกัน ได้แก่ เปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมการจัดการของกองทุนเปิดทหารไทยธนบดี จากปัจจุบันในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.4000 บาท เป็น 0.3000 บาทกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ปัจจุบันในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.1800 บาท เป็น 0.2000 บาทและ กองทุนเปิดทหารไทยธนพลัส จากปัจจุบันในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.3000 บาทเป็น 0.3500 บาท
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2555 เป็นต้นไป เพื่อให้บริษัทฯดำเนินกลยุทธ์การบริหารจัดการกองทุนได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ บลจ.ทหารไทย ได้แก่โปรโมชัน ใหม่ Pro 2 You รับเงินลงทุนพิเศษ200 บาทเมื่อลง ทุนในกองทุนคู่ ได้แก่กองทุนเปิด ทหารไทย โกลด์ ฟันด์ หรือกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ สิงคโปร์ และคู่กองทุนพันธบัตรทั่วโลก ทั้งกองทุนเปิดทหารไทย Global Bond Fund หรือกองทุนเปิดทหารไทย โกลบอล บอนด์ ปันผล
โดยกองทุนทองคำทั้ง 2 กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว คือ SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน EFT GOLD ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนโยบายการบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนในทองคำ
ขณะที่ Global Bond Fund ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองเดียว (Master Fund) คือ กองทุนTempleton Global Bond Fund เพื่อ สร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ยรับ การเพิ่มค่าของสินทรัพย์และการเพิ่มค่าของสกุลเงินดอลลาร์โดยลงทุนในตราสาร หนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่หรือลอยตัว ออกโดยรัฐบาลและองค์กรที่ต้องเกี่ยวข้องกับรัฐบาลทั่วโลก



บลจ.กิมเอ็งรอหุ้นพันจุดตั้งกองทุนซื้อ
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)

บลจ.กิมเอ็ง นัดพบดัชนี 1,000 จุด เล็งออกกองทุนหุ้น500 ล้านบาท
นายไววิทย์ อุทัยเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กิมเอ็ง เปิดเผยว่า การจัดตั้งกองทุนหุ้นยังอยู่ในแผนที่จะเสนอขายภายในปีนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน แต่มองว่าขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะเหมาะสม เนื่องจากดัชนีราคาหุ้นปรับตัวสูงเกินไป
"เชื่อว่าดัชนีหุ้นจะมีการปรับตัวลงอีกรอบและจะ เป็นจังหวะเสนอขาย เพราะดัชนีหุ้นไทยมีลักษณะขึ้นลงเป็นรอบๆ โดยมองว่าระดับดัชนีเหมาะสมคือบริเวณ 1,000 จุด และคาดว่าดัชนีหุ้นไทยไม่น่าจะลงไปต่ำที่ระดับ 700-800 จุดอีกแล้ว เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปยังไม่ดีนัก" นายไววิทย์กล่าว
สำหรับกองทุนหุ้นเป็นหนึ่งในแผนขยายสินทรัพย์รวมของบริษัทแตะ 1 หมื่นล้านบาทภายในปีนี้ซึ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากปีที่ผ่านมามีสินทรัพย์เพียง 380 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังมีกองทุนเปิดกิมเอ็งบริหารเงินเพียงกองเดียว
ด้านนายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟินันซ่า กล่าวว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจคาดว่าโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงเป็นไปได้ยากมาก และในช่วงปลายปี 2555 มี ความเป็นไปได้ที่ ธปท.อาจจะต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะปัญหาแรงกดดันของเงินเฟ้อ
"เราคาดว่ารัฐบาลคงจะพยายามอย่างเต็มที่ในการ ตรึงอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันให้นานที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระต่อประชาชน ดังนั้นในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงทรงตัว แต่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในอนาคต การลงทุนในระยะเวลาสั้นๆประมาณ 3-6 เดือน จะทำให้ผู้ลงทุนไม่เสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี หากมีการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป" นายธีรพันธุ์กล่าว



บลจ.ตบเท้าเปิดขายกองบอนด์ หลังดีมานด์ล้นชูผลตอบแทนเด่น
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

บลจ. ตบเท้าเปิดขายกองทุนบอนด์ ฟินันซ่า เปิด FAM FIPR3M1 ชูผลตอบแทน 3.25% ต่อปี เปิดขายถึงวันที่ 12 มีนาคมนี้ ขณะที่บลจ.ธนชาตคลอด "Fixed Income 10 และ T-FixFIFY5"เริ่มไอพีโอแล้ว ถึง 12 มี.ค.นี้ ด้าน บลจ. ซีมิโก้ คลอด "S-FI 1Y1" รับดีมานด์ ไอพีโอแล้ว ถึง 13 มี.ค.นี้
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่าจำกัด เปิดเผยว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจคาดว่าโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยนโยบาย นั้นเป็นไปได้ยากมาก
และในช่วงปลายปี 2555 มี ความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะปัญหาแรงกดดันของเงินเฟ้อ โดยคาดว่าทางรัฐบาลคงจะพยายามอย่างเต็มที่ในการตรึงอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ให้นานที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระต่อประชาชน
ดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วที่สุดน่าจะเป็นช่วงปลายปี 2555 ซึ่งในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงทรงตัวแต่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในอนาคต การลงทุนในระยะเวลาสั้นๆประมาณ 3-6 เดือน จะทำให้ผู้ลงทุนไม่เสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีหากมีการปรับเพิ่มขึ้น ของอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป ดังนั้น ฟินันซ่าจึงแนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นกองทุนเปิดฟินันซ่าตรา สารหนี้พลัส โรลโอเวอร์ 3เดือน1 (FAM FIPR3M1) จะเปิดเสนอขายครั้งแรก (ไอพีโอ) ตั้งแต่ 5-12 มีนาคม 2555 นี้ ด้วยประมาณการผลตอบแทนที่ 3.25% ต่อปี โดยสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท
โดยFAM FIPR3M1 เป็น specific fund หรือกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่มีการกระจายการลงทุนน้อย กว่าเกณฑ์มาตรฐานมีนโยบายที่จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งหนี้ที่มีความ สามารถในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงิน และ/หรือเงินฝาก ของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลง ทุนได้ (Investment Grade)
"เราจะเปิดให้มีการซื้อและขายคืนหน่วยลงทุน ทุกๆ 3 เดือนโดยประมาณ นับตั้งแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวมกองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ลง ทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นในตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชนและ/หรือ เงินฝาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร ในระยะเวลานานประมาณ 3 เดือน สำหรับการลงทุนแต่ละรอบกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศซึ่งเราจะทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน" นายธีรพันธุ์ กล่าว
นายสุรธีร์ กิตติวรวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนธนชาต จำกัด กล่าวว่า บริษัทเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 10 (TFixedIncome10)และกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศY5 (T-FixFIFY5) โดยทั้ง 2 กองทุนเสนอขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ วันที่ 6-12 มีนาคม 2555
สำหรับกองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 10 (TFixedIncome10) ระยะเวลาลงทุนประมาณ 6 เดือน ผลตอบแทนประมาณ3.35% ต่อปี โดยมีเป้าหมายลงทุนในเงินฝากสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank / ธนาคารFirst Gulf Bank (ประมาณ 20% ลงทุนในเงินฝากสกุลเงินหยวน ธนาคาร Bank of China ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดย Banco Itau BBA S.A.ประมาณ 20%
ขณะเดียวกัน กองทุนจะเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดยธนาคารในประเทศอินเดีย ได้แก่ โดย Axis Bank (India) / Indian Bank (India) ประมาณ18.90% ลงทุนในตั๋วแลกเงินบมจ.อยุธยาแคปปิตอล ออโต้ลีส / บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ / บมจ.ภัทรลีสซิ่ง ประมาณ 21.00%และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ ประมาณ 0.10% ผลตอบแทนรวมของตราสารประมาณ 3.6428% ต่อปี โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุนประมาณ0.2928% ต่อปี
นอกจากนี้แล้ว กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ Y5 (T-FixFIFY5)ระยะเวลาลงทุนประมาณ 12 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3.90% ต่อปี มีเป้าหมายลงทุนในเงินฝากสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank /ธนาคาร First Gulf Bank ประมาณ 20%ลงทุนในเงินฝากสกุลเงินหยวน ของ Bank of China ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดย Axis Bank (India) / State Bank of India ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดย ICICI Bank (India) / Indian Bank (India) ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดย Banco Itau BBA S.A. ประมาณ 19.90% และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ ประมาณ 0.10%อายุประมาณ 12 เดือน ผลตอบแทน รวมของตราสารประมาณ 4.2377% ต่อปี ประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุนประมาณ 0.3377% ต่อปี
ด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) ซีมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังเปิดขายกองทุนเปิดซีมิโก้ตราสารหนี้ 1Y1 หรือ Seamico Fixed Income Fund 1Y1 (S-FI 1Y1) อายุประมาณ 1 ปี เริ่มเปิดไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 13 มีนาคม นี้ โดยกองทุนจะให้ผลตอบแทนประมาณการที่ 4.05%
สำหรับกองทุน S-FI 1Y1 จะ เข้าไปลงทุนเงินฝากในประเทศ เช่น ธนาคารธนชาตธนาคารทิสโก้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารกรุงไทยธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขณะเดียวกันในต่างประเทศจะเข้าไปลงทุนในเงินฝากสกุลอาหรับเอมิเรตส์ดีแรห์ม ธนาคารยูเนี่ยนเนชั่นแนล แบงก์ เงินฝากสกุลอาหรับเอมิเรตส์ดีแรห์ม ธนาคารอาบูดาบี คอมเมอร์เชียล แบงก์ ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรดส์ ในสัดส่วน 43%
ขณะเดียวกัน กองทุนแบ่งสัดส่วนเข้ามาลงทุนในหุ้นกู้ / ตั๋วแลกเงิน เช่น บมจ. อยุธยาแคปปิตอล ออโต้ ลีส บมจ. ภัทรลิสซิ่งบมจ.อยุธยา ดีเวลลอปเม้นท์ ลีสซิ่ง บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ บมจ. ราชธานีลิสซิ่ง บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง บมจ. โนเบิลดีเวลลอปเม้นท์บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และ บมจ.สามารถเทเลคอม ในสัดส่วนการลงทุน 49.50%


บลจ.ลดเกรดหุ้นกลุ่มประกันภัยอเบอร์ดีนทิ้งไทยรีฯ
Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th)

กองทุนรวมลดน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มประกันภัย หลังไตรมาส4 ปีที่แล้วขาดทุนบักโกรก5,406ล้านบาทจากผลกระทบน้ำท่วมบลจ.อเบอร์ดีนฯขายทิ้งหุ้นไทยรับประกันภัยต่อล็อตใหญ่3.82%เช่นเดียวกับบลจ.วรรณฯให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด หั่นเหลือไม่ถึง10% ของพอร์ตเผยเหตุ2ปัจจัยหลักทั้ง จ่ายค่าสินไหมพุ่ง และผลตอบแทนพอร์ตลงทุนลดจากดอกเบี้ยขาลงกดดันจากผลกระทบน้ำท่วมใหญ่ช่วงปลาย ปีที่ผ่านมาทำให้ภาพรวมผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯปรับลดลง โดยไตรมาส 4 /54 บจ.มีกำไรสุทธิรวม 71,459 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน52.91%ขณะที่ทั้งปียังมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 6.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 4.30%
สำหรับกลุ่มธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตจำนวน 17บริษัท ในงวดไตรมาส 4/54มีผลขาดทุนสุทธิรวม5,406.06 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ2,421.31 ล้านบาทส่วนผลการดำเนินงานทั้งปี มีกำไรสุทธิรวม3,802.46 ล้านบาท ลดลง 58 % จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 9,103.28 ล้านบาท
"ฐานเศรษฐกิจ" สำรวจไป ยังบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ถึงนโยบายการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจ ประกันภัยและประกันชีวิตพบว่าได้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มประกันภัยลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์น้ำท่วม
โดยบลจ.อเบอร์ดีนฯ ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันที่ได้ชื่อว่ามีนโยบายการลงทุนระยะยาว3-5ปีนั้นล่าสุดแจ้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ว่า เมื่อวันที่5 มีนาคมที่ผ่านมาได้ขายหุ้นบริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) (THRE)คิดเป็น3.8146%จนทำให้สัดส่วนการถือหุ้นหลังการขายลดลงเหลือ 2.2668%
อนึ่งบมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ รายงานผลขาดทุนสุทธิไตรมาส4 /2554 จำนวน2,055.73 ล้านบาทเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 188.85 ล้านบาท และฉุดให้ผลประกอบการทั้งปี 2554 ขาดทุนสุทธิ 1,660.48 ล้านบาท ขณะที่ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 580.46 ล้านบาท
ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ รอง กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วรรณฯ กล่าวว่า สำหรับกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของบริษัทที่นโยบายส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนใน หุ้นที่มีโอกาสได้ทั้งกำไรจากส่วนต่างราคา และเงินปันผล ซึ่งหุ้นกลุ่มประกันภัยประกันชีวิตนั้น หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 จึงทำให้บริษัทได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนลงต่ำกว่าเดิมที่ลงทุนสัดส่วนประมาณ 10% ของพอร์ตการลงทุน โดยอิงจากน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม หรือมาร์เก็ตแคป
"ปีนี้หุ้นกลุ่มประกันภัยไม่น่าสนใจจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ผลประกอบการย่ำแย่ จากผลกระทบน้ำท่วม และยังเป็นช่วงดอกเบี้ยขาลง ที่จะทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตบริษัทประกันฯ ลดลงเนื่องจากเงินลงทุนส่วนใหญ่ จะอยู่ในพันธบัตรรัฐบาล"ดร.วินกล่าว
นางพัณรัชต์ บรรพโต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซีฯ กล่าวว่าสำหรับนโยบายการลงทุนของกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารบริษัทต่อหุ้น กลุ่มประกันภัยนั้น ได้ให้น้ำหนักการลงทุนไม่มาก หรือไม่เกิน1% ของน้ำหนักการลงทุนของพอร์ต เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายน้อยอยู่แล้ว
นางแสงจันทร์ ลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทยฯ กล่าวว่า หากประเมินถึงความน่าสนใจต่อธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตนั้น ที่ผ่านมากองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของบริษัท ได้ลงทุนน้อยอยู่แล้ว หรือคิดเป็นไม่เกิน 1% ของพอร์ต เนื่องจากเป็นหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องและปีนี้บริษัทยังได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนเป็น "น้อยกว่าตลาด"
ทั้งนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ช่วงปลายปี2554ทำ ให้กระทบต่อความสามารถในการจ่ายปันผล ขณะที่การลงทุนในหุ้นกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิตโดยทั่วไปจะเน้นการลงทุน เพื่อรับปันผลด้วย ขณะที่ปีนี้มีหุ้นราคาถูกและมีโอกาสเติบโตสูง ให้เลือกลงทุนอีกมาก อาทิ กลุ่มอุปโภคบริโภคและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อในประเทศ ตลอดจนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากค่าแรงขั้นต่ำวันละ300 บาทและได้รับประโยชน์จากภาษี เป็นต้น
นายประเสริฐ ขนบ ธรรมเนียม รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทยฯ กล่าวว่า สำหรับกองทุนรวมทั่วไปภายใต้การบริหารของบริษัท ไม่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิตเนื่องจากเป็นหุ้น ที่ไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขายมีเพียงการลงทุนในรูปกองทุนส่วนบุคคลเท่านั้น ขณะที่ลูกค้าให้น้ำหนักการลงทุนน้อยอยู่แล้ว หากอิงจากมาร์เก็ตแคปของกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิตซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน ประมาณ 1% เศษ เมื่อเทียบกับมาร์เก็ตแคปตลาดรวม(ณ วันที่5 มี.ค.2555 กลุ่มประกันภัยและชีวิต มีมาร์เก็ตแคปรวม 1.37 แสนล้านบาท ขณะที่มาร์เก็ตแคปรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ที่ 9.48 ล้านล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทยฯประเมินว่า สำหรับธุรกิจประกันภัย แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่เมื่อเทียบกับโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ทั้งในส่วนของธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตในระยะยาวแล้วถือว่า ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจเนื่องจากยังสามารถเติบโตได้ในระดับตัวเลข 2 หลักทุกปี ดังนั้น จากนี้ไปจะต้องติดตามเพื่อประเมินว่า หลังจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมแล้ว ธุรกิจประกันภัยยังเดินต่อได้หรือไม่
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าปัจจัยหลักที่ทำให้ปี2554 ผลประกอบการโดยรวมของบจ. ปรับลดลง ได้แก่ แรงกดดันต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบจากการบันทึกมูลค่าความเสียหายจาก สถานการณ์น้ำท่วมในไตรมาส 4
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตัวเลขยอดขายในปี 2554 ที่มีจำนวน 9.1 ล้านล้านบาท จะพบว่าเพิ่มขึ้น 22.23 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และไตรมาส4 ปี2554 มียอดขายรวม 2.11 ล้านล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันปีก่อน13.09%ซึ่งตัว เลขดังกล่าวแสดงถึงศักยภาพของบจ.และทำให้เห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นในไตรมาส4 เป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น หากบจ.มีการบริหารจัดการที่ดี สามารถจัดการต้นทุนขายได้มีประสิทธิภาพ กำไรสุทธิของบจ. ก็จะกลับมาเติบโตได้


ระยะสั้นราคาทองคำปรับลดลง กูรูมองแนวโน้มระยะยาวยังไปต่อ
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th)

โบรกเกอร์กองทุนรวมประเมินระยะสั้นราคาทองคำยังไม่ชัดเจนและมีโอกาสปรับลดหากหลุด 1,700 US $/oz. แต่ระยะยาวแนวโน้มราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า แบงก์ชาติตลาดเกิดใหม่ยังสะสมทองคำ
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund Super Mart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศ ไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เรายังคงแนะนำต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยระยะสั้นโอกาสที่ราคาสินทรัพย์เสี่ยงจะค่อยๆ ปรับตัว สูงขึ้นยังมีความเป็นไปได้อยู่ จากกระแสเงินทุนไหลเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง การเก็งกำไรในกองทุนน้ำมันบนปัจจัยความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังมีความน่า สนใจอยู่สำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบความเสี่ยง แต่ยังต้องเน้นย้ำว่า สถานการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การเก็งกำไรยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดกองทุนน้ำมันที่แนะนำยังคงเป็น K-OIL ของ บลจ. กสิกรไทย ตามเดิม
ขณะที่ราคาทองคำปรับตัว ลดลงแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าการปรับตัวของราคาทองคำระยะสั้นยังไม่ชัดเจน (มีโอกาสที่จะลงต่อได้หากหลุด 1,700 US$/oz.) แต่เชื่อว่าแนวโน้มราคาทองคำระยะยาว ยังเป็นขาขึ้น โดยเรายังเชื่อว่าในระยะยาวแล้วค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มที่อ่อนค่า ลง และความเป็นไปได้ที่ QE3 จะออกมายังมีอยู่ ขณะที่ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ยังคงสะสมทองคำอยู่ และการที่ FED คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำจนถึงปี 2014 ทำให้เราแนะนำให้เริ่มทยอยเก็บสะสมกองทุนทองคำบางส่วน กองทุนทองคำแนะนำ T -Gold bullion-H ที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน"
ส่วนการลงทุนระยะยาวเรายังคงแนะนำ Wait and See ต่อเนื่อง จากสัปดาห์ที่แล้ว โดยเรายังเน้นการลงทุนอย่างระมัดระวัง ความเสี่ยงปัญหาหนี้ยุโรปยังคงอยู่ เช่นเดียวกับแนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว โดยมีราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นตัวเร่ง สำหรับเงินก้อนใหม่ที่จะนำมาลงทุนในกองทุนรวมเราแนะนำให้พักเงินไว้ใน Money Market Fund ตามเดิม กองทุนตลาดเงินที่แนะนำยังคงเป็น PCASH ของ บลจ.ฟิลลิป
อย่างไรก็ตาม หลังจากกรีซได้รับเงินช่วยเหลือรอบ 2 และการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมอีก 5.3 แสนล้านยูโรของ ECB ในสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ระยะสั้นความเสี่ยงของปัญหาหนี้ยุโรปลดลง อย่างไรก็ตาม ตลาดได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ปัจจัยใหม่ที่จับตาคือการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งคาดว่ามีโอกาสสูงที่จะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยมากกว่าที่คาด ทำให้ตลาดยังคงไม่สามารถปรับตัวไปไหนได้ไกลนัก
ขณะที่สหรัฐตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาสัปดาห์ นี้ให้ภาพการฟื้นตัวที่ต่อเนื่อง แต่เริ่มมีสัญญาณที่ทำให้การฟื้นตัวต่อจากนี้ไม่ชัดเจน โดยเรายังคงเห็นการทบทวนการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4/54 ปรับขึ้นเป็น 3% จากเดิม 2.80%, ตลาดบ้าน และตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ยอดทำสัญญาขายบ้านพุ่งแตะระดับสูงสุดเกือบ 2 ปี ขณะที่ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ดีขึ้น แต่ด้วยราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตให้ชะลอ ตัวลง ปัจจัยที่ไม่ชัดเจนนี้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวผันผวนไร้ทิศทางที่ชัดเจน
สำหรับราคาทองคำระหว่างวันดิ่งลงกว่า 100 U S $/oz. ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปิด 1,711.89 US$/oz. (-3.44% WoW) เนื่องจาก FED ไม่ได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเพิ่มเติม (QE3) ส่วนราคาน้ำมัน เรายังคงต้องจับตาความตึงเครียดในตะวันออกกลางต่อไป ขณะที่ยังมีความกังวลว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นในรอบนี้จะส่งผลกระทบ ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้น ทดสอบแนวต้านที่ 110 US$/bbl. ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมา ราคาน้ำมันสัปดาห์ที่แล้วปิดที่ 106.70 US$/bbl


ิัby...
//karnstrategyupdate.blogspot.com/


Create Date : 12 มีนาคม 2555
Last Update : 12 มีนาคม 2555 9:20:36 น. 0 comments
Counter : 606 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

planplan66
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add planplan66's blog to your web]