ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
16 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
จิตคืออะไร




จิต คือ ธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่ง รู้อารมณ์ จิตเป็นตัวรู้ สิ่งที่จิตรู้นั้นเป็นอารมณ์ จิตรู้สิ่งใด สิ่งนั้นแหละคืออารมณ์

อีกนัยหนึ่งแสดงว่า จิตคือธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ รับ จำ คิด รู้ ซึ่งอารมณ์ จิตต้องมีอารมณ์ และต้องรับ อารมณ์จึงจะรู้ และจำ แล้วก็คิดต่อไปสมตามนัยขยายความตามบาลีว่า

จินฺเตตีติ จิตฺตํ อารมฺมณํ วิชานาตีติ อตฺโถ ฯ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ธรรมชาติใดย่อมคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่า จิต มีอรรถว่า ธรรมชาติที่รู้อารมณ์คือ จิต

ในปฏิสัมภิทาพระบาลีมหาวัคค แสดงว่าจิตนี้มีชื่อที่เรียกใช้เรียกขานกันตั้ง ๑0 ชื่อ แต่ละชื่อก็แสดงให้รู้ ความหมายว่าจิตคืออะไร ดังต่อไปนี้

ยํ จิตฺตํ มโน หทยํ มานสํ ปณฺฑรํ มนายตนํ มนินฺทฺริยํ วิญฺญาณํ วิญฺญาณกฺขนฺโธ ตชฺชา มโนวิญฺญาณธาตุ อิทํ จิตฺตํ ฯ


ซึ่ง อัฏฐสาลินีอรรถกถา อธิบายว่า

๑. ธรรมชาติใดย่อมคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่า จิต

๒. ธรรมชาติใดย่อมน้อมไปหาอารมณ์ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า มโน

๓. จิตนั่นแหล่ะได้รวบรวมอารมณ์ไว้ภายใน ดังนั้นจึงชื่อว่า หทัย

๔. ธรรมชาติคือ ฉันทะที่มีในใจนั่นเอง ชื่อว่า มานัส

๕. จิตเป็นธรรมชาติที่ผ่องใส จึงชื่อว่า ปัณฑระ

๖. มนะนั่นเองเป็นอายตนะ คือเป็นเครื่องต่อ จึงชื่อว่า มนายตนะ

๗. มนะอีกนั่นแหละที่เป็นอินทรีย์ คือครองความเป็นใหญ่ จึงชื่อว่า มนินทรีย์

๘. ธรรมชาติใดที่รู้แจ้งอารมณ์ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า วิญญาณ

๙. วิญญาณนั่นแหละเป็นขันธ์ จึงชื่อว่า วิญญาณขันธ์

๑0. มนะนั่นเองเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ที่รู้แจ้งซึ่งอารมณ์ จึงชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุ





เพลงจันทร์



























Create Date : 16 มีนาคม 2549
Last Update : 16 มีนาคม 2549 22:13:01 น. 89 comments
Counter : 1320 Pageviews.

 
ขออนุโมทนาค่ะทุกท่าน

ความสงบนั้นไม่สามารถหาจากภายนอกได้ การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนานั้นเพื่อความสงบของ"ใจ" หรือ "จิต"

ภายนอกเคลื่อนไหว
ภายในนั้นนิ่งอยู่
ตื่นและรู้ อยู่ในฌาน
เบิกบาน อยู่ในธรรม


ฝันดีค่ะ

ช่วงนี้อาจจะไปเยี่ยมช้าหน่อยนะคะ กิจชีวิตมากมายประเดประดัง..ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ..


โดย: ป่ามืด วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:2:39:53 น.  

 
ได้ความรู้เยอะเลยคะ



โดย: jaa_aey วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:5:54:16 น.  

 
ธรรมะสวัสดียามเช้าครับ

ตอนนี้ผมอยุ่ในภาวะจิตป่วนครับ
ปั่น paper หูดับตับไหม้เลย
วันเสาร์นี้ต้องเดินทางไปร่วม แonference แล้ว paper ยังไม่สมบูรณ์เล้ยยยย


โดย: กุมภีน วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:5:56:33 น.  

 


โดย: Zantha วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:6:31:05 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณป่ามืด

จิตใจดี กรรมดี ก็มีมาเอง

ไม่ช้าก็เร็ว

ป.ล.เขียนแบบนี้ป่าวน๊อ

โอเล่ไม่ค่อยรู้เรื่องแบบนี้นะ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:7:04:05 น.  

 
ภายนอกเคลื่อนไหว
ภายในนั้นนิ่งอยู่
ตื่นและรู้ อยู่ในฌาน
เบิกบาน อยู่ในธรรม
ชอบมากค่ะ

"สงบสยบความเคลื่อนไหว"


โดย: เฉลียงหน้าบ้าน IP: 203.156.76.131 วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:7:37:10 น.  

 
วันนี้บลอกสบายตาดีจัง เหมือนจิตที่ประภัสสร อิอิ


โดย: me2you วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:7:58:02 น.  

 
รู้แจ้ง


อรุณสวัสด์ วันพฤหัส สวัสดีครับพี่ป่ามืด

ไปเยี่ยมช้าไม่เป็นไร (ขอให้ไปเถอะ)
กำลังใจยังมีให้เหมือนเดิม

พี่ป่ามืดสู้ๆ


โดย: แพ ใบไผ่ วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:8:02:35 น.  

 


โดย: rebel วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:8:05:17 น.  

 
ขออนุโมทนาบุญค่ะ อ่านแล้วจิตใจชุ่มเย็นขึ้นมาบ้าง หลังจากที่รุ่มร้อนมาทั้งคืน
ขอบคุณมากค่ะ


โดย: รักบังใบ วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:8:16:08 น.  

 
อนุโมทนาครับคุณป่ามืด

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านให้โอวาทว่า

จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิต เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ



โดย: สะเทื้อน วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:8:21:54 น.  

 
สวัสดียามเช้าค่ะ


โดย: prncess วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:8:27:53 น.  

 
Image Hosted by ImageShack.us


โดย: erol วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:8:36:36 น.  

 
ชอบเพลงครับเพราะดี


โดย: ชายคา วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:9:47:23 น.  

 
เอาจิตที่คิดถึงมาส่งค่ะ


โดย: อย่ามาทำหน้าเขียวใส่นะยะ วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:10:10:07 น.  

 
ธรรมะสวัสดีค่ะคุณป่ามืด

คนเราถ้ารู้จักควบคุมจิต และรู้จิตตนเองได้ตลอดเวลาก็คงดีนะคะ


โดย: หยดน้ำ ;) วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:11:17:45 น.  

 


โดย: ตี๋สีชมพู วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:11:19:33 น.  

 
สวัสดีวันพฤหัสค่ะ



ภายนอกเคลื่อนไหว
ภายในนั้นนิ่งอยู่


โดย: Black Tulip วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:11:25:21 น.  

 
เพลงพริ้ว ฟังแล้วเยือกเย็นส่งเสริมจิตให้อยู่นิ่งจริงๆ นะค่ะ แต่ตอนนี้มันนิ่งเกือบดับแล้ว สงสัยว่าเริ่มง่วงอีกรอบแน่ๆ เลย


โดย: JewNid วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:11:56:20 น.  

 
ภายนอกเคลื่อนไหว
ภายในนั้นนิ่งอยู่
ตื่นและรู้ อยู่ในฌาน
เบิกบาน อยู่ในธรรม

อ่านแล้วซึ้งในจิตจังค่ะ

สบายดีหรือเปล่าคะ


โดย: บุษบามินตรา วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:11:59:12 น.  

 

มาบอกพี่มดว่า บี๋จะหายไปสักพักนะคะ
คิดถึงค่ะ


โดย: บี๋ IP: 58.10.28.223 วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:13:28:19 น.  

 
....สวัสดีค่ะ วันนี้เจนนี่มีเวลาแวะมาอ่านบล็อคของตัวเอง และเข้ามาอ่านบอกของพี่ๆเพื่อนๆ และน้องๆ เลยแวะเข้ามาทักทายค่ะ เจนนี่ขอบคุณมากน่ะคะ สำหรับกำลังใจที่ฝากไว้ให้เจนนี่ที่บล็อค....

....วันนี้ได้อ่านคอมเม้นท์ที่บล็อคเจนนี่แล้ว รู้สึกแย่มากๆเลย เจนนี่ไม่คิดว่าจะมีคนอย่างนั้นหลงเหลืออยู่ในเมืองไทยอีก แย่ที่สุดเลยเท่าที่รู้จักคนมา....

....แล้วคุณล่ะคะคิดอย่างไร? แต่ก็ช่างเถอะค่ะ.... คุณคงสบายดีน่ะคะ เจนนี่ไม่ได้เข้ามาทักทายซะนาน ขอบคุณอีกครั้งน่ะคะ สำหรับมิตรภาพที่ดี ที่มอบให้กับเจนนี่เสมอมา....แล้วเจนนี่จะแวะมาอ่านบล็อคของคุณใหม่น่ะคะ....

..........ขอให้เป็นวันดี ดี ของคุณค่ะ.............


โดย: jenny (สาวอิตาลี ) วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:15:06:20 น.  

 
ชีวิตดำเนินไปตามกฏแห่งกรรม ทำเหตุอย่างไรไว้ย่อมได้อย่างนั้น"จุดไฟย่อมได้ไฟ" ไม่มีใครหนีผลแห่งการกระทำของตัวเองพ้นช้าหรือเร็วเท่านั้น กรรมที่กระทำไปแล้วนั้นแก้ไขไม่ได้ แต่กรรมที่ยังไม่ได้กระทำเราเลือกได้ว่าจะทำ "ดีขึ้น หรือ เหมือนเดิม" การรำลึกถึงอดีตและโทษตัวเองไม่เกิดประโยชน์แต่ทำให้คุณเสียเวลาที่จะทำความดีเพื่อผลที่ดีที่จะมาถึงในวันใหม่ ทุกข์เพราะความคิด หยุดคิดก็ออกจากทุกข์นั้นได้ ออกจากทุกข์มาอยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด รอยยิ้มของคุณทำให้บ้านอบอุ่นคนในบ้านสบายใจ เห็นไหม ได้ผลทันทีทันใด อดีตที่แสนเศร้าจะเป็นเงาของความสุข และหรือคุณจะให้ความสุขเป็นเงาของความเศร้าก็ได้ เพียงพลิกใจ เป็นกำลังให้คุณค่ะเจนนี่


โดย: ป่ามืด วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:16:03:41 น.  

 
สาธุค่ะ

จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้

พี่ป่ามืดสบายดีนะค่ะ เป่าจินมาชวนไปอ่านบทความดีดีค่ะ


โดย: เป่าจิน วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:16:07:52 น.  

 
จิต และ ใจ เป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ยากแท้ หยั่งถึง

ช่วงนี้จิตเบิกบาน ไปอบรมไม่ต้องทำงาน กลับบ้านเร็ว (ถ้าไม่ไถล)


โดย: ZAZaSassY วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:18:28:55 น.  

 
เมื่อกลางวันเข้ามาแต่ไม่ได้อ่านอ่ะจ๊ะ...ทักเฉยๆ

ตอนนี้มาอ่านแระ...




โดย: ตี๋สีชมพู วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:20:50:47 น.  

 


รับนมร้อนๆสักถ้วยดีไหมค่ะ



โดย: หนุอุ๋ม (tenno_jung ) วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:20:57:33 น.  

 
อนุโมทนาบุญค่ะ คุณป่ามืด

ทิ้งบล็อกตัวเองไว้นาน พอ ๆ กับไม่ได้เยือนบล็อกเพื่อน ๆ เพราะติดภารกิจสำคัญ วันนี้กลับมาแล้วค่ะ เลยแวะมาอ่าน

แก้ไขนิดหนึ่งนะคะคุณป่ามืด

จิตฺเตตีติ ต้องเป็น จินฺเตตีติ ค่ะ มาจาก จินฺเตติ+อิติ แปลว่า ย่อมคิด หรือ คิดอยู่ หรือ จะคิด ก็ได้


โดย: ปาลินารี วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:21:37:01 น.  

 
อนุโมทนาบุญค่ะคุณป่ามืด

จิตเป็นตัวกำหนดการกระทำของเรา
ถ้าจิตคิดดี ก็จะกระทำดี
ตอนนี้เรามาร่วมส่งพลังจิตให้บ้านเมืองเราสุขสงบนะคะ


โดย: ซออู้ วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:21:38:21 น.  

 
หวัดดีค่ะ..ไม่ได้เข้ามานานเลย..

ช่วงนี้ค่อนข้างจิตป่วนค่ะ...
อยากสงบ..จังค่ะ..แต่ทำไม่ได้...ขอฝากของสวยมาให้ค่ะ


โดย: catt.&.cattleya.. IP: 58.8.76.21 วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:21:39:04 น.  

 
คุณนิด พริ้วแล้วง่วงได้หลับสบายค่ะ ตอนยุ่งๆใจก็เคยเปิดฟังแล้วหลับดีค่ะ

สาธุขออนุโมทนาคุณปาลินารีแก้แล้วค่ะ คุณปาลินารีไม่อยู่ก็ขาดความมั่นใจไปเยอะเชียวค่ะ บาลีนี่ไม่สามารถเลยค่ะ

คุณcatt.&.cattleya..สาธุ ขออนุโมทนา

ขอบคุณดอกไม้สวยสดชื่น ขอให้คุณวางความไม่สงบพักเป็นเวลาๆนะคะ คิดถึงอยู่ค่ะ เมื่อไรจะเปิดบล๊อคคะ

น้องหนูอุ๋ม ขอบคุณค่ะ เด๋วแวะไปเล่นด้วยนะคะ

คุณซออู้ร่วมส่งพลังจิตให้บ้านเมืองเราสุขสงบ

คุณตี๋ งานหายยุ่งยังคะ


โดย: ป่ามืด วันที่: 16 มีนาคม 2549 เวลา:22:30:14 น.  

 

พี่ป่ามืดจ๋า จอมแก่น อยากนอนหนุนตักพี่ป่ามืดจังเลย..

วันนี้เหงาจังเลยอะ..อยากได้ความอบอุ่นจังเลย


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:0:37:33 น.  

 
เพลงเพราะจังเลย ... ฟังแล้วจิตล่องลอย ...


โดย: ตะกร้าหวายสีขาว วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:2:43:13 น.  

 
นอนดึกจังนิ


โดย: me2you วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:6:09:24 น.  

 
อนุโมทนาบุญด้วยครับผม ... สาธุ


โดย: 90210 วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:6:23:30 น.  

 
เมื่อคืนเน็ตเจ๊งค่ะ


โดย: rebel วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:6:24:12 น.  

 
คิดถึ๊ง คิดถึง


โดย: rebel วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:6:24:46 น.  

 
จิต ซับซ้อนมากกว่าที่คิด


โดย: แมวโต๋เต๋ วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:6:48:05 น.  

 
ถ้าศิลข้อกาเมละเอียดแบบนี้รับรองต้นงิ้วน่ะ ทำไงดีถ้าไม่อยากปีนมีวิธีแก้ป่าว.... นี่ก็เร่งทำดีอยู่นะอยากตายแล้วเกิดใหม่เลย ขอใช้กรรมบนโลกมนุษย์ดีกว่าไม่อยากไปนรก มันน่ากลัวอ่ะ

จิตนี้ไม่ค่อยจะหยุดนิ่งแวะไปหาคุณเอ็มบ่อย ๆ เลยอยากจะอยู่ในฌาณจะได้ไม่ต้องคิด ยุบหนอ พองหนอ...


โดย: maxpal วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:7:55:26 น.  

 
อรุณสวัสดิ์เวลาประเทศไทยค่ะ


โดย: เหลียงฯค่ะ (เฉลียงหน้าบ้าน ) วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:8:51:58 น.  

 
ช่วงนี้ก็ยุ่ง ๆ นะคะ เลยไม่ได้แวะมาทักทายเหมือนกันเลยคะ วันนี้ตอนบ่ายก็ออกไปทำธุระทั้งวันเลยคะ คิสถึงเหมือนกันคะ ไว้ว่าง ๆ จะแวะมาหาอีกนะคะ อิอิ

ไนท์ ไนท์คะ


โดย: Angel Tanya IP: 71.104.114.88 วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:11:20:43 น.  

 
แว๊บๆไปเยี่ยมนะคะ ขออนุโมทนาทุกท่าน


โดย: ป่ามืด วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:15:59:42 น.  

 


โดย: โสมรัศมี วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:16:44:12 น.  

 





คิดถึงตักนุ่มๆๆของพี่ป่ามืดจังเลยอะจ้า ..
คืนนี้ขอนอนหนุนตักอีกได้ไหมจ้า พี่ป่ามืด คนใจดีที่หนึ่งเลย


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:16:57:47 น.  

 



จ๊ะเอ๋ๆๆ
หนี่ฯมาแล้วววว คะพี่ป่ามืดๆๆ

แอบบบ กระซิบๆๆ
_have a nice day ka!_


วงเล๊บเปิดพี่ป่ามืดเหนื่อยมั๊ยคะ
หนี่ฯแอบบบเหนื่อยแบบบอู้ๆๆงานคะ




โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:17:05:09 น.  

 
สบายดีค่ะ อ้วนพลีขึ้นทุกวัน ยิ่งออกนอกสถานที่มีของกินทั้งที่เขาเตรียมให้แล้วก็เตรียมไปกินเอง รู้สึกหนังท้องไม่เคยหย่อน..แต่ย้วย

ถึงบ้านแล้ว กินอิ่มอีกแล้วค่ะ

miss miss


โดย: ZAZaSassY วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:17:21:10 น.  

 
สบายดีค่ะ คุณมด

งานหายยุ่งรึยังคะ




โดย: Black Tulip วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:17:22:40 น.  

 
คุณรักบังใบสวัสดีค่ะ รักพระจันทร์เหมือนคุณ แบ่งไอติมด้วยนะคะถ้าวันเพ็ญหน้า ..จันทร์เพ็ญที่ผ่านมาก็ไปเดินอาบแสงจันทร์ยามวิกาลใกล้ๆบ้านค่ะ ..

แสงจันทร์นวลสายลมเย็น
วิเวกสงัดกายสัมผัสแสง
เย็นแทรกสู่ใจสงบเย็น
เห็นผัสสะซื่อไม่ปรุงแต่ง
ประจุพลังเย็นแสงอิ่ม เย็นกายใจสดชื่น ..แล้วก็ยิ้มก่อนนอนค่ะ ..ฮาๆๆๆ..ไปเรื่อยเปื่อยอีกแล้ววว..ฮุฮุ..(ไม่ครบบาท..

อ่านะ แก้ตัวด้วยชมจันทร์รอเพ็ญ..

..เสี้ยวจันทร์นั้นงามทุกวัน
ผันแปรไปอย่างมีความหมาย
แย้มยิ้มเสี้ยวน้อยพริ้มพราย
ผันฉายบรรจบกว้างสว่างเพ็ญ..

อนุโมทนาบุญค่ะ


โดย: ป่ามืด วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:18:17:16 น.  

 
โอ้..แม่จอมใจจอมแก่น รูปนี้ช่างเหมาะเจาะเป็นเรื่องของเราเลยนิ ฮาๆๆ..หามาได้ไงนี่ยอดๆๆ..

น้อง ZAZaSassY ฮิฮิ..ไม่เคยหย่อนแต่ย้วย ไม่เลียนแบบได้ป่ะคะ แต่ปกติก็ยืดได้มากอยู่ค่ะ เหอๆๆ..เรื่องกินเรื่องใหญ่ต้องเลี้ยงกายไว้ทำกิจ..อ่าๆๆ น้ำลายมาจากไหน..

สวัสดีจ้า แม่หวานใจหนี่ฯ ชอบเปิดวงเล็บทิ้งไว้..แว๊บไปเยี่ยมน๊า..หาข้าวเย็นให้บริวารก่อนค่ะ

คุณจุ๊บ ขอบคุณค่ะ แว๊บได้เป็นระยะๆค่ะ..มาเล่นเติมพลังตะกี้ก็ไปชมจันทร์กะคุณรักบังใบค่ะ


โดย: ป่ามืด วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:18:29:06 น.  

 
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะคุณโสม ชอบบล๊อควันนี้ของคุณโสมมากค่ะ

ทนต่อไป ฮิตาชิชะ ฮัดช่า !



โดย: ป่ามืด วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:18:50:13 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณmaxpal อืม..ลองใช้วิชาสลับร่างเสกคุณเอ็มให้เป็นอะไรดีล่ะ ..ลองไปหลายๆแบบก็แล้วกันนะ อิอิ..ไม่อยากตกนรกก็หยุดคุณยังมีโอกาส เป็นกำลังใจเสมอๆเหมือนเดิมน๊า..


โดย: ป่ามืด วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:18:54:43 น.  

 
สายัณต์สวัสดิ์ครับพี่ป่ามืด...

ขอบคุณที่อวยพรวันเกิดผมครับ

อืม...พี่อวยพรซะครอบจักรวาลขนาดนั้น คนอื่นจะไม่อิจฉาผมเหรอครับ?

เอางี้ดีกว่า...ผมจะลองรักตัวเองดูก่อน รักตัวเองแบบไม่มีข้อแม้ได้เมื่อไหร่ จึงจะเปิดให้คนอื่นรัก

ถ้าจะรักผม โปรดรอซักครู่...


โดย: แพ ใบไผ่ วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:19:04:37 น.  

 
ฮิฮิ..รอครับรอ น้องแพ

ขยักไว้หน่อยนึงก็แล้วกัน ทำไมเพิ่งมาบอกล่ะ


โดย: ป่ามืด วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:19:21:46 น.  

 
ปู้โธ่ พี่ป่ามืด... ก็ผมเพิ่งรู้สัจธรรมนี่ครับว่า

"รักตัวเองได้ไหน ก็รักคนอื่นได้ไม่มากไปกว่านั้น"

ถ้าบอกช้าไป ก็ขออภัยเป็นอย่างสูง


โดย: แพ ใบไผ่ วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:19:28:40 น.  

 
เมื่อจิตเป็นบุญ จิตเป็นกุศลแล้วเราก็ไม่ต้องนั่งรถไปแสวงหาบุญที่ไหนใช่ไหม นั่งอยู่ที่บ้านเราก็จับบุญเอา จับเอา ก็เรารู้จักแล้ว

สาธุ ขออนุโมทนาค่ะน้องเป่าจิน เจริญยิ่งๆนะคะ เดี๋ยวพี่ไปอ่านตอนที่หนึ่งต่อค่ะ


โดย: ป่ามืด วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:19:30:37 น.  

 
เหอๆ พี่ป่ามืด ถ้าจะแช็ทกัน
ผมออนไลน์เอ็มเอสเอ็นอยู่ครับ

add ผมด่วน... พรุ่งนี้ผมจะไม่อยู่แล้วนะ



โดย: แพ ใบไผ่ วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:19:48:41 น.  

 
ตู๋พยายามทำจิตให้สงบแต่ลิง((ตัวก่อกวน))ในใจมันมากมายเลยค่ะ คิดโน่นคิดนี่..ฟุ้งซ่านไปเลย..พยายามๆๆค่ะ เตือนมั่งก้อดีนะคะ...อยากสงบ...


โดย: FaRaWaYGiRL วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:20:23:31 น.  

 
อนุโมทนาบุญค่ะ  

เข้ามารับความรู้เกี่ยวกับเรื่องจิตค่ะ
ขอบคุณคุณมดสำหรับข้อมูลนะคะ

ปล. บล็อกงาม และเพลงไพเราะมากค่ะ  


โดย: ป้าติ๋ว (nature-delight ) วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:20:46:11 น.  

 
คุณป่ามืดเขียนเม้นท์ที่บล็อกได้สะเทือนซางจี๊สสสเลยค่ะ แต่ที่อ่อยๆนี่เพราะคนที่นี่นะคะ ไม่ใช่เพราะคนที่นู่น นั่งมองดูเค้าแล้วน้ำตาจะไหล แงๆๆๆ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ ปลาร้าน้อยจะเก็บไว้เป็นกำลังใจบ่มปลาร้าต่อไปค่ะ ฮี่ๆๆ ขอบคุณนะคร้า


โดย: เฉลียงหน้าบ้าน (เฉลียงหน้าบ้าน ) วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:21:38:47 น.  

 
จอมยุทธเหลียงปลาร้าน้อยสวัสดียามค่ำคืน อืม..มีน้ำตาก็ใช้ระบายความในใจมีประโยชน์ก็ตอนนี้แหละนะได้ใช้เยอะหน่อยทุกส่วนของร่างกายมีประโยชน์นะ ..<นี่คือการให้กำลังใจนะฮุฮุ> ร้องให้แล้วสบายขึ้นน่ะ ..พี่ป่ามืดปล่อยให้มันไหลๆเรื่อยค่ะ ชีวิตก็เป็นทุกข์เช่นนี้แหละ ทำกิจของเราให้ดีหน้าที่ของลูกบางคนไม่มีโอกาสนะ..ฝันดีน๊า


โดย: ป่ามืด วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:23:11:36 น.  

 
น้องมดจ๋า งานยุ่งรุ่งริ่ง ก็ต้องหาเวลาพักผ่อนให้พอด้วยน๊าจ๊า
น้องสาวที่รักและคิดถึงรักษาสุขภาพมากๆนะจ๊ะ นะจ๊ะ
หลับฝันดีๆๆๆๆ
ธรรมราตรีสวัสดิ์จ้า น้องมด


โดย: ยอดสน วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:23:17:26 น.  

 
ความสงบนั้นไม่สามารถหาจากภายนอกได้ การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนานั้นเพื่อความสงบของ"ใจ" หรือ "จิต"
ขอบคุณนะคะที่ช่วยเตือนสติ จิตที่ไม่สงบว้าวุ่น อยู่กับปัญหาต่าง ๆที่ประดังประเดกันเข้ามาจนร้อนรุ่มไปหมดค่ะ


โดย: Petit Patty วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:23:21:42 น.  

 
สาธุค่ะพี่ยอดสน

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=destiny&group=11

บทความซึ้งและประทับใจมากค่ะ ความจริงเป็นอย่างนั้นจริงๆค่ะ ขณะที่มีความโกรธเราไม่มีความยุติธรรมให้ใคร บางทีเราก็ไม่ถูกต้องสักเท่าไรแต่ขณะโกรธก็จะเอาชนะ แสดงความไม่พอใจไม่มีสันติ ขาดสติพูดก็ไม่รู้เรื่องค่ะ มดก็ใช้วิธีถอยออกไปจากสถานการณ์ รีบเดินหนีไปก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่ ความโกรธนั้นบางทีด้วยเหตุนิดเดียวเองแต่เราเอาความกดดันอื่นๆมาระเบิดออกไปด้วยกัน บางทีเราเหนื่อยกับปัญหาอื่นๆ มาเจอเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจนิดหน่อยก็โมโหได้ใหญ่โตเกินเหตุ ต้องเข้าใจกันเมตตาต่อกันไม่งั้นอาจจะเก็บความโกรธไว้ไม่จบไม่สิ้น ถ้าเข้าใจซึ่งกันและกันก็ประคับประคองกันไปได้ อาการคุมสติไม่ได้มีได้ทุกคนค่ะ ..และก็เจ้าหมาน้อยเขาไม่ยั่วยุให้ความโกรธของเรากระพือไม่ต่อความก็จบ ..เวลาเราทะเลาะกับใครถ้ายังต่อความไม่สิ้นสุดความโกรธก็ยิ่งโหมขึ้นมา ไม่ได้อยากโกรธแต่แหม๋ ยั่วจัง

ฝันดีค่ะ ธรรมราตรีสวัสดิ์


โดย: ป่ามืด วันที่: 17 มีนาคม 2549 เวลา:23:58:20 น.  

 
มาอ่านธรรมก่อนไปนอนค่ะ

คืนนี้หลับสบายนะค่ะ



โดย: ปลากัด (LonelySeason ) วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:0:18:32 น.  

 
พี่ไปพักก่อนนะจ๊า
น้องมดอย่านอนดึกมากนะจ๊ะ
นะจ๊ะ


โดย: ยอดสน วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:0:41:12 น.  

 
เม้นท์พี่ป่ามืดก็กระเทาะใจเหมือนกันนะค่ะ แบบว่าชอบง่ะที่บอกว่าเรื่องมากกับตัวเองก็โอเค ไม่แบ่งปันใคร ไม่เอาของใครมาด้วย แบบไม่เอี่ยวกัน ฟังแล้วอ่ะแม่นเลย ทำได้อย่างนี้แล้วเน๊อะไม่รำคาญทั้งตัวเองและคนอื่นด้วยค่ะ ..

ฝันดีนะค่ะพี่ป่ามืด


โดย: JewNid วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:0:54:37 น.  

 
คุณ FaRaWaYGiRL อนุโมทนาบุญค่ะ พักๆความคิดวันละนิด เริ่มคิดก็เริ่มทุกข์ค่ะ คิดให้ทุกข์ก็มีคิดที่ทำให้สุขได้เช่นกัน คิดถึงบุญที่เคยกระทำก็อิ่มใจค่ะ ฝันดีนะคะ


โดย: ป่ามืด วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:0:55:13 น.  

 
น้องปลากัด พรุ่งนี้พี่ไปเล่นด้วยน๊า ฝันดีค่ะทุกท่าน


โดย: ป่ามืด วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:0:59:40 น.  

 
มารายงานตัวค่ะ
โทรศัพท์แบตจะหมดค่ะ ดับไปเองเลย

วันนี้คนล้นหลาม
ร้องเพลงความฝันอันสูงสุดไป 2 รอบค่ะ



โดย: rebel วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:1:08:08 น.  

 
^
^
ใช่ๆ ค่ะพี่มด....ร้องเพลงอันสูงสุดไปสองรอบเลย...

เพิ่งกลับค่ะ...รีบมานายงานตัว ตามหลังน้องแข...อุอุ...วันนี้คุณนิติภูมิ เนาวรัตน์ พูดและยกตัวอย่างได้ดีค่ะพี่...


อนุโมทนาบุญนะคะพี่มด...

นอนหลับฝันดีฝันเห็นธรรมนะคะ...ทุกอย่างเหมือนเดิม..ยิ้มหวานๆ ค่ะ....


โดย: pataree วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:1:56:10 น.  

 
ธรรมสวัสดีค่ะ ขอให้มีความสุขในวันเสาร์-อาทิตย์นี้นะคะ


โดย: รักบังใบ วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:8:25:05 น.  

 
กลับมาอ่านเม้นท์
เอ๊ ทำไมบล็อกนี้มีแต่ผู้หญิง
(รู้สึกแปลกๆ เหมือนเข้าห้องน้ำผิด)



โดย: แพ ใบไผ่ วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:9:54:46 น.  

 
สวัสดีวันเสาร์ค่ะพี่ป่ามืด

อิ่มแปล้เลยตอนนี้


โดย: ZAZaSassY วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:10:07:16 น.  

 
สวัสดีเช้าวันเสาร์ครับคุณป่ามืด

เมื่อวันก่อนที่คุณป่ามืดเขียนขยายความเรื่องศีลข้อ 3 กาเมฯ อ่ะนะ ดีมากๆ เลย

ก็เลยอยากจะบอกว่า ... ช่วยเขียนขยายความศีลข้อ 4 มุสาวาทฯ ด้วยนะครับ เพราะข้อนี้ผมเชื่อว่าเราละเมิดกันมากที่สุด ทั้งตั้งใจ ไม่ตั้งใจ (แบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือไม่ก็เป็นแบบเข้าข้างตัวเองอ่ะ)

รออยู่ และขออนุโมทนาครับ



โดย: สะเทื้อน วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:10:21:10 น.  

 
แวะมาสวัสดีคุณป่ามืดในวันเสาร์ค่ะ

อิอิ...สารภาพค่ะ ว่าบางทีการควบคุมอารมณ์และจิตใจตัวเองให้นิ่งๆเนี่ย มันทำยากเหมือนกันนะคะ


โดย: หยดน้ำ ;) วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:10:54:52 น.  

 
คุณป่ามืดคะ...
ตามหนูหยดน้ำมาติดๆ ตอนนี้ งานเยอะ เด็กที่บริษัททำงานพลาดบ่อยๆ จิตแตกไม่รู้กี่รอบ
บอกตัวเองให้ใจเย็นๆว่าคนเราความสามารถไม่เท่ากัน ก็เย็นไม่ไหว แต่ละวัน อิฉันคาร์บอมบ์ออฟฟิซแหลกเป็นจุล เหมือนฉายหนังวนเลยค่ะ
ปล.ตามอ่าน ตามเก็บ ตามปรินต์ข้อเขียนของคุณจนครบแล้วค่ะ เอาไว้อ่านระหว่างนั่งรถมาทำงาน


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:11:03:13 น.  

 
... จิตคือนาย และ กายคือบ่าว ... ครับ


โดย: Cymry วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:11:22:43 น.  

 
สาธุ๊

ช่วงก่อนให้จิตหดหู่มาเป็นนาย กายจึงอ่อนล้า

วันนี้ให้จิตเข้มแข็งดั่งเดิม ส่งผลให้กาย น้ำหนักขึ้น 1 กิโล 555

แม่หนิงอ้วนขึ้น 1 กิโล ดีใจจังคะคุณมด


โดย: run to me วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:11:25:58 น.  

 
แวะมาเบิกบานในธรรมค่ะ
เด็กๆไม่รุมหม่ามี๊ค่ะวันนี้ดีหน่อย


โดย: เพลงเสือโคร่ง วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:13:14:59 น.  

 

*


พี่ป่ามืดๆๆๆๆจ๋าๆๆๆๆ
หนี่ฯมาแล้วววววววววว


แอบบบบ เห๊นๆๆหนี่ฯมั๊ยๆๆคะ

หม่ำแล้วด้วยนะ ตาก๊จะหลับๆๆๆ
แต่แอบบบมาทักทายพี่ป่ามืดดด ก่ คะ


แอบบบบ รัก อีกแล้ววววคะ




โดย: หนี่หนีหนี้ แอบบบ ประจบบบบ (แพรวขวัญ ) วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:16:06:57 น.  

 
Image Hosted by ImageShack.us

เอารูปมาฝากค่ะ


โดย: erol วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:19:21:57 น.  

 
ตามดู รู้ทัน

จะพยายาม


โดย: ลุงเอิญ (ลุงเอิญ ) วันที่: 30 มีนาคม 2549 เวลา:13:12:27 น.  

 
วันนี้ผ่านมาโดยบังเอิญคะเพราะดิฉันค้นหาเพลงจันทร์ก็พอดีมาเจอเว็บนี้ขึ้นมา ก็เผอิญอีกนั่นแหละที่ได้มาอ่านข้อความที่คุณป่ามืดได้โพสต์เอาไว้ ซึ่งขณะที่อ่านดิฉันก็มีความทุกใจอย่างยิ่งยวดทุกนั้นเกิดจากโกรธแค้นชิงชัง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาคิด เพลงจันทร์ทำให้ฉันนิ่งได้บางขณะ แต่พอได้มาอ่านข้อความที่คุณโพสต์ดิฉันก็มองเห็นสัจจะธรรม มันเหมือนเส้นผมบังภูเขา เคยได้ยินไหมคะมีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด มันเกิดกับดิฉัน รู้ว่าอะไรคือทุกข์ รู้ว่าการดับทุกข์ต้องทำอย่างไร แต่เมื่อทุกข์เกิดขึ้นดิฉันก็ปล่อยให้มันแผดเผารุ่มร้อนอยู่ในใจอย่างทรมาน เพราะดิฉันขาดสติ เคยเตือนคนอื่นว่าอย่าขาดสติอย่าให้อารมณ์โกรธเข้ามาครอบงำซึ่งมันจำทำให้มองอะไรไม่เห็นแต่ดิฉันกับมาเป็นทาสของอารมณ์เสีย 2 วันกับ 1 คืนทำงานไม่รู้เรื่องเลย.

แต่ดีใจนะคะที่มีคนทำเว็บแบบนี้ขึ้นมา ข้างล่างนี้เป็นข้อความที่คุณที่ใช้ฉายาป่ามืดโพสต์เอาไว้.

"""""""ชีวิตดำเนินไปตามกฏแห่งกรรม ทำเหตุอย่างไรไว้ย่อมได้อย่างนั้น"จุดไฟย่อมได้ไฟ" ไม่มีใครหนีผลแห่งการกระทำของตัวเองพ้นช้าหรือเร็วเท่านั้น กรรมที่กระทำไปแล้วนั้นแก้ไขไม่ได้ แต่กรรมที่ยังไม่ได้กระทำเราเลือกได้ว่าจะทำ "ดีขึ้น หรือ เหมือนเดิม" การรำลึกถึงอดีตและโทษตัวเองไม่เกิดประโยชน์แต่ทำให้คุณเสียเวลาที่จะทำความดีเพื่อผลที่ดีที่จะมาถึงในวันใหม่ ทุกข์เพราะความคิด หยุดคิดก็ออกจากทุกข์นั้นได้ ออกจากทุกข์มาอยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด รอยยิ้มของคุณทำให้บ้านอบอุ่นคนในบ้านสบายใจ เห็นไหม ได้ผลทันทีทันใด อดีตที่แสนเศร้าจะเป็นเงาของความสุข และหรือคุณจะให้ความสุขเป็นเงาของความเศร้าก็ได้ เพียงพลิกใจ""""""""""""""""""""


โดย: น้ำฝน IP: 71.199.249.59 วันที่: 19 สิงหาคม 2549 เวลา:6:35:48 น.  

 
ขอแนะนำศูนย์วิปัสสนาเคลื่อนที่แห่งประเทศ วัดสุวรรณประสิทธิ์
เป็นหนึ่งสถานที่ปฎิบัติธรรมอันสัปปายะบรรยากาศสงบเงียบ และร่มรื่น ซึ่งเกิดจากการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมให้สะอาดตาสะอาดใจอยู่เสมอของพระภิกษุสงฆ์ และจากการที่พระภิกษุสงฆ์ในวัดแห่งนี้มีศีลจารวัตรที่งดงาม เคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงชวนให้เกิดศรัทธาแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง หากโลกภายนอกทำให้จิตใจวุ่นวายนัก ลองแวะเข้าไปพักผ่อน แม้เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ช่วยให้เกิดความสบายใจได้เป็นอย่างดี
ซึ่งถ้ามองจากภายนอกแล้วเป็นเพียงวัดเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนห่างไกลความเจริญ ยากที่จะเดินทางเข้าถึงถ้าไม่ใช่ประชาชนที่อาศัยอยู่ละแวดนั้น แต่ไม่น่าเชื่อเลยที่เข้าพรรษาปีนี้ วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2550 มีปาฎิหารย์เกิดขึ้น พุทธศาสนิกชนสนใจและปฏิบัติธรรม พร้อมเพียงกันจนเนืองแน่นศาลากว่า 120 คนโดยต่างคนต่างพร้อมใจกันมา รวมถึงข้าพเจ้าด้วย
อยากให้เพื่อน ๆ ที่ต้องการฝึกสมาธิ ลองได้เข้าไปสัมผัสบรรยายกาศภายในวัดที่สงบร่มรื่นย์ ทั้งยังมีหัวหน้าแม่ชีที่บริการคอยบริการข้าวปลาอาหารให้เราด้วยรอยยิ้มและความเต็มใจอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะกี่โมงยามเพื่อให้ ๆ ทุกคนที่มาฝึกปฎิบัติธรรมได้สุขกาย สุขใจกันทั่วหน้า อยากให้เราส่งเสริมชาติ ศาสนาของเราให้เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ
และขอประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมค่ะ ทางวัดยังขาดแคลนในส่วนของปัจจัยสี่อยู่มาก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับอุปกรณ์โรงครัวสำหรับสำนักแม่ชี จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้เพื่อนได้ทำบุญกันค่ะ อย่างไรก็แล้วแต่ถ้าไปไม่ถูก โทรถามทางที่วัดได้เลยค่ะ

วัดสุวรรณประสิทธิ์
โทร : 02 3756492-3
//www.dms.moph.go.th/h5n1/Bangkok_Map/bungkum.pdf


โดย: หนู IP: 125.24.29.164 วันที่: 31 กรกฎาคม 2550 เวลา:22:45:14 น.  

 
เพิ่มเริ่มเขียนบทความเกี่ยวกับ ธรรมะ แต่สงสัยว่าตนเอง ใช้คำว่า จิตวิญญาณ ถูกต้องกับกาลเทศะ หรือ ไม่ หรือ ควรใช้คำว่า จิตใจ แทน ยกตัวอย่างเช่น
"...ขณะที่เราทำงานอยู่ในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แล้วเราสามารถมีส่วนร่วมในการทำงานนั้นๆ ให้ประสบความสำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์ ที่องค์กรนั้นๆ ได้ตั้งไว้ จนก่อเกิดเป็นความภาคภูมิใจ ความอิ่มเอมใจ ความสุขใจทุกครั้งเมื่อนึกถึง แสดงว่า “ชัยชนะในตนเอง” ได้ก่อเกิด ขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ เป็นชัยชนะที่ตนเองสามารถควบคุม “ความโกรธ” “ความโลภ” “ความหลง” ในตัวตน มิให้มีพลังอำนาจบ่อนทำลายสัมพันธภาพที่ดีซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานทั้งเล็ก และใหญ่ให้ประสบความสำเร็จ เป็นชัยชนะที่ไม่ต้องลงทุนด้วย ทรัพย์ภายนอก คือ ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ แต่เป็นชัยชนะที่ลงทุนด้วยทรัพย์ภายใน คือ จิตวิญญาณที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เป็นชัยชนะที่เกิดจากการพัฒนาจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง จนผลิดอกออกผลเป็นจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ที่มีพลัง ที่มีความอดทนต่อกระแสแห่งความปรารถนาร้ายที่รายรอบตัว ที่พร้อมจะถาโถมเข้ามารบกวนจิตวิญญาณของเราอยู่ตลอดเวลา..."
ขอคำตอบจากผู้รู้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ


โดย: ใฝ่ธรรม IP: 113.53.71.71 วันที่: 25 ธันวาคม 2552 เวลา:15:27:10 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณป่ามืด
พบเวปนี้โดยบังเอิญ ค่ะ เพราะต้องการหาคำตอบของการใช้คำว่า "จิตใจ" กับ "จิตวิญญาณ" ในการเขียนงานอิงธรรมะนิดๆ โดยสงสัยว่าตนเอง ใช้คำว่า จิตวิญญาณ ถูกต้องกับกาลเทศะ หรือ ไม่ หรือ ควรใช้คำว่า จิตใจ แทน สำหรับข้อความในงานเขียนทั้งเรื่องมีรายละเอียดดังนี้ และรบกวนคุณป่ามืด หรือ ผู้ที่ได้บังเอิญได้อ่าน กรุณาติชมด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ
อันว่า "เหตุสมควรโกรธ.....ไม่มีในโลก"

“ความโกรธ” มีพลัง มีอำนาจ ในการทำลายทุกอย่าง ทำลายความสุข ทำลายสติสัมปชัญญะ ทำลายสมาธิในการสร้างสรรค์ผลงาน ทำลายความสุขในครอบครัว “ความโกรธ” มีพลังอำนาจในการทำลายความสัมพันธ์ของคนในองค์กร “ความโกรธ” มีพลังอำนาจในการทำลายความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
“สัมพันธภาพ” มีความหมายตามพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน ว่า ความผูกพัน ความเกี่ยวข้อง ดังนั้น คำว่า “สัมพันธภาพที่ดี” จึงหมายถึง ความผูกพันที่ดี ความเกี่ยวข้องที่ดีในความมุ่งหมายที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในทุกอณูของสังคม จำเป็นต้องอาศัย “สัมพันธภาพที่ดี” เพราะ “สัมพันธภาพที่ดี” เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ พอๆ กับศักยภาพของคนในองค์กร อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ พอๆ กับศักยภาพของคนในครอบครัว อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในครอบครัว
ในการอยู่ร่วมกันในองค์กร ในการอยู่ร่วมกันในครอบครัว หากขาด “สัมพันธภาพที่ดี” ก็ยากที่จะทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ ให้ประสบความสำเร็จ เกิดประโยชน์รอบด้าน อย่างยั่งยืน เพราะ “สัมพันธภาพที่ดี” เป็นบ่อเกิดแห่งความร่วมแรงร่วมใจ ในการทำงานร่วมกัน ด้วยความผูกพัน ด้วยความเต็มใจ มิใช่ด้วยหน้าที่ ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในองค์กรอย่างยั่งยืน ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในครอบครัวอย่างยั่งยืน จึงมิได้เกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจาก ความสำนึก หรือ เกิดจากความเสียสละของบุคคลเพียงคนเดียว มิได้เกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจากความสำนึก หรือ เกิดจากความเสียสละของบุคคลเพียงบางส่วน แต่จะต้องเกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจากความสำนึก และเกิดจากความเสียสละของบุคคลทุกคน หรืออย่างน้อยจะต้องเกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจากความสำนึก และเกิดจากความเสียสละของบุคคลส่วนใหญ่
ในการทำงานหากปล่อยให้ “ความโกรธ” เป็นเครื่องมือในการทำลาย “สัมพันธภาพที่ดี” ให้หมดสิ้นลง ก็เปรียบเสมือนเราขาดซึ่ง “แขน” หลายๆ “แขน” ที่จะช่วยผลักดันองค์กรให้สูงขึ้น ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น เร็วขึ้น ก็เปรียบเสมือนเราขาดซึ่ง “ขา” หลายๆ “ขา” ที่จะช่วยกันก้าวข้ามผ่านอุปสรรคนานัปการ และนำพาองค์กรไปข้างหน้า ให้ได้ไกลขึ้น เร็วขึ้น เมื่อใดก็ตาม ที่เราละวาง “ความโกรธ” ได้ “สัมพันธภาพที่ดี” ก็ย่อมที่จะดำรงอยู่ได้ และเมื่อนั้น ความสำเร็จในการทำงานย่อมที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเกินไปนัก
ในขณะที่เราทำงานอย่างตั้งใจแน่วแน่ ที่จะทำให้งานบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ได้วางไว้ เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่า ขณะนั้น เรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางของผู้นำแห่งจิตวิญญาณ เป็นจิตวิญญาณความรู้สึกแห่งความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบ หากเปรียบบรรยากาศเบื้องบน หรือที่สูง เป็นความสุข เป็นการกระทำความดี บรรยากาศเบื้องล่าง หรือที่ต่ำ เป็นความทุกข์ เป็นการกระทำความชั่ว หากเปรียบ “น้ำ” เป็นตัวแทนความดีและความชั่ว โดยกำหนดให้ “น้ำ” ซึ่งเป็นตัวแทนของความดีจะต้องลอยขึ้นสู่เบื้องบน หรือที่สูง และกำหนดให้ “น้ำ” ซึ่งเป็นตัวแทนของความชั่วจะต้องตกลงสู่เบื้องล่าง หรือที่ต่ำ เป็นการเปรียบเทียบประมาณว่า ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วลงนรก นั่นเอง
ผู้นำทางจิตวิญญาณ จะต้องพยายามกำหนดจิตวิญญาณของตนให้ปล่อยวางเบาสบายเปรียบประดุจ “น้ำที่กลายเป็นไอ” ที่พร้อมจะลอยขึ้นสู่เบื้องบน เป็นจิตวิญญาณที่พร้อมจะ ละซึ่งความโกรธ ละซึ่งความโลภ ละซึ่งความหลง ได้เสมอ ผู้นำทางจิตวิญญาณ จะต้องไม่ปล่อยให้จิตวิญญาณของตน เปรียบประดุจ “น้ำที่กลายเป็นฝน” ที่พร้อมจะตกลงสู่เบื้องล่าง เป็นจิตวิญญาณที่พร้อมซึ่งจะโกรธ พร้อมซึ่งจะโลภ และพร้อมซึ่งจะหลง ได้เสมอ
หากเปรียบกระแสน้ำเป็นกระแสแห่งความปรารถนาร้าย ที่บุคคลรอบข้างส่งผ่านเข้ามากระทบความรู้สึกของเรา ทำให้เราเกิดความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ แล้ว
เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณ จะต้องทำตัวเป็น “ปลาซึ่งยังมีชีวิต” ที่พยายามแหวกว่ายทวนกระแสแห่งความปรารถนาร้าย เพื่อต่อสู้ สกัดกั้น ความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ เหล่านั้น มิให้มากระทบความรู้สึก หรือ ฝังแน่นในจิตวิญญาณของเราให้นานเกินไปให้จงได้ เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณจะต้องพยายาม แหวกว่ายทวนกระแสแห่งความปรารถนาร้าย เพื่อมิให้กระแสนั้น มีพลังอำนาจในการนำพาเราไปสู่ปลายทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามต่อการพัฒนาจิตวิญญาณของตนเองให้เป็นผู้ปล่อยวางได้
เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณ จะต้องไม่ทำตัวเป็น “ปลาซึ่งตายแล้ว” ที่พร้อมจะลอยไปตามกระแสแห่งความปรารถนาร้ายลงสู่ที่ต่ำ โดยที่เราไม่สามารถขัดขืน ไม่สามารถสกัดกั้นความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ ที่จะมากระทบความรู้สึก หรือฝังแน่นในจิตวิญญาณของเราได้ เพราะถ้าหากเราปล่อยตนเองให้เป็นดั่งเช่น “ปลาซึ่งตายแล้ว” เราจะไม่ผิดอะไรกับผู้ที่นั่งอยู่บนกองไฟที่เผาผลาญใจของเราทุกวินาที และต้องจมอยู่กับกองทุกข์นั้นร่ำไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หากเรามุ่งมั่นยืนหยัดที่จะเป็น “ปลาซึ่งยังมีชีวิต” เราจะรู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการดิ้นรน รู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการพยายามฝึกฝนตนเองให้สามารถอดทนต่อสิ่งเลวร้ายจากภายนอก ที่จะมากระทบความรู้สึกของเราในทุกๆ เรื่องได้
แต่หากเราทำตัวเป็น “ปลาซึ่งตายแล้ว” เราจะไม่มีวันได้รู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการดิ้นรน เราจะไม่มีวันได้รู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการพยายามฝึกฝนตนเองให้สามารถอดทนต่อสิ่งเลวร้ายจากภายนอก ที่จะมากระทบความรู้สึกของเราได้ และเมื่อนั้น โทสะ โลภะ โมหะ ศัตรูอันร้ายกาจต่อการพัฒนาจิตวิญญาณ จะวนเวียนเข้ามาเกาะกุมจิตวิญญาณของเรา จนบางครั้งไม่สามารถที่จะสลัดให้หลุดออกไปได้
คนรักการทำงานส่วนใหญ่ มักเชื่อมั่นว่า ตนเองเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการทำงานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร แต่คนรักการทำงานบางส่วนมักลืมไปว่า ตนเองไม่ใช่ผู้วิเศษที่สามารถจะทำงานทุกงาน หรือ บันดาลความสำเร็จให้งานทุกงาน อย่างยั่งยืนได้ ด้วยคนเพียงคนเดียว เพราะในการทำงานบางครั้ง ตนเองอาจไม่มีศักยภาพ ไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีความชำนาญในเรื่องนั้นๆ อย่างเพียงพอ หรือบางครั้ง อาจมีความจำเป็นบางประการที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายด้วยตนเอง จำต้องอาศัยผู้อื่นเพื่อเติมเต็มภารกิจให้ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย
แต่หากภารกิจที่ฝากความหวังไว้ ตกอยู่ในมือของผู้ที่ขาดความรับผิดชอบ ขาดความเอาใจใส่ในงาน แบบไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ย่อมมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ในงานไม่บรรลุความหวังที่ตั้งไว้ แต่เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณ จะต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการรับมือ จะต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการปล่อยวาง กับความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ และความทุกข์ใจ อย่างชาญฉลาด เพื่อสกัดกั้น “ความโกรธ” ให้จงได้ จากนั้นจึงนำสิ่ง ที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน นำสิ่งที่เกิดขึ้นมาทบทวน เพื่อแสวงหาหนทางใหม่ๆ ในการป้องกัน และหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หากมีปัญหาเกิดขึ้นจากการทำงานในองค์กร อย่ามัวเสียเวลากับการคิดว่า ใครถูก ใครผิด ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น ทำไมเขาถึงไม่ทำอย่างนี้ เพราะหากเขามี “จิตสำนึกสาธารณะ” ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ปัญหาเดิมๆ ย่อมจะไม่เกิดขึ้น ที่สำคัญหากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหา ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ป่วยการที่จะไปคาดหวังกับสิ่งนั้นให้มากเกินไป เพราะการคาดหวังกับคนอื่นมากๆ คนที่ทุกข์ คือ เรา มิใช่ใคร
“จิตสำนึกสาธารณะ” ของแต่ละคนต่างกัน บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนไม่มี บางคนมีบ้างไม่มีบ้าง เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามที่จะไม่คาดหวังกับคนอื่นจนเกินความพอดี เกินกำลังความสามารถเฉพาะตัวของคนอื่น เกินความสำนึกรับผิดชอบเฉพาะตัวของคนอื่น และไม่ควรนำตนเองไปเป็นบรรทัดฐานในการวัดความรู้เฉพาะตัวของคนอื่น วัดความสามารถเฉพาะตัวของคนอื่น วัดความสำนึกรับผิดชอบเฉพาะตัวของคนอื่น วัดความเอาใจใส่ในงานเฉพาะตัวของคนอื่น เพราะถึงแม้จะเป็นผู้ที่มีอาการครบ 32 เหมือนกัน แต่จิตใจย่อมแตกต่างกัน อันเนื่องมาจากวิธีการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมทางสังคม ตลอดจนการอบรมบ่มนิสัยในวัยเยาว์ ที่ส่งผลให้ “เป็นคนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน”
หลายท่านคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า โกรธ คือ โง่ โมโห คือ บ้า เพราะฉะนั้น วิธีการปล่อยวางความโกรธ ความโมโห โดยพยายาม “คิดอย่างเข้าใจ” เพื่อนำไปสู่การ “คิดให้อภัย” น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด หลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี บอกว่า เมื่อใดที่รู้สึกโกรธ ให้หายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ ไปเรื่อยๆ กำหนดจิต ให้ละทิ้งซึ่งความโกรธ จนกว่าความรู้สึกโกรธนั้นจะหายไป เมื่อนั้น “สติ” และ “สมาธิ” ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้าง “ปัญญา” จะเกิดขึ้น นำพา ให้เราค้นพบวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่างแยบยล และ สันติสุข
พ.เนตรรังสี นักเขียนท่านหนึ่ง ได้ฝากข้อคิดคำคม ซึ่งมีใจความสำคัญ ว่า “...ชีวิตของคนเราสั้น และมีเขตจำกัด เราไม่ควรจะปล่อยให้เวลาของเราล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์เลย คนเกียจคร้านไม่ผิดอะไรกับคนตายที่ยังลืมตาอยู่ หรือคนที่นอนอยู่ในหลุมฝังศพเท่าใดนัก การดำรงชีวิตของคนเรา มิได้มีความหมายแต่เพียงการมีลมหายใจ การกิน และนอน เท่านั้น จำเป็นเช่นที่ได้กล่าวว่า คนเราต้องทำงานด้วย เพื่อตน เพื่อครอบครัว เพื่อประชาชาติ และประเทศชาติ...”
จากข้อคิดคำคมดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่า ใครก็ตามที่มี“จิตสำนึกสาธารณะ” คงจะสะกิดใจขึ้นมาบ้างและนำไปใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้ไม่มากก็น้อย แต่คนที่อ่านแล้วย้อนถามตนเองว่า ทำไมต้องทำงานเพื่อประเทศชาติ ทำเพื่อตนก็เพียงพอแล้ว ก็คงจะห่างไกลกับคำว่า “จิตสำนึกสาธารณะ” อยู่มากนัก
ขณะที่เราทำงานอยู่ในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แล้วเราสามารถมีส่วนร่วมในการทำงานนั้นๆ ให้ประสบความสำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์ ที่องค์กรนั้นๆ ได้ตั้งไว้ จนก่อเกิดเป็นความภาคภูมิใจ ความอิ่มเอมใจ ความสุขใจทุกครั้งเมื่อนึกถึง แสดงว่า “ชัยชนะในตนเอง” ได้ก่อเกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ เป็นชัยชนะที่ตนเองสามารถควบคุม “ความโกรธ” “ความโลภ” “ความหลง” ในตัวตน มิให้มีพลังอำนาจบ่อนทำลายสัมพันธภาพที่ดีซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานทั้งเล็ก และใหญ่ให้ประสบความสำเร็จ เป็นชัยชนะที่ไม่ต้องลงทุนด้วยทรัพย์ภายนอก คือ ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ แต่เป็นชัยชนะที่ลงทุนด้วยทรัพย์ภายใน คือ จิตวิญญาณที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เป็นชัยชนะที่เกิดจากการพัฒนาจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง จนผลิดอกออกผลเป็นจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ที่มีพลัง ที่มีความอดทนต่อกระแสแห่งความปรารถนาร้ายที่รายรอบตัว ที่พร้อมจะถาโถมเข้ามารบกวนจิตวิญญาณของเราอยู่ตลอดเวลา
ขอบคุณ “ชื่อหนังสือ” และ “เนื้อหา” ในหนังสือธรรมะที่ชื่อว่า "เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก" ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก แห่งวัดสุนันทวนาราม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีส่วนสำคัญ ในการสร้างแรงบันดาลให้บรรจงเรียงร้อยถ้อยคำ ก่อเกิดเป็นงานเขียนชิ้นนี้ ส่งผ่านไปถึงผู้ที่ถูกความทุกข์จาก “ความโกรธ” เข้าครอบงำ ให้รู้สึกผ่อนคลาย จนนำไปสู่ความรู้สึกคล้อยตามกับวลีที่ว่า "เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก"
ในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ โกรธได้ทุกเวลา โลภได้ทุกเวลา หลงได้ทุกเวลา แต่หากเราสามารถสลัดความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกโลภ ความรู้สึกหลง ที่เกาะกุมจิตวิญญาณของเราอยู่ ทิ้งไป ได้เร็วที่สุดเท่าใด หากเราสามารถดับไฟโทสะ ไฟโลภะ ไฟโมหะ ที่เผาผลาญอยู่ภายในจิตใจของเราให้มอดลงดับลง ได้รวดเร็วที่สุดเท่าใด นั่นคือ “ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่” ที่เราเป็นผู้กระทำประโยชน์ให้แก่ตัวเอง อย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน
------------------------------------------


โดย: ใฝ่ธรรม IP: 113.53.71.71 วันที่: 25 ธันวาคม 2552 เวลา:15:57:39 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณป่ามืด
พบเวปนี้โดยบังเอิญ ค่ะ เพราะต้องการหาคำตอบของการใช้คำว่า "จิตใจ" กับ "จิตวิญญาณ" ในการเขียนงานอิงธรรมะนิดๆ โดยสงสัยว่าตนเอง ใช้คำว่า จิตวิญญาณ ถูกต้องกับกาลเทศะ หรือ ไม่ หรือ ควรใช้คำว่า จิตใจ แทน สำหรับข้อความในงานเขียนทั้งเรื่องมีรายละเอียดดังนี้ และรบกวนคุณป่ามืด หรือ ผู้ที่ได้บังเอิญได้อ่าน กรุณาติชมด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ
อันว่า "เหตุสมควรโกรธ.....ไม่มีในโลก"

“ความโกรธ” มีพลัง มีอำนาจ ในการทำลายทุกอย่าง ทำลายความสุข ทำลายสติสัมปชัญญะ ทำลายสมาธิในการสร้างสรรค์ผลงาน ทำลายความสุขในครอบครัว “ความโกรธ” มีพลังอำนาจในการทำลายความสัมพันธ์ของคนในองค์กร “ความโกรธ” มีพลังอำนาจในการทำลายความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
“สัมพันธภาพ” มีความหมายตามพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน ว่า ความผูกพัน ความเกี่ยวข้อง ดังนั้น คำว่า “สัมพันธภาพที่ดี” จึงหมายถึง ความผูกพันที่ดี ความเกี่ยวข้องที่ดีในความมุ่งหมายที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในทุกอณูของสังคม จำเป็นต้องอาศัย “สัมพันธภาพที่ดี” เพราะ “สัมพันธภาพที่ดี” เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ พอๆ กับศักยภาพของคนในองค์กร อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ พอๆ กับศักยภาพของคนในครอบครัว อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในครอบครัว
ในการอยู่ร่วมกันในองค์กร ในการอยู่ร่วมกันในครอบครัว หากขาด “สัมพันธภาพที่ดี” ก็ยากที่จะทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ ให้ประสบความสำเร็จ เกิดประโยชน์รอบด้าน อย่างยั่งยืน เพราะ “สัมพันธภาพที่ดี” เป็นบ่อเกิดแห่งความร่วมแรงร่วมใจ ในการทำงานร่วมกัน ด้วยความผูกพัน ด้วยความเต็มใจ มิใช่ด้วยหน้าที่ ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในองค์กรอย่างยั่งยืน ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในครอบครัวอย่างยั่งยืน จึงมิได้เกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจาก ความสำนึก หรือ เกิดจากความเสียสละของบุคคลเพียงคนเดียว มิได้เกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจากความสำนึก หรือ เกิดจากความเสียสละของบุคคลเพียงบางส่วน แต่จะต้องเกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจากความสำนึก และเกิดจากความเสียสละของบุคคลทุกคน หรืออย่างน้อยจะต้องเกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจากความสำนึก และเกิดจากความเสียสละของบุคคลส่วนใหญ่
ในการทำงานหากปล่อยให้ “ความโกรธ” เป็นเครื่องมือในการทำลาย “สัมพันธภาพที่ดี” ให้หมดสิ้นลง ก็เปรียบเสมือนเราขาดซึ่ง “แขน” หลายๆ “แขน” ที่จะช่วยผลักดันองค์กรให้สูงขึ้น ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น เร็วขึ้น ก็เปรียบเสมือนเราขาดซึ่ง “ขา” หลายๆ “ขา” ที่จะช่วยกันก้าวข้ามผ่านอุปสรรคนานัปการ และนำพาองค์กรไปข้างหน้า ให้ได้ไกลขึ้น เร็วขึ้น เมื่อใดก็ตาม ที่เราละวาง “ความโกรธ” ได้ “สัมพันธภาพที่ดี” ก็ย่อมที่จะดำรงอยู่ได้ และเมื่อนั้น ความสำเร็จในการทำงานย่อมที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเกินไปนัก
ในขณะที่เราทำงานอย่างตั้งใจแน่วแน่ ที่จะทำให้งานบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ได้วางไว้ เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่า ขณะนั้น เรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางของผู้นำแห่งจิตวิญญาณ เป็นจิตวิญญาณความรู้สึกแห่งความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบ หากเปรียบบรรยากาศเบื้องบน หรือที่สูง เป็นความสุข เป็นการกระทำความดี บรรยากาศเบื้องล่าง หรือที่ต่ำ เป็นความทุกข์ เป็นการกระทำความชั่ว หากเปรียบ “น้ำ” เป็นตัวแทนความดีและความชั่ว โดยกำหนดให้ “น้ำ” ซึ่งเป็นตัวแทนของความดีจะต้องลอยขึ้นสู่เบื้องบน หรือที่สูง และกำหนดให้ “น้ำ” ซึ่งเป็นตัวแทนของความชั่วจะต้องตกลงสู่เบื้องล่าง หรือที่ต่ำ เป็นการเปรียบเทียบประมาณว่า ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วลงนรก นั่นเอง
ผู้นำทางจิตวิญญาณ จะต้องพยายามกำหนดจิตวิญญาณของตนให้ปล่อยวางเบาสบายเปรียบประดุจ “น้ำที่กลายเป็นไอ” ที่พร้อมจะลอยขึ้นสู่เบื้องบน เป็นจิตวิญญาณที่พร้อมจะ ละซึ่งความโกรธ ละซึ่งความโลภ ละซึ่งความหลง ได้เสมอ ผู้นำทางจิตวิญญาณ จะต้องไม่ปล่อยให้จิตวิญญาณของตน เปรียบประดุจ “น้ำที่กลายเป็นฝน” ที่พร้อมจะตกลงสู่เบื้องล่าง เป็นจิตวิญญาณที่พร้อมซึ่งจะโกรธ พร้อมซึ่งจะโลภ และพร้อมซึ่งจะหลง ได้เสมอ
หากเปรียบกระแสน้ำเป็นกระแสแห่งความปรารถนาร้าย ที่บุคคลรอบข้างส่งผ่านเข้ามากระทบความรู้สึกของเรา ทำให้เราเกิดความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ แล้ว
เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณ จะต้องทำตัวเป็น “ปลาซึ่งยังมีชีวิต” ที่พยายามแหวกว่ายทวนกระแสแห่งความปรารถนาร้าย เพื่อต่อสู้ สกัดกั้น ความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ เหล่านั้น มิให้มากระทบความรู้สึก หรือ ฝังแน่นในจิตวิญญาณของเราให้นานเกินไปให้จงได้ เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณจะต้องพยายาม แหวกว่ายทวนกระแสแห่งความปรารถนาร้าย เพื่อมิให้กระแสนั้น มีพลังอำนาจในการนำพาเราไปสู่ปลายทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามต่อการพัฒนาจิตวิญญาณของตนเองให้เป็นผู้ปล่อยวางได้
เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณ จะต้องไม่ทำตัวเป็น “ปลาซึ่งตายแล้ว” ที่พร้อมจะลอยไปตามกระแสแห่งความปรารถนาร้ายลงสู่ที่ต่ำ โดยที่เราไม่สามารถขัดขืน ไม่สามารถสกัดกั้นความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ ที่จะมากระทบความรู้สึก หรือฝังแน่นในจิตวิญญาณของเราได้ เพราะถ้าหากเราปล่อยตนเองให้เป็นดั่งเช่น “ปลาซึ่งตายแล้ว” เราจะไม่ผิดอะไรกับผู้ที่นั่งอยู่บนกองไฟที่เผาผลาญใจของเราทุกวินาที และต้องจมอยู่กับกองทุกข์นั้นร่ำไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หากเรามุ่งมั่นยืนหยัดที่จะเป็น “ปลาซึ่งยังมีชีวิต” เราจะรู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการดิ้นรน รู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการพยายามฝึกฝนตนเองให้สามารถอดทนต่อสิ่งเลวร้ายจากภายนอก ที่จะมากระทบความรู้สึกของเราในทุกๆ เรื่องได้
แต่หากเราทำตัวเป็น “ปลาซึ่งตายแล้ว” เราจะไม่มีวันได้รู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการดิ้นรน เราจะไม่มีวันได้รู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการพยายามฝึกฝนตนเองให้สามารถอดทนต่อสิ่งเลวร้ายจากภายนอก ที่จะมากระทบความรู้สึกของเราได้ และเมื่อนั้น โทสะ โลภะ โมหะ ศัตรูอันร้ายกาจต่อการพัฒนาจิตวิญญาณ จะวนเวียนเข้ามาเกาะกุมจิตวิญญาณของเรา จนบางครั้งไม่สามารถที่จะสลัดให้หลุดออกไปได้
คนรักการทำงานส่วนใหญ่ มักเชื่อมั่นว่า ตนเองเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการทำงานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร แต่คนรักการทำงานบางส่วนมักลืมไปว่า ตนเองไม่ใช่ผู้วิเศษที่สามารถจะทำงานทุกงาน หรือ บันดาลความสำเร็จให้งานทุกงาน อย่างยั่งยืนได้ ด้วยคนเพียงคนเดียว เพราะในการทำงานบางครั้ง ตนเองอาจไม่มีศักยภาพ ไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีความชำนาญในเรื่องนั้นๆ อย่างเพียงพอ หรือบางครั้ง อาจมีความจำเป็นบางประการที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายด้วยตนเอง จำต้องอาศัยผู้อื่นเพื่อเติมเต็มภารกิจให้ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย
แต่หากภารกิจที่ฝากความหวังไว้ ตกอยู่ในมือของผู้ที่ขาดความรับผิดชอบ ขาดความเอาใจใส่ในงาน แบบไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ย่อมมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ในงานไม่บรรลุความหวังที่ตั้งไว้ แต่เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณ จะต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการรับมือ จะต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการปล่อยวาง กับความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ และความทุกข์ใจ อย่างชาญฉลาด เพื่อสกัดกั้น “ความโกรธ” ให้จงได้ จากนั้นจึงนำสิ่ง ที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน นำสิ่งที่เกิดขึ้นมาทบทวน เพื่อแสวงหาหนทางใหม่ๆ ในการป้องกัน และหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หากมีปัญหาเกิดขึ้นจากการทำงานในองค์กร อย่ามัวเสียเวลากับการคิดว่า ใครถูก ใครผิด ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น ทำไมเขาถึงไม่ทำอย่างนี้ เพราะหากเขามี “จิตสำนึกสาธารณะ” ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ปัญหาเดิมๆ ย่อมจะไม่เกิดขึ้น ที่สำคัญหากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหา ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ป่วยการที่จะไปคาดหวังกับสิ่งนั้นให้มากเกินไป เพราะการคาดหวังกับคนอื่นมากๆ คนที่ทุกข์ คือ เรา มิใช่ใคร
“จิตสำนึกสาธารณะ” ของแต่ละคนต่างกัน บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนไม่มี บางคนมีบ้างไม่มีบ้าง เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามที่จะไม่คาดหวังกับคนอื่นจนเกินความพอดี เกินกำลังความสามารถเฉพาะตัวของคนอื่น เกินความสำนึกรับผิดชอบเฉพาะตัวของคนอื่น และไม่ควรนำตนเองไปเป็นบรรทัดฐานในการวัดความรู้เฉพาะตัวของคนอื่น วัดความสามารถเฉพาะตัวของคนอื่น วัดความสำนึกรับผิดชอบเฉพาะตัวของคนอื่น วัดความเอาใจใส่ในงานเฉพาะตัวของคนอื่น เพราะถึงแม้จะเป็นผู้ที่มีอาการครบ 32 เหมือนกัน แต่จิตใจย่อมแตกต่างกัน อันเนื่องมาจากวิธีการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมทางสังคม ตลอดจนการอบรมบ่มนิสัยในวัยเยาว์ ที่ส่งผลให้ “เป็นคนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน”
หลายท่านคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า โกรธ คือ โง่ โมโห คือ บ้า เพราะฉะนั้น วิธีการปล่อยวางความโกรธ ความโมโห โดยพยายาม “คิดอย่างเข้าใจ” เพื่อนำไปสู่การ “คิดให้อภัย” น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด หลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี บอกว่า เมื่อใดที่รู้สึกโกรธ ให้หายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ ไปเรื่อยๆ กำหนดจิต ให้ละทิ้งซึ่งความโกรธ จนกว่าความรู้สึกโกรธนั้นจะหายไป เมื่อนั้น “สติ” และ “สมาธิ” ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้าง “ปัญญา” จะเกิดขึ้น นำพา ให้เราค้นพบวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่างแยบยล และ สันติสุข
พ.เนตรรังสี นักเขียนท่านหนึ่ง ได้ฝากข้อคิดคำคม ซึ่งมีใจความสำคัญ ว่า “...ชีวิตของคนเราสั้น และมีเขตจำกัด เราไม่ควรจะปล่อยให้เวลาของเราล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์เลย คนเกียจคร้านไม่ผิดอะไรกับคนตายที่ยังลืมตาอยู่ หรือคนที่นอนอยู่ในหลุมฝังศพเท่าใดนัก การดำรงชีวิตของคนเรา มิได้มีความหมายแต่เพียงการมีลมหายใจ การกิน และนอน เท่านั้น จำเป็นเช่นที่ได้กล่าวว่า คนเราต้องทำงานด้วย เพื่อตน เพื่อครอบครัว เพื่อประชาชาติ และประเทศชาติ...”
จากข้อคิดคำคมดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่า ใครก็ตามที่มี“จิตสำนึกสาธารณะ” คงจะสะกิดใจขึ้นมาบ้างและนำไปใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้ไม่มากก็น้อย แต่คนที่อ่านแล้วย้อนถามตนเองว่า ทำไมต้องทำงานเพื่อประเทศชาติ ทำเพื่อตนก็เพียงพอแล้ว ก็คงจะห่างไกลกับคำว่า “จิตสำนึกสาธารณะ” อยู่มากนัก
ขณะที่เราทำงานอยู่ในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แล้วเราสามารถมีส่วนร่วมในการทำงานนั้นๆ ให้ประสบความสำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์ ที่องค์กรนั้นๆ ได้ตั้งไว้ จนก่อเกิดเป็นความภาคภูมิใจ ความอิ่มเอมใจ ความสุขใจทุกครั้งเมื่อนึกถึง แสดงว่า “ชัยชนะในตนเอง” ได้ก่อเกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ เป็นชัยชนะที่ตนเองสามารถควบคุม “ความโกรธ” “ความโลภ” “ความหลง” ในตัวตน มิให้มีพลังอำนาจบ่อนทำลายสัมพันธภาพที่ดีซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานทั้งเล็ก และใหญ่ให้ประสบความสำเร็จ เป็นชัยชนะที่ไม่ต้องลงทุนด้วยทรัพย์ภายนอก คือ ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ แต่เป็นชัยชนะที่ลงทุนด้วยทรัพย์ภายใน คือ จิตวิญญาณที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เป็นชัยชนะที่เกิดจากการพัฒนาจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง จนผลิดอกออกผลเป็นจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ที่มีพลัง ที่มีความอดทนต่อกระแสแห่งความปรารถนาร้ายที่รายรอบตัว ที่พร้อมจะถาโถมเข้ามารบกวนจิตวิญญาณของเราอยู่ตลอดเวลา
ขอบคุณ “ชื่อหนังสือ” และ “เนื้อหา” ในหนังสือธรรมะที่ชื่อว่า "เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก" ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก แห่งวัดสุนันทวนาราม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีส่วนสำคัญ ในการสร้างแรงบันดาลให้บรรจงเรียงร้อยถ้อยคำ ก่อเกิดเป็นงานเขียนชิ้นนี้ ส่งผ่านไปถึงผู้ที่ถูกความทุกข์จาก “ความโกรธ” เข้าครอบงำ ให้รู้สึกผ่อนคลาย จนนำไปสู่ความรู้สึกคล้อยตามกับวลีที่ว่า "เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก"
ในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ โกรธได้ทุกเวลา โลภได้ทุกเวลา หลงได้ทุกเวลา แต่หากเราสามารถสลัดความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกโลภ ความรู้สึกหลง ที่เกาะกุมจิตวิญญาณของเราอยู่ ทิ้งไป ได้เร็วที่สุดเท่าใด หากเราสามารถดับไฟโทสะ ไฟโลภะ ไฟโมหะ ที่เผาผลาญอยู่ภายในจิตใจของเราให้มอดลงดับลง ได้รวดเร็วที่สุดเท่าใด นั่นคือ “ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่” ที่เราเป็นผู้กระทำประโยชน์ให้แก่ตัวเอง อย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน
------------------------------------------


โดย: ใฝ่ธรรม IP: 113.53.71.71 วันที่: 25 ธันวาคม 2552 เวลา:15:57:47 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณป่ามืด
พบเวปนี้โดยบังเอิญ ค่ะ เพราะต้องการหาคำตอบของการใช้คำว่า "จิตใจ" กับ "จิตวิญญาณ" ในการเขียนงานอิงธรรมะนิดๆ โดยสงสัยว่าตนเอง ใช้คำว่า จิตวิญญาณ ถูกต้องกับกาลเทศะ หรือ ไม่ หรือ ควรใช้คำว่า จิตใจ แทน สำหรับข้อความในงานเขียนทั้งเรื่องมีรายละเอียดดังนี้ และรบกวนคุณป่ามืด หรือ ผู้ที่ได้บังเอิญได้อ่าน กรุณาติชมด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ
อันว่า "เหตุสมควรโกรธ.....ไม่มีในโลก"

“ความโกรธ” มีพลัง มีอำนาจ ในการทำลายทุกอย่าง ทำลายความสุข ทำลายสติสัมปชัญญะ ทำลายสมาธิในการสร้างสรรค์ผลงาน ทำลายความสุขในครอบครัว “ความโกรธ” มีพลังอำนาจในการทำลายความสัมพันธ์ของคนในองค์กร “ความโกรธ” มีพลังอำนาจในการทำลายความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
“สัมพันธภาพ” มีความหมายตามพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน ว่า ความผูกพัน ความเกี่ยวข้อง ดังนั้น คำว่า “สัมพันธภาพที่ดี” จึงหมายถึง ความผูกพันที่ดี ความเกี่ยวข้องที่ดีในความมุ่งหมายที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในทุกอณูของสังคม จำเป็นต้องอาศัย “สัมพันธภาพที่ดี” เพราะ “สัมพันธภาพที่ดี” เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ พอๆ กับศักยภาพของคนในองค์กร อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ พอๆ กับศักยภาพของคนในครอบครัว อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในครอบครัว
ในการอยู่ร่วมกันในองค์กร ในการอยู่ร่วมกันในครอบครัว หากขาด “สัมพันธภาพที่ดี” ก็ยากที่จะทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ ให้ประสบความสำเร็จ เกิดประโยชน์รอบด้าน อย่างยั่งยืน เพราะ “สัมพันธภาพที่ดี” เป็นบ่อเกิดแห่งความร่วมแรงร่วมใจ ในการทำงานร่วมกัน ด้วยความผูกพัน ด้วยความเต็มใจ มิใช่ด้วยหน้าที่ ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในองค์กรอย่างยั่งยืน ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในครอบครัวอย่างยั่งยืน จึงมิได้เกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจาก ความสำนึก หรือ เกิดจากความเสียสละของบุคคลเพียงคนเดียว มิได้เกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจากความสำนึก หรือ เกิดจากความเสียสละของบุคคลเพียงบางส่วน แต่จะต้องเกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจากความสำนึก และเกิดจากความเสียสละของบุคคลทุกคน หรืออย่างน้อยจะต้องเกิดจากมือ เกิดจากสมอง เกิดจากความสำนึก และเกิดจากความเสียสละของบุคคลส่วนใหญ่
ในการทำงานหากปล่อยให้ “ความโกรธ” เป็นเครื่องมือในการทำลาย “สัมพันธภาพที่ดี” ให้หมดสิ้นลง ก็เปรียบเสมือนเราขาดซึ่ง “แขน” หลายๆ “แขน” ที่จะช่วยผลักดันองค์กรให้สูงขึ้น ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น เร็วขึ้น ก็เปรียบเสมือนเราขาดซึ่ง “ขา” หลายๆ “ขา” ที่จะช่วยกันก้าวข้ามผ่านอุปสรรคนานัปการ และนำพาองค์กรไปข้างหน้า ให้ได้ไกลขึ้น เร็วขึ้น เมื่อใดก็ตาม ที่เราละวาง “ความโกรธ” ได้ “สัมพันธภาพที่ดี” ก็ย่อมที่จะดำรงอยู่ได้ และเมื่อนั้น ความสำเร็จในการทำงานย่อมที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเกินไปนัก
ในขณะที่เราทำงานอย่างตั้งใจแน่วแน่ ที่จะทำให้งานบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ได้วางไว้ เราต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่า ขณะนั้น เรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางของผู้นำแห่งจิตวิญญาณ เป็นจิตวิญญาณความรู้สึกแห่งความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบ หากเปรียบบรรยากาศเบื้องบน หรือที่สูง เป็นความสุข เป็นการกระทำความดี บรรยากาศเบื้องล่าง หรือที่ต่ำ เป็นความทุกข์ เป็นการกระทำความชั่ว หากเปรียบ “น้ำ” เป็นตัวแทนความดีและความชั่ว โดยกำหนดให้ “น้ำ” ซึ่งเป็นตัวแทนของความดีจะต้องลอยขึ้นสู่เบื้องบน หรือที่สูง และกำหนดให้ “น้ำ” ซึ่งเป็นตัวแทนของความชั่วจะต้องตกลงสู่เบื้องล่าง หรือที่ต่ำ เป็นการเปรียบเทียบประมาณว่า ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วลงนรก นั่นเอง
ผู้นำทางจิตวิญญาณ จะต้องพยายามกำหนดจิตวิญญาณของตนให้ปล่อยวางเบาสบายเปรียบประดุจ “น้ำที่กลายเป็นไอ” ที่พร้อมจะลอยขึ้นสู่เบื้องบน เป็นจิตวิญญาณที่พร้อมจะ ละซึ่งความโกรธ ละซึ่งความโลภ ละซึ่งความหลง ได้เสมอ ผู้นำทางจิตวิญญาณ จะต้องไม่ปล่อยให้จิตวิญญาณของตน เปรียบประดุจ “น้ำที่กลายเป็นฝน” ที่พร้อมจะตกลงสู่เบื้องล่าง เป็นจิตวิญญาณที่พร้อมซึ่งจะโกรธ พร้อมซึ่งจะโลภ และพร้อมซึ่งจะหลง ได้เสมอ
หากเปรียบกระแสน้ำเป็นกระแสแห่งความปรารถนาร้าย ที่บุคคลรอบข้างส่งผ่านเข้ามากระทบความรู้สึกของเรา ทำให้เราเกิดความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ แล้ว
เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณ จะต้องทำตัวเป็น “ปลาซึ่งยังมีชีวิต” ที่พยายามแหวกว่ายทวนกระแสแห่งความปรารถนาร้าย เพื่อต่อสู้ สกัดกั้น ความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ เหล่านั้น มิให้มากระทบความรู้สึก หรือ ฝังแน่นในจิตวิญญาณของเราให้นานเกินไปให้จงได้ เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณจะต้องพยายาม แหวกว่ายทวนกระแสแห่งความปรารถนาร้าย เพื่อมิให้กระแสนั้น มีพลังอำนาจในการนำพาเราไปสู่ปลายทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามต่อการพัฒนาจิตวิญญาณของตนเองให้เป็นผู้ปล่อยวางได้
เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณ จะต้องไม่ทำตัวเป็น “ปลาซึ่งตายแล้ว” ที่พร้อมจะลอยไปตามกระแสแห่งความปรารถนาร้ายลงสู่ที่ต่ำ โดยที่เราไม่สามารถขัดขืน ไม่สามารถสกัดกั้นความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ ที่จะมากระทบความรู้สึก หรือฝังแน่นในจิตวิญญาณของเราได้ เพราะถ้าหากเราปล่อยตนเองให้เป็นดั่งเช่น “ปลาซึ่งตายแล้ว” เราจะไม่ผิดอะไรกับผู้ที่นั่งอยู่บนกองไฟที่เผาผลาญใจของเราทุกวินาที และต้องจมอยู่กับกองทุกข์นั้นร่ำไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หากเรามุ่งมั่นยืนหยัดที่จะเป็น “ปลาซึ่งยังมีชีวิต” เราจะรู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการดิ้นรน รู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการพยายามฝึกฝนตนเองให้สามารถอดทนต่อสิ่งเลวร้ายจากภายนอก ที่จะมากระทบความรู้สึกของเราในทุกๆ เรื่องได้
แต่หากเราทำตัวเป็น “ปลาซึ่งตายแล้ว” เราจะไม่มีวันได้รู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการดิ้นรน เราจะไม่มีวันได้รู้จักที่จะเรียนรู้วิธีการพยายามฝึกฝนตนเองให้สามารถอดทนต่อสิ่งเลวร้ายจากภายนอก ที่จะมากระทบความรู้สึกของเราได้ และเมื่อนั้น โทสะ โลภะ โมหะ ศัตรูอันร้ายกาจต่อการพัฒนาจิตวิญญาณ จะวนเวียนเข้ามาเกาะกุมจิตวิญญาณของเรา จนบางครั้งไม่สามารถที่จะสลัดให้หลุดออกไปได้
คนรักการทำงานส่วนใหญ่ มักเชื่อมั่นว่า ตนเองเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการทำงานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร แต่คนรักการทำงานบางส่วนมักลืมไปว่า ตนเองไม่ใช่ผู้วิเศษที่สามารถจะทำงานทุกงาน หรือ บันดาลความสำเร็จให้งานทุกงาน อย่างยั่งยืนได้ ด้วยคนเพียงคนเดียว เพราะในการทำงานบางครั้ง ตนเองอาจไม่มีศักยภาพ ไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีความชำนาญในเรื่องนั้นๆ อย่างเพียงพอ หรือบางครั้ง อาจมีความจำเป็นบางประการที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายด้วยตนเอง จำต้องอาศัยผู้อื่นเพื่อเติมเต็มภารกิจให้ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย
แต่หากภารกิจที่ฝากความหวังไว้ ตกอยู่ในมือของผู้ที่ขาดความรับผิดชอบ ขาดความเอาใจใส่ในงาน แบบไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ย่อมมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ในงานไม่บรรลุความหวังที่ตั้งไว้ แต่เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า เราในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณ จะต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการรับมือ จะต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการปล่อยวาง กับความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ และความทุกข์ใจ อย่างชาญฉลาด เพื่อสกัดกั้น “ความโกรธ” ให้จงได้ จากนั้นจึงนำสิ่ง ที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน นำสิ่งที่เกิดขึ้นมาทบทวน เพื่อแสวงหาหนทางใหม่ๆ ในการป้องกัน และหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หากมีปัญหาเกิดขึ้นจากการทำงานในองค์กร อย่ามัวเสียเวลากับการคิดว่า ใครถูก ใครผิด ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น ทำไมเขาถึงไม่ทำอย่างนี้ เพราะหากเขามี “จิตสำนึกสาธารณะ” ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ปัญหาเดิมๆ ย่อมจะไม่เกิดขึ้น ที่สำคัญหากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหา ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ป่วยการที่จะไปคาดหวังกับสิ่งนั้นให้มากเกินไป เพราะการคาดหวังกับคนอื่นมากๆ คนที่ทุกข์ คือ เรา มิใช่ใคร
“จิตสำนึกสาธารณะ” ของแต่ละคนต่างกัน บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนไม่มี บางคนมีบ้างไม่มีบ้าง เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามที่จะไม่คาดหวังกับคนอื่นจนเกินความพอดี เกินกำลังความสามารถเฉพาะตัวของคนอื่น เกินความสำนึกรับผิดชอบเฉพาะตัวของคนอื่น และไม่ควรนำตนเองไปเป็นบรรทัดฐานในการวัดความรู้เฉพาะตัวของคนอื่น วัดความสามารถเฉพาะตัวของคนอื่น วัดความสำนึกรับผิดชอบเฉพาะตัวของคนอื่น วัดความเอาใจใส่ในงานเฉพาะตัวของคนอื่น เพราะถึงแม้จะเป็นผู้ที่มีอาการครบ 32 เหมือนกัน แต่จิตใจย่อมแตกต่างกัน อันเนื่องมาจากวิธีการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมทางสังคม ตลอดจนการอบรมบ่มนิสัยในวัยเยาว์ ที่ส่งผลให้ “เป็นคนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน”
หลายท่านคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า โกรธ คือ โง่ โมโห คือ บ้า เพราะฉะนั้น วิธีการปล่อยวางความโกรธ ความโมโห โดยพยายาม “คิดอย่างเข้าใจ” เพื่อนำไปสู่การ “คิดให้อภัย” น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด หลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี บอกว่า เมื่อใดที่รู้สึกโกรธ ให้หายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ ไปเรื่อยๆ กำหนดจิต ให้ละทิ้งซึ่งความโกรธ จนกว่าความรู้สึกโกรธนั้นจะหายไป เมื่อนั้น “สติ” และ “สมาธิ” ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้าง “ปัญญา” จะเกิดขึ้น นำพา ให้เราค้นพบวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่างแยบยล และ สันติสุข
พ.เนตรรังสี นักเขียนท่านหนึ่ง ได้ฝากข้อคิดคำคม ซึ่งมีใจความสำคัญ ว่า “...ชีวิตของคนเราสั้น และมีเขตจำกัด เราไม่ควรจะปล่อยให้เวลาของเราล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์เลย คนเกียจคร้านไม่ผิดอะไรกับคนตายที่ยังลืมตาอยู่ หรือคนที่นอนอยู่ในหลุมฝังศพเท่าใดนัก การดำรงชีวิตของคนเรา มิได้มีความหมายแต่เพียงการมีลมหายใจ การกิน และนอน เท่านั้น จำเป็นเช่นที่ได้กล่าวว่า คนเราต้องทำงานด้วย เพื่อตน เพื่อครอบครัว เพื่อประชาชาติ และประเทศชาติ...”
จากข้อคิดคำคมดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่า ใครก็ตามที่มี“จิตสำนึกสาธารณะ” คงจะสะกิดใจขึ้นมาบ้างและนำไปใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้ไม่มากก็น้อย แต่คนที่อ่านแล้วย้อนถามตนเองว่า ทำไมต้องทำงานเพื่อประเทศชาติ ทำเพื่อตนก็เพียงพอแล้ว ก็คงจะห่างไกลกับคำว่า “จิตสำนึกสาธารณะ” อยู่มากนัก
ขณะที่เราทำงานอยู่ในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แล้วเราสามารถมีส่วนร่วมในการทำงานนั้นๆ ให้ประสบความสำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์ ที่องค์กรนั้นๆ ได้ตั้งไว้ จนก่อเกิดเป็นความภาคภูมิใจ ความอิ่มเอมใจ ความสุขใจทุกครั้งเมื่อนึกถึง แสดงว่า “ชัยชนะในตนเอง” ได้ก่อเกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ เป็นชัยชนะที่ตนเองสามารถควบคุม “ความโกรธ” “ความโลภ” “ความหลง” ในตัวตน มิให้มีพลังอำนาจบ่อนทำลายสัมพันธภาพที่ดีซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานทั้งเล็ก และใหญ่ให้ประสบความสำเร็จ เป็นชัยชนะที่ไม่ต้องลงทุนด้วยทรัพย์ภายนอก คือ ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ แต่เป็นชัยชนะที่ลงทุนด้วยทรัพย์ภายใน คือ จิตวิญญาณที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เป็นชัยชนะที่เกิดจากการพัฒนาจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง จนผลิดอกออกผลเป็นจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ที่มีพลัง ที่มีความอดทนต่อกระแสแห่งความปรารถนาร้ายที่รายรอบตัว ที่พร้อมจะถาโถมเข้ามารบกวนจิตวิญญาณของเราอยู่ตลอดเวลา
ขอบคุณ “ชื่อหนังสือ” และ “เนื้อหา” ในหนังสือธรรมะที่ชื่อว่า "เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก" ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก แห่งวัดสุนันทวนาราม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีส่วนสำคัญ ในการสร้างแรงบันดาลให้บรรจงเรียงร้อยถ้อยคำ ก่อเกิดเป็นงานเขียนชิ้นนี้ ส่งผ่านไปถึงผู้ที่ถูกความทุกข์จาก “ความโกรธ” เข้าครอบงำ ให้รู้สึกผ่อนคลาย จนนำไปสู่ความรู้สึกคล้อยตามกับวลีที่ว่า "เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก"
ในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ โกรธได้ทุกเวลา โลภได้ทุกเวลา หลงได้ทุกเวลา แต่หากเราสามารถสลัดความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกโลภ ความรู้สึกหลง ที่เกาะกุมจิตวิญญาณของเราอยู่ ทิ้งไป ได้เร็วที่สุดเท่าใด หากเราสามารถดับไฟโทสะ ไฟโลภะ ไฟโมหะ ที่เผาผลาญอยู่ภายในจิตใจของเราให้มอดลงดับลง ได้รวดเร็วที่สุดเท่าใด นั่นคือ “ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่” ที่เราเป็นผู้กระทำประโยชน์ให้แก่ตัวเอง อย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน
------------------------------------------


โดย: ใฝ่ธรรม IP: 113.53.71.71 วันที่: 25 ธันวาคม 2552 เวลา:15:57:55 น.  

 
ขอโทษค่ะ ส่งไม่เป็นเลยมาซะหลายรอบเลย ไม่รู้ลบข้อความที่ซ้ำทิ้งได้หรือเปล่า ขอโทษจริงๆค่ะ


โดย: ใฝ่ธรรม IP: 113.53.71.71 วันที่: 25 ธันวาคม 2552 เวลา:16:00:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ป่ามืด
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








 

 

Now Playing:

eXTReMe Tracker
New Comments
Friends' blogs
[Add ป่ามืด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.