DR.MOO CAN DO
Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
28 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
"ฆาตกรรม-ทารุณกรรมเด็ก" อุทาหรณ์สุดท้ายที่ไม่เคยเกิดขึ้น!




          ร่างอันไร้วิญญาณของน้องโฟกัส ด.ญ.รัตติกาล หม่องสนธิ หนูน้อยวัย 2 ขวบ นอนสงบนิ่งภายในโลงศพ และกำลังจะถูกเคลื่อนจากศาลาสวดพระอภิธรรม ขึ้นไปยังเมรุวัดคลองเตยใน แขวงและเขตคลองเตย กทม. เพื่อทำพิธีฌาปนกิจในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ของวันที่ 3 มี.ค. แต่ทว่า แขกไม่ได้รับเชิญจำนวนหลายคน อาทิ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พ.ต.อ.สราวุธ จินดาคำ ผกก.สน.ลุมพินี พ.ต.ท.ปิโยรส กัณหะสิริ สว.สส.สน.ลุมพินี พร้อมกำลังฝ่ายสืบสวนสน.ลุมพินี จำนวนหนึ่ง รุดไปยังวัดคลองเตยใน ในวันนั้น


            นางปวีณา แจ้งกับเจ้าภาพงานศพ"น้องโฟกัส"ว่า ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า การเสียชีวิตของ"น้องโฟกัส"อาจมีเงื่อนงำ และอาจถูกฆาตกรรม จึงพาตำรวจมาขออายัดศพ"น้องโฟกัส" ไปตรวจผ่าพิสูจน์กันอีกครั้ง โดยได้รับข้อมูลเบื้องต้นจากพ่อแม่"น้องโฟกัส"ว่า น.ส.ศิริพร ศรีกระสินธุ์ อายุ 20 ปี พี่เลี้ยงของน้องโฟกัส และมีศักดิ์เป็นอาสะใภ้ บอกว่าน้องโฟกัสเกิดหกล้มเมื่อช่วงค่ำวันที่ 2 มี.ค. และเมื่อพาไปส่งโรงพยาบาลจุฬาฯ น้องโฟกัสก็เสียชีวิตแล้ว แต่เมื่อทางตำรวจได้ทำการอายัดและเปิดฝาหีบโลงศพดู ก็พบว่า สภาพร่างกายภายนอกของน้องโฟกัสเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวกว่า 30 จุด!


            นางปวีณา บอกภายหลังว่า ได้รับการประสานจากนายแพทย์ผู้ผ่าศพพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตของ"น้องโฟกัส"เมื่อเย็นวันที่ 2 มี.ค.ว่า น้องโฟกัส เสียชีวิตเนื่องจากมีเลือดออกในช่องท้อง เยื่อบุลำไส้ฉีกขาด เลือกคั่งในสมองซีกซ้าย และกะโหลกศีรษะร้าว ซึ่งไม่น่าจะเป็นการเสียชีวิตเพราะหกล้มเองตามที่พี่เลี้ยงเด็กกล่าวอ้าง อีกทั้ง หลังจากเด็กเสียชีวิต พ่อแม่เด็กก็ไม่ได้เข้าแจ้งความ แต่กลับรีบนำศพเด็กออกจากโรงพยาบาลจุฬาฯ เพื่อนำมาเผาที่วัดในวันรุ่งขึ้นทันที ทำให้เห็นว่า มีพิรุธอย่างชัดเจน จึงได้ประสานให้ตำรวจเดินทางมาอายัดศพ เพื่อนำกลับไปชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง และทำการสืบสวนคลี่คลายคดีก่อน


            ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ปิโยรส กัณหะสิริ สว.สส.สน.ลุมพินี ได้นำหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 114/2553 ลงวันที่ 2 มี.ค. ในข้อหา ทำร้ายร่างกาย ไปยังแฟลตเทพประทาน ถนนพระราม 4 แขวงและเขตคลองเตย กทม. เพื่อเชิญตัว น.ส.ศิริพร พี่เลี้ยงของน้องโฟกัส มาสอบปากคำ ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง เจ้าตัวจึงยอมรับสารภาพว่า เป็นคนลงมือตีน้องโฟกัสจนสลบคามือ แต่ไม่คิดว่าจะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนสาเหตุที่ทำลงไปนั้น เป็นเพราะความโมโหเพียงอย่างเดียว โดยตั้งแต่ย่าของน้องโฟกัส มาจ้างเลี้ยงได้ประมาณ 1 เดือนเศษ ก็ชอบปัสสาวะกับอุจจาระราดโดยไม่ยอมบอกก่อน ทำให้โมโห ลงมือตีอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ได้ตีทุกวัน


            "ตอนนี้ดิฉันตั้งท้องอยู่ เวลาน้องเขาจะเดินผ่านก็จะเดินข้ามท้องไป แต่วันเกิดเหตุ น้องเขาเดินเหยียบท้อง ก็เลยโมโหอย่างหนัก จับเขาตีอยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมง จนน้องเข้าสลบไป ตอนแรกก็นึกว่าหลับไป เพราะอ่อนเพลียหมดแรง พอปลุกไม่ตื่นก็เลยรีบพาส่งโรงพยาบาลทันที โดยไม่คิดว่าจะถึงขั้นเสียชีวิต ส่วนเรื่องที่น้องเขากะโหลกแตกนั้น น่าจะเป็นเพราะถูกฉันจับหัวโขกกับตู้ไป 3-4 ครั้ง และยืนยันว่า ใช้เพียงมือทุบตีท้องเท่านั้น ไม่ได้ใช้อย่างอื่นหรือมีใครช่วยทุบตี"น.ส.ศิริพร ให้การในภายหลังอีกครั้ง


            พ.ต.อ.สราวุธ จินดาคำ ผกก.สน.ลุมพินี กล่าวว่า จากการสอบปากคำแม่แท้ๆ ของน้องโฟกัสที่ทราบเรื่องแล้วไม่ติดใจเอาความน.ส.ศิริพรนั้น เพราะเข้าใจว่า ทำลงไปเพราะอารมณ์โกรธ ส่วนที่รีบนำศพลูกไปเผาทันทีนั้น เป็นเพราะเรื่องความเป็นอยู่ ฐานะของครอบครัว เด็กไม่มีญาติ และความผูกพันก็มีด้วยไม่มาก เพราะปัจจุบัน แม่ของน้องโฟกัส อยู่กับสามีใหม่ และยังมีลูกด้วยกันอีกต่างหาก อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังต้องสอบสวนต่อไป หากพบว่ามีหลักฐานเชื่อมโยงว่า มีส่วนกระทำผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


            คดีนี้ ปิดฉากลงตรงที่ตำรวจสามารถเค้นเอาข้อเท็จจริงจากน.ส.ศิริพร อาสะใภ้ใจโหดให้รับสารภาพได้ แต่อีกหนึ่งชีวิต ไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตอยู่ดูโลกต่อไปได้ มันช่างคุ้มหรือไม่ กับการ"ทารุณกรรม"ที่ไม่ได้ตั้งใจ


            จากคดี"น้องโฟกัส" มาถึงเรื่องราวอันน่าสลดหดหู่กับ"น้องเฟิร์น" หนูน้อยวัย 6 ขวบที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 9 มี.ค. โดยสถานีวิทยุจส.100 แจ้งไปยังพ.ต.ท.สถิตย์ สังข์ประไพ รองผกก.ปป.สน.เตาปูนว่า มีเด็กหญิงถูกทำร้ายร่างกายและกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ที่บ้านเลขที่ 77 ถนนประชาราษฎร์ สาย 1 ซอย 36 แขวงและเขตบางซื่อ กทม. เมื่อตำรวจไปถึงพบว่า บ้านที่เกิดเหตุ เป็นอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้น 4 คูหา ภายในห้องชั้น 3 ของอาคาร ตำรวจขึ้นไปพบด.ญ.เฟิร์น อายุ 6 ปี อยู่ในสภาพอิดโรย ถูกกล้อนผมจนสั้นเกรียน ศีรษะแตก ลำตัวเขียวช้ำทั่วตัว ที่ลำคอมีรอยเล็บข่วน ข้อมือทั้งสองข้างบวม และบริเวณแผ่นหลัง มีร่อยรอยคล้ายถูกบุหรี่จี้ ถูกขังอยู่ในห้อง จึงได้ช่วยเหลือออกมา และรีบนำตัวส่งโรตงพยาบาลวชิระพยาบาล


            "น้องเฟิร์น"บอกกับตำรวจว่า อยู่กับพ่อแท้ๆชื่อนายโล้น กับนางวรรณ แม่เลี่ยงที่ตึกแถวดังกล่าว แต่ถูกพ่อขังไว้ในห้อง พร้อมขู่ด้วยว่า หากหนีออกมาจากห้อง จะฆ่าให้ตาย แต่วันนี้ รู้สึกหิว เลยหนีลงมาขอข้าวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งอยู่ชั้นล่างของบ้านกิน และกลับขึ้นไป จนกระทั่งตำรวจไปช่วย


            "หนูไม่ใช่เด็กดื้อ แต่พ่อหาว่าหนูโกหก หนูถูกพ่อตีและกระทืบ ส่วนแม่ก็บีบคอจนหนูเจ็บไปทั้งตัว"น้องเฟิร์นให้การด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา


            ต่อมาพ.ต.อ.วีระ จิรวีระ ผกก.สน.เตาปูน สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ไปเชิญตัวนายโล้น และนางวรรณ มาสอบปากคำ แต่ไม่พบ จนกระทั่งเวลา 20.30 น. นายโล้นกับนางวรรณ จึงเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ก่อนจะให้การว่า หลังจากที่เลิกกับภรรยาเก่าแล้ว ยายของน้องเฟิร์นก็ส่งลูกสาวซึ่งตอนนั้นอายุแค่ 10 เดือน ไปให้บ้านปากเกร็ดเลี้ยงดูจนอายุได้ 5 ขวบ ตนจึงได้ไปทำเรื่องของน้องเฟิร์นมาเลี้ยงเองท พร้อมทั้งปฏิเสธว่า ไม่ได้ทำร้ายลูกสาว ตามที่ลูกสาวอ้าง ส่วนเรื่องบาดแผลตามร่างกายนั้น เกิดจากลูกสาวเป็นเด็กที่น้ำเหลืองไม่ดีตั้งแต่เกิดแล้ว และลูกสาวชอบแกะเกาอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เป็นแผล ขอยืนยันว่า ตนกับภรรยาไม่เคยใช้บุหรี่จี้หลังลูกสาวแต่อย่างใด


            "ยอมรับว่ามีตีบ้างเพราะลูกสาวเป็นเด็กดื้อ ให้กินข้าวก็ไม่ยอมกิน วันนี้ก่อนออกจากบ้านก็ไม่ได้ล็อกห้องไว้ เพียงแต่ปิดประตูห้องไว้เท่านั้น และก็ไม่ได้บังคับให้อดข้าวตามที่ลูกอ้าง เนื่องจากพวกผมหาให้กินอยู่ทุกวันแต่ลูกสาวไม่ยอมกินเอง"นายโล้นอ้าง


            แม้บุพพการีจะกล่าวอ้างอย่างไรก็ตาม แต่หลักฐาน คือสภาพร่างกายของ"น้องเฟิร์น"นั้น มันฟ้องอยู่ทนโท่ แต่ตำรวจก็ทำได้เพียง ส่ง"น้องเฟิร์น"ไปที่ บ้านพักเด็กและครอบครัว (บ้านราชวิถี) ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จากนั้น จะสอบปากคำน้องเฟิร์นและพ่อแม่เด็กอย่างละเอียดอีกครั้ง และหากผลการตรวจร่างกายของน้องเฟิร์นจากแพทย์โรงพยาบาลวชิรพยาบาลออกมาว่า น้องเฟิร์นถูกทำร้ายร่างกายจริง ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


            คดีสุดท้าย แม้เด็กจะไม่ถูกทารุณกรรมทางร่างกาย แต่นับว่า ถูกทารุณกรรมทางจิตใจจนบอบช้ำเกินที่จะเยียวยาได้ทั้งชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นราวตีสี่ของวันที่ 14 มี.ค. ร.ต.ท.พงษ์เดช ชูสงค์ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ลาดพร้าว รับแจ้งว่า พบเด็กถูกทิ้งไว้ในป่าหญ้า สุดซอยนวมินทร์ 81 ถนนนวมินทร์ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. จึงรีบรุดไปตรวจสอบทันที


            ในที่เกิดเหตุ ไม่น่าเชื่อว่า จะมีเด็กไร้เดียงสาอยู่กลางดึกเพียงคนเดียวได้ เนื่องจากเป็นป่าหญ้ารกทึบสูงประมาณ 2 เมตร เจ้าหน้าที่พบเด็กผู้ชายอายุประมาณ 1 ขวบ ผิวคล้ำ รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ สวมเสื้อกล้ามสีดำ ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป มีแผลถูกยุงกัดทั่วร่างกาย และเมื่อตรวจสอบบริเวณใกล้ที่พบตัวเด็ก ไม่พบจดหมาย หรือเอกสารระบุว่าเป็นลูกใคร จึงนำตัวเด็กมาที่สน.ลาดพร้าว เพื่อลงบันทึกประจำวันก่อนทำเรื่องส่งเด็กไปให้บ้านเด็กอ่อนพญาไทให้ดูแล ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ศูนย์ประชาบดีต่อไป


            นายสรรภยา ด้วงเงิน เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ได้รับการประสานจากสถานีวิทยุ จส.100 ว่า มีชาวบ้านในซอยดังกล่าว พบเด็กถูกทิ้งให้นั่งร้องไห้อยู่ในป่าหญ้า จึงรีบมาตรวจสอบทันที เมื่อมาถึงก็พบว่า ภายในซอยดังกล่าวเป็นซอยเปลี่ยวมืดมาก และพบเด็กนั่งอยู่ในป่าหญ้ารกทึบมีแผลถูกยุงกัดเต็มตัว เมื่อสอบถามชาวบ้านในละแวกนั้น ไม่มีใครเคยพบเห็นเด็กคนนี้มาก่อน จึงได้อุ้มออกมาจากป่าหญ้าแล้วซื้อนมให้กิน ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ


            "ถือว่าเป็นโชคดีของเด็ก ที่ไม่ถูกงูกัดเสียก่อน เพราะจุดที่พบเด็กนั้นเป็นป่าหญ้ารกทึบมาก"นายสรรภยาบอก


            ร.ต.ท.พงษ์เดช ร้อยเวรคดีนี้ระบุว่า จะต้องตรวจสอบว่า มีใครมาแจ้งความเรื่องเด็กหายหรือไม่ แต่เชื่อว่า เด็กน่าจะถูกนำมาทิ้งไว้ในป่าหญ้ามากกว่า โดยหลังจากนี้จะประสานไปยังฝ่ายสืบสวน สน.ลาดพร้าว ให้ลงพื้นที่สืบสวนหาตัวพ่อแม่เด็กที่นำลูกมาทิ้งไว้ต่อไป


            การทำร้าย ทารุณกรรมกับเด็ก มีและเกิดขึ้นอยู่เสมอมา จนสถิติเพิ่มขึ้นแทบทุกปี แม้จะมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่คอยดูแลและคุ้มครองเด็กแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยกล่าวไว้ว่า ปัจจัยเสริม ที่มีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดการทำร้ายเด็ก มีหลายปัจจัย ทั้งด้านวัฒนธรรม สังคม สิ่งแวดล้อม และครอบครัว หากปัจจัยเหล่านี้มีอยู่มากเพียงใด ความเสี่ยงที่จะเกิดการทารุณกรรมและละเลยทอดทิ้งเด็กก็จะยิ่งมีสูงยิ่งขึ้น เราจึงจำเป็นต้องสังเกตให้เห็น และพยายามลดหรือกำจัดให้ได้มากที่สุด


            ยังคงพอมีความหวังอยู่บ้างว่า ต่อไป ทุกคน ทุกฝ่าย จะช่วยกันดูแลให้การทารุณกรรมเด็ก ลดน้อยถดถอยลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังเชื่อว่า ยังมีเด็กอีกหลายคน ที่ยังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ เพราะตัวอย่างต่างๆที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นคดีความ และถูกตีแผ่มาให้สังคมได้รับรู้นั้น จะไม่ใช่อุทาหรณ์รายสุดท้ายเป็นแน่ หากทุกคน ทุกฝ่ายยังมองข้ามและละเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กๆเหล่านั้น


ขอบคุณข้อมูลจาก manager online
สามารถอ่านบทความดีๆเกี่ยวกับการฆาตกรรมเด็กทารกเพิ่มเติมได้ที่
//forensicchula.net/FMJ/journal/topic/0307.pdf


Create Date : 28 เมษายน 2553
Last Update : 28 เมษายน 2553 8:10:53 น. 4 comments
Counter : 3612 Pageviews.

 
ข่าวแต่ละข่าว อ่านแล้วสลดหดหู่ใจ

คนเป็นพ่อเป็นแม่ทำกับลูกแบบนี้ ... เค้าไม่คิดอะไรบ้างเลยเหรอ หรือว่าคิดแล้ว แต่ก็ยังทำ


โดย: พิม Enya IP: 183.89.191.72 วันที่: 28 เมษายน 2553 เวลา:16:19:59 น.  

 
ได้ดูข่าวนี้จากรายการของคุณสรยุทรน่ะครับ

ดูแล้วก็ได้แต่รู้สึกหดหู่


โดย: pooktoon วันที่: 28 เมษายน 2553 เวลา:16:31:58 น.  

 
หดหู่จังค่ะ








โดย: puy_naka63 วันที่: 3 พฤษภาคม 2553 เวลา:5:06:25 น.  

 
ว่าน่าตกใจ คน เรา ทำกัน ได้
ลงคอ นะ -*น่าสงสาน*- T^T


โดย: DK IP: 61.7.132.175 วันที่: 15 กรกฎาคม 2553 เวลา:9:23:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

DR.MOO CAN DO
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




ผมเป็น นิติพยาธิแพทย์ หรือ จะเรียกว่า หมอนิติเวช ก็ได้ครับ นิติพยาธิแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปีแล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง นิติพยาธิอีก 3 ปี และเมื่อสอบผ่าน ก็จะได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ และได้เป็นนิติพยาธิแพทย์ โดยสมบูรณ์
หน้าที่ของหมอนิติเวช แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
ส่วนแรก จะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยคดี โดยในผู้ป่วยคดีนั้นแพทย์นิติเวชจะมีหน้าที่ในการตรวจ และให้ความเห็นกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับบาดแผลที่ตรวจพบ ซึ่งตำรวจจะนำไปใช้ในการตั้งข้อกล่าวหากับคู่กรณี และหน้าที่ต่อมาของแพทย์นิติเวชคือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีดังกล่าว
ส่วนที่สอง จะเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต โดยในกรณีผู้เสียชีวิตนั้นแพทย์นิติเวชมีหน้าที่ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุในกรณีตายผิดธรรมชาติตามที่กฎหมายกำหนด และหากมีความจำเป็นต้องผ่าชันสูตร ก็จะต้องมีการทำรายงาน และให้ความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิต ส่งให้พนักงานสอบสวน สุดท้ายหน้าที่หลักที่สำคัญโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีนั้นๆครับ
ประวัติการศึกษา
1.แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
2.วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.ประกาศนียบัตร “Crime Scene Investigation” โครงการร่วมระหว่าง International Law Enforcement Academy กับ Federal Bureau of Investigation Academy
4.ประกาศนียบัตร “การบริหารงานโรงพยาบาล” คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงาน
1.อาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มศว.
2.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
3.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
4.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
5.วิทยากร หัวข้อ "ICD-10" ของกระทรวงสาธารณสุข
6.วิทยากร หัวข้อ "การตรวจสถานที่เกิดเหตุ" ของมูลนิธิร่วมกตัญญู และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
7.วิทยากรอบรมหลักสูตรนายร้อยตำรวจอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
8.วิทยากร หัวข้อ "KPI รายบุคคล" ให้กับโรงพยาบาลและมหาลัยวิทยาลัย ในภาครัฐ
9.วิทยากร หัวข้อ "Living will" ให้กับโรงพยาบาลในภาครัฐและเอกชน10.วิทยากร หัวข้อ "นิติเวชศาสตร์กับงานด้านโบราณคดี" ให้กับคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
11.ร่วมเขียนหนังสือ "KPI รายบุคคล"
12.ร่วมเขียนหนังสือ "มาตรฐาน ICD-10, ICD-9"
13.ที่ปรึกษารายการ "เรื่องจริงผ่านจอ" และ "Redline"
14.บทความทางวิชาการและผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ 15 เรื่อง
15.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ตั้งแต่ ปี พศ.2553
16.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพ ฯ คณะแพทยศาสตร์ มศว. ตั้งแต่ปี พศ.2551
ผศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี (DR.MOO CAN DO)
New Comments
Friends' blogs
[Add DR.MOO CAN DO's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.