สังคมได้อะไรจากข่าวฆาตกรรมฆ่าหั่นศพ
จิตแพทย์แนะสื่อมีจรรยาบรรณ เสนอข่าวฆ่าหั่นศพดูเรื่องสิทธิเด็กด้วย แถมผลิตซ้ำความรุนแรงไม่ให้อะไรกับสังคมนอกจากสะใจ จี้ตำรวจกันสื่อออกจากเด็กที่เป็นพยานบุคคลไม่ให้เสียรูปคดี ด้านเอ็นจีโอสิทธิเด็กฉะสื่อแย่งเสนอข่าวสัมภาษณ์เด็กลูกเหยื่อรอดชีวิตและลูกผู้ต้องหาผิดกม.คุ้มครองสิทธิเด็ก บี้ตำรวจช่วยสิทธิเด็ก เร่งพม.ผู้ถือกม.จริงจัง นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิตและในฐานะรองประธานมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนกรณีข่าวฆาตกรรมฆ่าหั่นศพสองแม่ลูกในช่วงนี้ เป็นการทำลายระบบในการคุ้มครองสิทธิเด็กที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ไว้ทั้งหมด เพราะสื่อต่างแข่งขันกันไปสัมภาษณ์เด็กที่เป็นเหยื่อที่รอดชีวิต, ลูกของผู้ต้องหา และผู้ที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องด้วย โดยพยายามไขความจริงให้ปรากฏในช่วงระยะเวลาอันสั้น โดยไม่คำนึงถึงเรื่องสิทธิของผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ และยิ่งเป็นการผลิตซ้ำความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สังคมไม่ได้อะไรจากการนำเสนอข่าวนอกจากความสะใจ สื่อมวลชนเองควรจะมีการควบคุมด้านจรรยาบรรณในการนำเสนอข่าวที่จะเป็นผลกระทบกับเด็กและผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่การแข่งกันนำเสนอข่าว โดยไม่คำนึงว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับสังคม เพราะท้ายสุดแล้ว สังคมก็ไม่ได้อะไรจากการนำเสนอข่าวลักษณะนี้ นอกจากความสะใจ แม้ว่าในช่วงแรกจะเป็นการอาจรู้สึกสังเวช แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดความชินชาความรุนแรง และเป็นอารมณ์ลุ้นระทึก และตื่นเต้นไปกับการนำเสนอข่าว โดยสังคมไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย นพ.ยงยุทธ กล่าว นพ.ยงยุทธ กล่าวว่า นอกจากนี้การนำเสนอข่าวลักษณะนี้ตามพ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเด็ก พ.ศ.2546จะต้องมีการคุ้มครองโดยไม่ให้เด็กถูกเปิดเผยหรือให้ข่าวใดๆ แม้แต่เสียง แต่ที่ผ่านมาสื่อทุกแขนงต่างรุมกันสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องแม้ว่าจะไม่เห็นหน้า แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะรูปพ่อที่เป็นผู้ต้องหา หรือรูปแม่ที่ถูกฆาตกรรมปรากฏต่อสื่อมวลชนอยู่ดี ทำให้คนใกล้ชิดคนรู้จักก็ทราบว่าเด็กคนนั้นเป็นใครอยู่ดี ซึ่งมีผลกระทบกับเด็กทางด้านจิตใจ จากการที่สื่อมวลชนรุมสัมภาษณ์ถึงเรื่องราวซ้ำๆ โดยตามแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องจะต้องมีนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์เข้าบำบัดจิตใจเด็กก่อน การนำเสนอข่าวที่ผลิตซ้ำความรุนแรงยังจะทำให้สังคมเกิดความชินชาในสังคม และทำให้ผู้ต้องหาไม่รู้ว่าจะกลายเป็นผู้ร้ายหรือพระเอกในการเดินเรื่องราวสืบสวนสอบสวนที่ชวนให้สังคมติดตามกันแน่ แทนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีอำนาจหน้าในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้คดีมีความคืบหน้าต่อไป ขณะเดียวกันต้องกันพยานบุคคลที่เป็นเหยื่อด้วย ไม่ใช่สืบสวนสอบสวนคดีไปพร้อมกับสื่อมวลชน หรือให้สื่อมวลชนทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนแทน ซึ่งขณะนี้กลายเป็นว่าสื่อทำข่าวจนเกินไป ลงลึกในรายละเอียดที่เป็นรูปคดี เหมือนละครฉากใหญ่นพ.ยงยุทธ์ กล่าว นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ผู้บริหารมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างมากที่สื่อมวลชนจะแข่งขันกันตามสัมภาษณ์เด็กที่เป็นทั้งเหยื่อและลูกของผู้ต้องหา เพราะตามมาตรา 27 ของพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ระบุห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือ สื่อสารสนเทศประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครองโดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และสื่อทุกวันนี้ได้ละเมิดในส่วนนี้ สื่อมวลชนควรตระหนักว่าไม่ควรทำหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเรื่องราวที่สื่อมวลชนนำเสนอมีผลต่อรูปคดีอย่างมาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีสิทธิในการไม่อนุญาติให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการใดๆกับพยานบุคคลที่มีผลต่อรูปคดี และตำรวจจำเป็นต้องกันบุคคลเหล่านี้ให้ไม่เป็นข่าว เพื่อเป็นความลับ ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงขอมนุษย์ในฐานะดูแลรับผิดชอบพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯต้องจริงจังในเรื่องการคุ้มครองสิทธิเด็กมากกว่านี้นายสรรพสิทธิ์ กล่าว
Create Date : 17 เมษายน 2553 |
Last Update : 17 เมษายน 2553 1:01:58 น. |
|
7 comments
|
Counter : 2519 Pageviews. |
|
|
เสนอข่าวกันที ไม่สนใจจิตใจของคนอื่นที่เกี่ยวข้องเลย
แถมบางข่าวทำเป็นสกู๊ปพิเศษอีกต่างหาก
ทำซะละเอียดยังกะสร้างหนังสักเรื่อง บอกวิธีชำแหละจนถึงการอำพรางหลักฐานให้รู้เสียด้วยสิ เฮ้อ....สังคม
สังคมได้อะไรน่ะหรือ?
ได้ไอดอล หรือต้นแบบของการฆ่าไงคะ