DR.MOO CAN DO
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
5 อาวุธร้ายแรงยอดฮิตของการชุมนุมปี 53...!!!

          แม้เรื่องราวต่างๆ จะดูเสมือนว่าจบยกแรกไปแล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ที่ติดตามข่าวสารการเมืองมานาน กลับไม่ค่อยมีใครเคยเห็นโฉมหน้าของอุปกรณ์ในการรบต่างๆ ที่สื่อกล่าวขานกันมากมาย  ไทยรัฐออนไลน์เลยรวบรวม 5 อาวุธยอดฮิตแห่งเทศกาลขอคืนพื้นที่มาให้รู้จักกัน...


ปืนไรเฟิล




            ปืน ซุ่มยิงระยะไกล เป็นหนึ่งในอาวุธที่มีบทบาทในการปฎิบัติการรบทางยุทธวิธีและต่อเป้าหมายที่ มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของฝ่ายตรงกันข้าม มันคืออาวุธที่ถูกออกแบบเพื่อการยิงในระยะไกลด้วยกระสุนความเร็วสูงจากการ ยิงของสไนเปอร์หรือพลซุ่มยิง  แต่คนไทยเรียกปืนชนิดนี้ว่าสไนเปอร์จนเป็นที่เข้าใจกันไปแล้ว


M 79



            ช่วง นี้ใครๆ ก็หลอนกับ M 79 เพราะคุ้นหูกันสุดๆ ในช่วง2 เดือนที่ผ่านมา  ถือว่าเป็นอาวุธยอดฮิตเบอร์1 เพราะหลายชีวิตถูกตัดสินชะตากรรมเป็นที่เรียบร้อยด้วยอาวุธนี้ทั้งตายและ พิการ  ปืนยิงระเบิด M79 เป็นอาวุธสงครามที่เคยใช้ในการทำสงครามเวียดนามมาก่อนและถูกพัฒนาต่อเนื่อง  ผู้ออกแบบคือ Springfield Armory โรงงานผลิต Colt สัญชาติอเมริกา ที่มีจำนวนการผลิตมากกว่า 350,000 กระบอกเฉพาะกองทัพอเมริกาและได้รับความนิยมในหมู่ทหารเเละกองทัพต่างๆ ซื้อไว้ใช้สนับสนุนยานพาหนะพวกรถถัง  คุณสมบัติคล่องตัวดีไม่หนักเกินไป ระยะหวังผลอยู่ที่ 150 เมตร สามารถยิงไกลสุดได้ 350 เมตร บรรจุกระสุนได้ครั้งละ 1 นัด  แต่รุ่นใหม่บรรจุได้ครั้งละ 6 นัด


แก๊สน้ำตา



            แก๊ส น้ำตา หรือ ชื่อทางเคมีว่า Lachrymatory agent, Lachrymator เรียกง่ายๆ ดีกว่าว่า “Tear Gas” เป็นอาวุธเพื่อการสลายการชุมนุมขั้นต้น แต่จะบอกว่าเป็นอาวุธอานุภาพเบาๆ ใสๆ ก็คงไม่ใช่ เพราะเมื่อสัมผัสกับควันแก๊สชนิดนี้  จะระคายเคืองเยื่อบุตาและแก้วตาดำ ทำให้มีน้ำตาไหลออกมาก เยื่อบุตาจะแดงบวม ทำให้มองไม่เห็น หายใจลำบาก แต่อาการเหล่านี้สามารถบรรเทาหายไปได้ภายใน 1 ชั่วโมง  แต่ถ้าสัมผัสนานเกิน 1 ชั่วโมง หรือได้รับปริมาณมากๆ ในพื้นที่อับ  อาจส่งผลกระทบร้ายแรงได้ เช่น ตาบอด ต้อหิน ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตเนื่องจากสารเคมีจะไหม้ลำคอและปอด  ถือเป็นอาวุธที่ใช้ก่อกวนในการจลาจลมากกว่าจะมุ่งให้บาดเจ็บถึงตาย  การใช้งานนั้นจะมีทั้งยิงจากเครื่องยิงและแบบขว้าง


ระเบิดเคโม (หรือระเบิดเคลย์มอร์)



            วันที่ทหารเข้าสลายแยกศาลาแดงก็ต้องตกใจเพราะพบระเบิดชนิดนี้วางดักไว้หลัง บังเกอร์แยกศาลาแดง  เคโมถูกคิดค้นโดยชาวอเมริกันเรียกระเบิดแบบนี้ว่า "M-18A1"  เอามาใช้ครั้งแรกสมัยสงครามเวียดนามที่อเมริการบกับคอมมิวนิสต์   เป็นกับดักระเบิดสังหารบุคคลที่มีประสิทธิภาพรุนแรง  ด้านในบรรจุลูกเหล็กจำนวนมาก เวลาใช้งานต้องเอาง่ามสองขาปักบนดิน และพรางตาด้วยเศษไม้ใบ ที่สำคัญต้องหันด้านให้ถูกด้วยไม่เช่นนั้นคนใช้อาจถูกระเบิดชนิดนี้เอง โดยสังเกตที่คำเตือนว่า "Front Toward Enemy"  เมื่อกดสวิตช์ระเบิด  ลูกเหล็กจะแผ่กระจายออกไปอย่างรุนแรง  ศัตรูล้มเป็นใบไม้ร่วง


จรวด RPG    (หรือระเบิด RPG หรือ กระสุนหัวปลี)



            ผลิต ขึ้นครั้งแรกที่โซเวียตเรียกว่าจรวด RPG-7 เป็นจรวดที่ได้รับการพัฒนาให้ใช้งานในปี ค.ศ. 1962 เป็นต้นมา แต่มีรุ่นที่ผลิตในจีนเรียกว่า ROCKET TYPE 69 มีลักษณะคล้ายกับเครื่องยิงจรวด RPG-2 แต่ขนาดจรวดโตขึ้นเป็น 85 มม. จากเดิม 82 มม. และตัวเครื่องยิงมีขนาดสั้นกว่า เครื่องเล็งเป็นระบบองค์ทัศนะ สามารถทำการเล็งได้ทั้งกลางวันและกลางคืน หางนำทิศเปลี่ยนใหม่เป็นแบบใบมีดขนาดใหญ่ และจะกางออกทันทีที่ลูกจรวดถูกยิงพ้นลำกล้อง ตอนท้ายสุดของลูกจรวดจะทำหางนำทิศขนาดเล็กไว้เพื่อให้ลูกจรวดหมุนตัวเล็ก น้อยขณะแหวกอากาศสู่เป้าหมาย ซึ่งทำให้จรวดมีการทรงตัวดีขึ้น นอกจากนั้นลูกจรวดยังมี ROCKET MORTOR เพื่อช่วยขับเคลื่อนโดยเมื่อยิงลูกจรวดพ้นปากลำกล้องออกไปประมาณ 10 เมตร ROCKET MORTOR จะจุดตัว ทำให้มีระยะยิงเพิ่มขึ้นเป็น 500 เมตร ก่อนทำการยิง RPG-7 จะต้องทำการประกอบชุดดินขับจรวดโดยการขันเกลียวยึดเข้ากับตัวจรวดเสียก่อน


            RPG ทั้ง 2 ประเภทนั้นมีใช้ทั่วไปในกองทัพต่างๆ   RPG-2 ปัจจุบันประเทศจีนเลิกผลิตแล้ว แต่ยังมีใช้งานในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียกลาง, ระเบิด RPG-7 ยังประจำการในกลุ่มประเทศกติกาสัญญาวอร์ซอ, อัฟริกา, เอเชียใต้ และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางบางประเทศ เป็นต้น


Create Date : 22 พฤษภาคม 2553
Last Update : 22 พฤษภาคม 2553 23:08:12 น. 0 comments
Counter : 2789 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

DR.MOO CAN DO
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




ผมเป็น นิติพยาธิแพทย์ หรือ จะเรียกว่า หมอนิติเวช ก็ได้ครับ นิติพยาธิแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปีแล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง นิติพยาธิอีก 3 ปี และเมื่อสอบผ่าน ก็จะได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ และได้เป็นนิติพยาธิแพทย์ โดยสมบูรณ์
หน้าที่ของหมอนิติเวช แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
ส่วนแรก จะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยคดี โดยในผู้ป่วยคดีนั้นแพทย์นิติเวชจะมีหน้าที่ในการตรวจ และให้ความเห็นกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับบาดแผลที่ตรวจพบ ซึ่งตำรวจจะนำไปใช้ในการตั้งข้อกล่าวหากับคู่กรณี และหน้าที่ต่อมาของแพทย์นิติเวชคือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีดังกล่าว
ส่วนที่สอง จะเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต โดยในกรณีผู้เสียชีวิตนั้นแพทย์นิติเวชมีหน้าที่ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุในกรณีตายผิดธรรมชาติตามที่กฎหมายกำหนด และหากมีความจำเป็นต้องผ่าชันสูตร ก็จะต้องมีการทำรายงาน และให้ความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิต ส่งให้พนักงานสอบสวน สุดท้ายหน้าที่หลักที่สำคัญโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีนั้นๆครับ
ประวัติการศึกษา
1.แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
2.วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.ประกาศนียบัตร “Crime Scene Investigation” โครงการร่วมระหว่าง International Law Enforcement Academy กับ Federal Bureau of Investigation Academy
4.ประกาศนียบัตร “การบริหารงานโรงพยาบาล” คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงาน
1.อาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มศว.
2.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
3.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
4.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
5.วิทยากร หัวข้อ "ICD-10" ของกระทรวงสาธารณสุข
6.วิทยากร หัวข้อ "การตรวจสถานที่เกิดเหตุ" ของมูลนิธิร่วมกตัญญู และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
7.วิทยากรอบรมหลักสูตรนายร้อยตำรวจอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
8.วิทยากร หัวข้อ "KPI รายบุคคล" ให้กับโรงพยาบาลและมหาลัยวิทยาลัย ในภาครัฐ
9.วิทยากร หัวข้อ "Living will" ให้กับโรงพยาบาลในภาครัฐและเอกชน10.วิทยากร หัวข้อ "นิติเวชศาสตร์กับงานด้านโบราณคดี" ให้กับคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
11.ร่วมเขียนหนังสือ "KPI รายบุคคล"
12.ร่วมเขียนหนังสือ "มาตรฐาน ICD-10, ICD-9"
13.ที่ปรึกษารายการ "เรื่องจริงผ่านจอ" และ "Redline"
14.บทความทางวิชาการและผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ 15 เรื่อง
15.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ตั้งแต่ ปี พศ.2553
16.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพ ฯ คณะแพทยศาสตร์ มศว. ตั้งแต่ปี พศ.2551
ผศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี (DR.MOO CAN DO)
New Comments
Friends' blogs
[Add DR.MOO CAN DO's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.